แนวรับแนวต้านคืออะไร? ทำไมจึงสำคัญต่อนักเทรด?

แนวรับและแนวต้าน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Support and Resistance ถือเป็นหนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่สุด แต่ทรงพลังที่สุดในวงการวิเคราะห์ทางเทคนิค ไม่ว่าคุณจะซื้อขายในตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ ทองคำ หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัล การเข้าใจกลไกการทำงานของแนวรับและแนวต้านจะช่วยให้คุณถอดรหัสพฤติกรรมของราคาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และตัดสินใจซื้อขายด้วยเหตุผลที่ชัดเจน แทนที่จะยึดติดกับความรู้สึกหรือการคาดเดา
ความหมายและหลักการพื้นฐาน

ในมุมมองเชิงเทคนิค แนวรับหมายถึงระดับราคาที่มีแนวโน้มว่าเมื่อราคาลดต่ำลงมาถึงจุดนี้ มักจะหยุดร่วงและเริ่มกลับตัวขึ้นอีกครั้ง เปรียบได้กับพื้นแข็งที่คอยรองรับไม่ให้ราคาร่วงลงไปอีก ในทางกลับกัน แนวต้านคือระดับราคาที่เมื่อราคาขยับขึ้นไปถึง ก็มีแนวโน้มจะหยุดและกลับตัวลงมา คล้ายเพดานที่ปิดกั้นไม่ให้ราคาสูงขึ้นได้
กลไกเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้เกิดจากแรงผลักดันระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เมื่อราคาลดลงใกล้แนวรับ นักลงทุนจำนวนมากจะเริ่มมองว่าสินทรัพย์นั้นถูกลง และตัดสินใจเข้าซื้อ ส่งผลให้ความต้องการซื้อเพิ่มสูงขึ้น จนสามารถผลักดันราคาให้กลับขึ้นมาได้ ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาสูงขึ้นใกล้แนวต้าน ผู้ที่ถือครองสินทรัพย์อยู่มักจะมองว่าเป็นจุดที่เหมาะสมในการทำกำไร จึงเริ่มขายออก ทำให้แรงขายเพิ่มขึ้นและกดดันราคาให้ลดลง
พฤติกรรมนี้เกิดซ้ำๆ จนกลายเป็นรูปแบบที่มองเห็นได้ชัดเจนบนกราฟราคา ทำให้นักเทรดสามารถใช้ข้อมูลอดีตเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวในอนาคตได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น ไม่ใช่แค่การคาดเดาตามอารมณ์
จิตวิทยาเบื้องหลังแนวรับแนวต้าน

แนวรับและแนวต้านไม่ได้ถูกกำหนดแค่จากตัวเลขหรือข้อมูลทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกหล่อหลอมโดย “จิตวิทยาของตลาด” อย่างลึกซึ้ง นักลงทุนจำนวนมากจดจำระดับราคาที่เคยเกิดการกลับตัวในอดีต และใช้จุดเหล่านั้นเป็นจุดอ้างอิงในการตัดสินใจในอนาคต
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวหนึ่งเคยเด้งขึ้นจาก 10 บาทถึงสามครั้งในช่วงเวลาไม่กี่เดือน นักลงทุนจำนวนมากจะเริ่มตั้งความหวังว่า 10 บาทจะเป็นจุดที่ปลอดภัยสำหรับการเข้าซื้อในครั้งต่อไป พวกเขาจะรอซื้อที่ระดับนี้ ซึ่งพฤติกรรมร่วมกันนี้เองที่กลายเป็นแรงซื้อที่แท้จริง และทำให้แนวรับนั้น “แข็งแรง” ขึ้น
ในทำนองเดียวกัน หากหุ้นตัวเดิมพุ่งขึ้นไปถึง 12 บาทแล้วร่วงลงมาทุกครั้ง จุด 12 บาทก็กลายเป็นแนวต้านที่หลายคนจับตา รอโอกาสขายทำกำไร ความคาดหวังร่วมกันนี้คือพลังงานที่ขับเคลื่อนแนวรับและแนวต้านให้กลายเป็นจริง ไม่ใช่แค่เส้นที่ลากไว้บนกราฟ แต่เป็น “จุดตัดสินใจร่วม” ของตลาด
วิธีระบุแนวรับแนวต้านอย่างแม่นยำบนกราฟ
การใช้แนวรับแนวต้านอย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นจากการระบุจุดเหล่านี้อย่างแม่นยำ ซึ่งมีหลายแนวทางที่นักเทรดใช้ร่วมกัน ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและตลาดที่ซื้อขาย
การระบุจากจุดสูงสุด-ต่ำสุดในอดีต
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกตจุดต่ำสุด (Low) และจุดสูงสุด (High) ที่เคยเกิดขึ้นบนกราฟ ไม่ว่าจะเป็นกราฟแท่งเทียนหรือกราฟแบบอื่นๆ ระดับราคาที่ราคามักจะหยุดหรือกลับตัวเมื่อสัมผัส คือจุดที่ควรนำมาพิจารณาเป็นแนวรับหรือแนวต้าน
ยิ่งราคาสัมผัสระดับนั้นบ่อยครั้ง และยิ่งมีการเด้งกลับอย่างเด่นชัด ความสำคัญของระดับนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น นักเทรดสามารถใช้เครื่องมือ “เส้นแนวนอน” ลากเชื่อมจุดต่ำสุดที่ใกล้เคียงกันเพื่อกำหนดแนวรับ และลากเชื่อมจุดสูงสุดเพื่อกำหนดแนวต้าน ซึ่งช่วยให้มองเห็นระดับราคาสำคัญได้ชัดเจนขึ้น
การใช้เส้นแนวโน้ม (Trendline)
เส้นแนวโน้ม หรือ Trendline เป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก ซึ่งปรับตัวตามทิศทางของแนวโน้มในปัจจุบัน ในตลาดขาขึ้น (Uptrend) เราจะลากเส้นจากจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เส้นนี้จะทำหน้าที่เป็นแนวรับชั่วคราว และเมื่อราคาลงมาทดสอบเส้นนี้แล้วเด้งกลับ ก็เป็นสัญญาณซื้อที่น่าสนใจ
ในทางกลับกัน สำหรับตลาดขาลง (Downtrend) เราจะลากเส้นจากจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ เส้นนี้จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านชั่วคราว ราคาเมื่อขึ้นไปแตะเส้นแล้วกลับลงมา ก็ถือเป็นโอกาสในการขายหรือเปิดสถานะขาลง
ความน่าเชื่อถือของเส้นแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนจุดสัมผัสที่ชัดเจน โดยต้องมีอย่างน้อย 2 จุดเพื่อลากเส้น แต่ถ้ามีถึง 3 จุดหรือมากกว่า จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการใช้เป็นแนวทางการเทรด
การระบุจากรูปแบบราคาและโซนราคา
ไม่ใช่ทุกครั้งที่แนวรับแนวต้านจะอยู่ในรูปแบบของเส้นเดี่ยวที่แม่นยำ บางครั้งมันคือ “โซน” หรือช่วงราคาที่มีการซื้อขายหนาแน่น หรือมีการกลับตัวซ้ำหลายครั้ง การมองแนวรับแนวต้านเป็นโซน ช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และไม่ตื่นตระหนกเมื่อราคาทะลุ “เส้น” ไปเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ รูปแบบของกราฟราคา หรือ Price Patterns ก็มักบ่งบอกถึงแนวรับแนวต้านสำคัญ เช่น รูปแบบ Double Top ที่จุดสูงสุดสองจุดใกล้เคียงกัน มักกลายเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งก่อนที่ราคาจะเริ่มปรับตัวลง หรือรูปแบบ Head & Shoulders ที่เส้นคอ (Neckline) มักทำหน้าที่เป็นแนวรับก่อนจะถูกทำลาย หรือกลายเป็นแนวต้านเมื่อราคาหลุดลงมา
กลยุทธ์การเทรดด้วยแนวรับแนวต้าน (สำหรับตลาดหุ้น, Forex, ทองคำ)
เมื่อสามารถระบุแนวรับแนวต้านได้อย่างแม่นยำ ขั้นต่อไปคือการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้สร้างกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพในหลากหลายตลาด
กลยุทธ์การเทรดเมื่อราคากลับตัว (Reversal Trading)
กลยุทธ์นี้เป็นที่นิยมที่สุด โดยเน้นการ “ซื้อที่แนวรับ และขายที่แนวต้าน” เมื่อราคาลดลงมาทดสอบแนวรับ นักเทรดจะมองหาสัญญาณยืนยันการกลับตัว เช่น แท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick) หรืออินดิเคเตอร์อย่าง RSI แสดงภาวะซื้อมากเกินไป (Oversold) หากมีสัญญาณยืนยัน สามารถพิจารณาเปิดสถานะซื้อ โดยตั้ง Stop Loss ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อยเพื่อควบคุมความเสี่ยง และตั้งเป้าหมายที่แนวต้านถัดไป
ในทางกลับกัน เมื่อราคาขึ้นไปทดสอบแนวต้านและมีสัญญาณกลับตัว เช่น แท่งเทียนรูปแบบการกลับตัวหรือ RSI เข้าเขตขายมากเกินไป (Overbought) ก็สามารถพิจารณาเปิดสถานะขาย (Short Sell) โดยตั้ง Stop Loss สูงกว่าแนวต้านเล็กน้อย และ Take Profit ที่แนวรับถัดไป กลยุทธ์นี้เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบหรือมีแนวโน้มที่ชัดเจน
กลยุทธ์การเทรดเมื่อราคาเบรกแนว (Breakout Trading)
ต่างจากกลยุทธ์การกลับตัว การเทรดแบบเบรกแนวเน้นการตามแรงโมเมนตัม เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปอย่างเด่นชัด นักเทรดจะพิจารณาเข้าซื้อ โดยคาดหวังว่าราคาจะพุ่งต่อไปในทิศทางเดียวกัน ในทางกลับกัน หากราคาทะลุแนวรับลงมา ก็พิจารณาเปิดสถานะขาย คาดการณ์ว่าราคาจะร่วงต่อ
สิ่งสำคัญคือการยืนยันว่าการทะลุนั้น “แท้จริง” โดยใช้ปัจจัยเสริม เช่น ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือแท่งเทียนที่ปิดตัวเหนือแนวต้าน/ต่ำกว่าแนวรับอย่างมั่นคง ควรระวัง False Breakout หรือการเบรกหลอก ซึ่งราคาอาจพุ่งทะลุไปเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับเข้าสู่กรอบเดิม ทำให้เกิดการขาดทุนได้ง่าย
แนวรับแนวต้านที่เปลี่ยนบทบาท (Support/Resistance Flip)
ปรากฏการณ์น่าสนใจที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือการ “สลับบทบาท” ของแนวรับและแนวต้าน เมื่อราคาสามารถทะลุแนวต้านขึ้นไปได้สำเร็จ แนวต้านเดิมที่เคยเป็นเพดานจะกลายเป็นแนวรับใหม่ ที่รองรับราคาในอนาคต ในทางกลับกัน หากแนวรับถูกทำลาย แนวรับเดิมจะกลายเป็นแนวต้านใหม่
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากจิตวิทยาของนักลงทุน เมื่อราคาผ่านระดับสำคัญได้ ผู้ที่เคยลังเลหรือรอขายก็อาจเปลี่ยนใจเข้าร่วมทิศทางใหม่ ทำให้ระดับนั้นกลายเป็นจุดอ้างอิงใหม่ การเข้าใจการเปลี่ยนบทบาทนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถหาจุดเข้าซื้อหรือขายหลังจากเกิด Breakout ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การประยุกต์ใช้แนวรับแนวต้านร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ (เพิ่มความแม่นยำ)
เพื่อเพิ่มความแม่นยำ นักเทรดมืออาชีพมักไม่ใช้แนวรับแนวต้านเพียงอย่างเดียว แต่จะผสานเข้ากับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นเพื่อยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยง
ผสานกับ Volume (ปริมาณการซื้อขาย)
ปริมาณการซื้อขายเป็นเครื่องมือยืนยันที่ทรงพลัง ถ้าราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปพร้อมกับ Volume ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน แสดงว่าแรงซื้อมีความมั่นคง และโอกาสที่ราคาจะไปต่อสูง แต่หากการทะลุเกิดขึ้นใน Volume ต่ำ อาจเป็นเพียงแรงเก็งกำไรชั่วคราว หรือสัญญาณของ False Breakout
นอกจากนี้ การสังเกต Volume ที่ลดลงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้าน อาจบ่งบอกถึงการอ่อนแรงของโมเมนตัม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการกลับตัว
ผสานกับ Fibonacci Retracement
เครื่องมือ Fibonacci Retracement ใช้หาระดับที่ราคาอาจพักตัวหรือกลับตัวได้ตามสัดส่วนทองคำ เช่น 38.2%, 50% และ 61.8% เมื่อราคามีการเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มชัดเจน การนำ Fibonacci มาซ้อนกับแนวรับแนวต้านเดิม จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับระดับนั้น
ตัวอย่างเช่น หากแนวรับที่เกิดจากระดับ Low ก่อนหน้า อยู่ในระดับเดียวกับ Fibonacci 61.8% จุดนี้จะถือเป็น “พื้นที่สนับสนุนสองชั้น” ที่มีน้ำหนักมาก และเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อ
ผสานกับ Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ Moving Averages โดยเฉพาะ MA 50, MA 100 และ MA 200 มักทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก เมื่อราคาเคลื่อนที่เหนือ MA เส้นนั้นจะกลายเป็นแนวรับ และเมื่อราคาอยู่ใต้ MA เส้นนั้นจะกลายเป็นแนวต้าน
นอกจากนี้ การตัดกันของ MA สองเส้น เช่น Golden Cross (MA 50 ตัดขึ้นเหนือ MA 200) หรือ Death Cross (MA 50 ตัดลงใต้ MA 200) สามารถใช้เป็นสัญญาณยืนยันการกลับตัวหรือแนวโน้มใหม่ที่เกิดขึ้นบริเวณแนวรับแนวต้านได้อีกทางหนึ่ง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้แนวรับแนวต้านและวิธีหลีกเลี่ยง
แม้แนวรับแนวต้านจะมีประโยชน์มาก แต่การใช้งานผิดวิธีอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ นักเทรดมือใหม่มักหลุดกับข้อผิดพลาดพื้นฐานเหล่านี้
การยึดติดกับเส้นเดียวมากเกินไป
ข้อผิดพลาดหนึ่งที่พบบ่อยคือการมองแนวรับแนวต้านเป็นเส้นแนวนอนที่แม่นยำเพียงเส้นเดียว ทั้งที่ความจริงแล้ว ตลาดมีความผันผวนและไม่สามารถคาดเดาได้เป๊ะขนาดนั้น วิธีที่ดีกว่าคือการมองเป็น “โซน” หรือช่วงราคาที่กว้างขึ้น ซึ่งช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสหรือตื่นตระหนกเมื่อราคาทะลุเส้นไปเพียงเล็กน้อย
การไม่พิจารณากรอบเวลาที่แตกต่างกัน
แนวรับแนวต้านในกรอบเวลารายวันหรือรายสัปดาห์มีน้ำหนักมากกว่ากรอบเวลารายชั่วโมงหรือ 15 นาที นักเทรดควรใช้ Multi-Timeframe Analysis โดยเริ่มวิเคราะห์จากกรอบเวลาใหญ่ก่อนเพื่อเห็นภาพรวมของแนวโน้ม จากนั้นค่อยลงมาดูกรอบเวลาเล็กเพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการตีความผิดจากกราฟระยะสั้น
การละเลยการบริหารความเสี่ยงและ Stop Loss
ไม่ว่ากลยุทธ์จะดีแค่ไหน การไม่บริหารความเสี่ยงก็อาจทำให้คุณสูญเสียทั้งหมดได้ การตั้ง Stop Loss เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจำกัดการขาดทุนเมื่อตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ นักเทรดควรคำนวณ Risk-Reward Ratio ก่อนเข้าตลาดทุกครั้ง และยึดมั่นในแผนการเทรด ไม่ควรย้าย Stop Loss หรือปิดกำไรเร็วเกินไปเพราะความกลัวหรือความโลภ
สรุปและเคล็ดลับสำหรับนักเทรดมือใหม่
แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ในการเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สำหรับนักเทรดมือใหม่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะสนใจตลาดหุ้นไทย ทองคำ หรือฟอเร็กซ์ การเริ่มต้นจากพื้นฐานที่มั่นคงคือกุญแจสำคัญ
ควรฝึกฝนการระบุแนวรับแนวต้านบนกราฟจริง ทดสอบกลยุทธ์ผ่าน Backtest และปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมอารมณ์ ไม่ให้ความกลัวหรือความโลภครอบงำการตัดสินใจ ยึดมั่นในแผนการเทรดและกฎการบริหารความเสี่ยง การเรียนรู้จากความผิดพลาดและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จะพาคุณก้าวไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. แนวรับแนวต้าน indicator ที่นิยมใช้มีอะไรบ้าง?
นอกจากการใช้จุดสูงสุด-ต่ำสุดและเส้นแนวโน้มแล้ว อินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้ร่วมกับแนวรับแนวต้านเพื่อเพิ่มความแม่นยำได้แก่:
- Moving Averages (MA): ใช้เป็นแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก
- Fibonacci Retracement: ระบุระดับแนวรับแนวต้านที่มีศักยภาพ
- Volume: ยืนยันความแข็งแกร่งของการ Breakout
- RSI หรือ Stochastic Oscillator: บ่งชี้ภาวะ Overbought/Oversold ใกล้แนวรับแนวต้านเพื่อหาจุดกลับตัว
- Pivot Points: ระบุระดับแนวรับแนวต้านสำคัญในแต่ละวัน
2. แนวรับแนวต้าน ภาษาอังกฤษ คืออะไร? และมีคำศัพท์อื่นที่เกี่ยวข้องไหม?
แนวรับ ภาษาอังกฤษ คือ Support และ แนวต้าน ภาษาอังกฤษ คือ Resistance
คำศัพท์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง:
- Trendline: เส้นแนวโน้ม
- Breakout: การทะลุแนว
- False Breakout: การทะลุแนวหลอก
- Reversal: การกลับตัว
- Flip: การเปลี่ยนบทบาท (เมื่อ Support กลายเป็น Resistance หรือกลับกัน)
- Zone: โซนราคา (แทนที่จะเป็นเส้นเดียว)
3. จะหา แนวรับแนวต้าน ทองคำ วันนี้ ได้จากที่ไหน?
คุณสามารถหาแนวรับแนวต้านของราคาทองคำได้จากหลายแหล่ง:
- แพลตฟอร์ม Trading: เช่น TradingView, MetaTrader 4/5 (MT4/MT5) ซึ่งมีเครื่องมือให้คุณลากเส้นวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง
- เว็บไซต์ข่าวและวิเคราะห์ทองคำ: เว็บไซต์ที่เชี่ยวชาญด้านทองคำมักจะมีการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านรายวัน
- โบรกเกอร์ทองคำ: โบรกเกอร์บางแห่งมีบทวิเคราะห์และระดับราคาสำคัญให้ลูกค้า
สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้วิธีการระบุด้วยตัวเองเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
4. แนวรับแนวต้าน forex pdf มีแหล่งข้อมูลที่แนะนำไหม?
มีแหล่งข้อมูล PDF เกี่ยวกับแนวรับแนวต้านสำหรับ Forex จำนวนมากที่สามารถหาได้ทางออนไลน์ มักจะเป็นบทเรียนพื้นฐานจากโบรกเกอร์ Forex หรือผู้ให้ความรู้ด้านการเทรด คุณสามารถลองค้นหาด้วยคำว่า “Forex Support Resistance PDF Thai” หรือ “คู่มือแนวรับแนวต้าน Forex” ใน Google เพื่อพบแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
นอกจากนี้ เว็บไซต์อย่าง Investopedia หรือ School of Pipsology ของ BabyPips ก็มีเนื้อหาครอบคลุมในรูปแบบที่อ่านง่ายและสามารถดาวน์โหลดบางส่วนมาศึกษาได้
5. แนวรับแนวต้าน tradingview ใช้งานยังไง? มีฟีเจอร์เด่นอะไรบ้าง?
TradingView เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์กราฟที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการระบุแนวรับแนวต้าน:
- เครื่องมือวาดภาพ: มีเครื่องมือ “Horizontal Line” (เส้นแนวนอน) และ “Trend Line” (เส้นแนวโน้ม) ให้ลากบนกราฟได้อย่างง่ายดาย
- Fibonacci Retracement: เครื่องมือ Fibonacci ใน TradingView ใช้งานง่าย เพียงแค่เลือกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของแนวโน้ม
- Indicator: คุณสามารถเพิ่มอินดิเคเตอร์ต่างๆ เช่น Moving Averages หรือ Volume เข้ามาในกราฟเพื่อช่วยยืนยันสัญญาณได้
- Multi-Timeframe: สามารถสลับกรอบเวลาได้อย่างรวดเร็วเพื่อวิเคราะห์แนวรับแนวต้านในมุมมองที่แตกต่างกัน
6. การเทรดหุ้นไทยด้วยแนวรับแนวต้าน มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?
การเทรดหุ้นไทยด้วยแนวรับแนวต้านมีข้อควรระวังดังนี้:
- ข่าวสารและปัจจัยพื้นฐาน: หุ้นไทยได้รับผลกระทบจากข่าวสารบริษัทและปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก ซึ่งอาจทำให้แนวรับแนวต้านทางเทคนิคถูกทำลายได้ง่าย
- สภาพคล่อง: หุ้นบางตัวอาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาไม่เป็นไปตามหลักการทางเทคนิค
- การปั่นราคา: หุ้นขนาดเล็กบางตัวอาจมีการปั่นราคา ทำให้รูปแบบแนวรับแนวต้านไม่น่าเชื่อถือ
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ: ควรศึกษาข้อมูลและกฎเกณฑ์จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ควบคู่ไปด้วย
7. ทำไมบางครั้งแนวรับแนวต้านถึงเอาไม่อยู่ หรือเกิด False Breakout บ่อยๆ?
แนวรับแนว

ymbproperties_co
Website: https://ymbproperties.com
You must be logged in to post a comment