
เพื่อนๆ ครับ เคยไหมครับ เวลาจะซื้อของชิ้นใหญ่ๆ อย่างรถยนต์ หรือบ้าน แทนที่จะจ่ายเงินสด เราก็มักจะไปกู้แบงก์ใช่ไหมครับ แล้วพอคิดถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมด นอกจากราคาสินค้าแล้ว เราก็ต้องคิดถึง ‘ดอกเบี้ย’ ที่ต้องจ่ายด้วย ไอ้ดอกเบี้ยเนี่ยแหละครับ คือ ‘ต้นทุน’ ของเงินที่เราไปยืมมา
ทีนี้ ลองคิดถึงบริษัทใหญ่ๆ บ้าง บริษัทพวกนี้เวลาจะขยับขยาย ทำโปรเจกต์ใหม่ๆ หรือลงทุนในสิ่งต่างๆ ก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่เหมือนกันครับ แต่เงินพวกนี้ไม่ได้งอกออกมาจากอากาศนะครับ บริษัทก็ต้องหาแหล่งเงินทุนมาเหมือนกัน ซึ่งแหล่งเงินทุนหลักๆ ก็มาจากสองทาง คือ ‘การกู้ยืม’ (เป็นหนี้) กับ ‘เงินของเจ้าของ’ (ส่วนของผู้ถือหุ้น)
แล้วบริษัทต่างๆ เขามี ‘ต้นทุน’ ของเงินทุนพวกนี้เหมือนกันไหม? มีแน่นอนครับ! ในโลกการเงิน เราเรียกสิ่งนี้ว่า **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** (Cost of Capital) มันคือค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อให้ได้เงินมาใช้ทำธุรกิจนั่นแหละครับ ทั้งจากเงินกู้และเงินที่ได้จากเจ้าของ
ลองจินตนาการนะครับว่า บริษัทมี ‘ตะกร้าเงิน’ ใบหนึ่ง ในตะกร้านั้นมีเงินจากหลายแหล่งผสมกันอยู่ ทั้งเงินกู้ระยะยาว เงินที่ได้จากการออกหุ้นสามัญ เงินจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้ปันผล สัดส่วนของเงินจากแหล่งต่างๆ ในตะกร้านี้เราเรียกว่า โครงสร้างเงินทุน (Capital Structure) ยิ่งสัดส่วนหนี้เยอะ หรือส่วนของผู้ถือหุ้นเยอะ ต้นทุนโดยรวมก็จะแตกต่างกันไป เพราะเงินแต่ละแหล่งมี ‘ค่าเช่า’ ไม่เท่ากันไงครับ
นักการเงินเขามีวิธีคำนวณ ‘ค่าเช่าเฉลี่ย’ ของเงินในตะกร้านี้ด้วยครับ ซึ่งเราเรียกมันว่า WACC (Weighted Average Cost of Capital) หรือ ต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุน นั่นเอง สูตรมันก็มาจากน้ำหนักของเงินกู้คูณกับต้นทุนเงินกู้ บวกกับน้ำหนักของเงินส่วนของเจ้าของคูณกับต้นทุนส่วนของเจ้าของ (ซึ่งต้นทุนเงินกู้มันมีประโยชน์ทางภาษีด้วยนะ เลยต้องปรับนิดหน่อย) ไอ้เจ้า WACC เนี่ย เป็นตัวเลขสำคัญมากเลยนะครับ เพราะมันบอกว่าโดยเฉลี่ยแล้ว เงินทุกบาทที่บริษัทเอามาใช้ มีต้นทุนเท่าไหร่
ทำไม WACC ถึงสำคัญ? ก็เพราะบริษัทต้องเอาตัวเลขนี้ไปใช้ตัดสินใจว่า โครงการลงทุนใหม่ๆ ที่คิดจะทำนั้น ‘คุ้มค่า’ ไหม ถ้าโครงการนั้นคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า WACC แปลว่าน่าลงทุนครับ แต่ถ้าผลตอบแทนต่ำกว่า WACC ก็เหมือนกับเอาเงินแพงๆ ไปทำของที่ได้กำไรน้อย ไม่คุ้มครับ นักลงทุนอย่างเราๆ เอง ก็เอา WACC ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินมูลค่าธุรกิจหรือหุ้นที่เราสนใจได้ด้วยนะ
ทีนี้ เรื่อง **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** เนี่ย มันไม่ใช่เรื่องทางทฤษฎีในห้องเรียนอย่างเดียวครับ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตเราและตลาดการเงินมากๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ช่วงนี้
สังเกตไหมครับว่าช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ข่าวเรื่อง ‘อัตราดอกเบี้ย’ ปรับขึ้นเป็นประเด็นร้อนแรงมาก? ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงปรี๊ด ตัวเลขเศรษฐกิจก็ยืนยันเรื่องนี้ชัดเจนครับ อย่างอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ เนี่ย ขึ้นไปสูงที่สุดในรอบ 16 ปีเลยทีเดียว
พออัตราดอกเบี้ยพื้นฐานสูงขึ้นแบบนี้ มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่เลยครับ
อย่างแรกเลยคือ **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ของบริษัทต่างๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วยครับ โดยเฉพาะส่วนที่เป็น ‘ต้นทุนหนี้สิน’ (Cost of Debt) เพราะการกู้เงินจากธนาคารหรือการออกหุ้นกู้ทำได้ยากขึ้นและแพงขึ้น เมื่อต้นทุนเงินทุนสูงขึ้น บริษัทก็ต้องคิดหนักขึ้นเวลาจะลงทุนอะไรใหม่ๆ โครงการที่เคยดูน่าสนใจ อาจจะไม่คุ้มค่าแล้ว ทำให้การขยายธุรกิจอาจจะชะลอตัวลงได้
ไม่แค่บริษัทนะครับ พวกเราประชาชนคนธรรมดาก็เจอปัญหาเหมือนกัน อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคลก็ปรับขึ้นตาม ผู้ที่กำลังผ่อนหนี้อยู่ก็ต้องแบกภาระดอกเบี้ยที่หนักอึ้งขึ้น รายได้ที่เคยเหลือใช้จ่ายก็ลดน้อยลงไปด้วย ภาวะแบบนี้ทำให้เกิดแรงกดดันต่อผู้กู้หลายภาคส่วนครับ
ข้อมูลจากต่างประเทศก็ชี้ให้เห็นแนวโน้มนี้ครับ อย่างในสหรัฐฯ มีรายงานว่าเงินฝากไหลออกจากธนาคารไปกว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนมองหาที่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก หรืออาจต้องการใช้เงินสดมากขึ้นในภาวะที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
และเมื่อการกู้ยืมแพงขึ้น มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อก็เข้มงวดขึ้นครับ ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะระมัดระวังในการให้กู้มากขึ้น ทำให้ธุรกิจหรือแม้แต่คนทั่วไปเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น ภาวะแบบนี้มักจะตามมาด้วยปัญหา **การผิดนัดชำระหนี้** ที่เพิ่มขึ้นครับ อย่างในสหรัฐฯ เอง อัตราผิดนัดชำระหนี้ทั้งในส่วนของพันธบัตรผลตอบแทนสูงและสินเชื่อก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมาครับ ซึ่งข้อมูลจาก Deutsche Bank ก็ยืนยันเรื่องนี้
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยสูงและ **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ที่สูงขึ้นครับ เมื่อดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแพงขึ้น กำลังซื้อคนก็ลดลง ราคาบ้านอาจมีแนวโน้มปรับลดลงได้ และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์บางรายที่กู้มาลงทุนก็อาจเจอปัญหาทางการเงินได้เช่นกัน
ในเมื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแบบเดิมๆ อย่างสินเชื่อจากธนาคารยากขึ้นหรือแพงขึ้น ผู้กู้บางส่วนก็เริ่มมองหา **แหล่งเงินทุนทางเลือก** ครับ เช่น สินเชื่อแบบที่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งอาจมาจากสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารโดยตรง แหล่งเงินทุนเหล่านี้อาจมีความยืดหยุ่นมากกว่าในบางสถานการณ์ แต่ก็ต้องพิจารณาเงื่อนไขและความเสี่ยงให้ดีครับ

ทิศทางของนโยบายการเงินจากธนาคารกลางทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงเน้นไปที่การควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงไปอย่างน้อยจนถึงปี 2024 แม้ว่าตลาดบางส่วนจะเริ่มคาดหวังให้มีการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างแล้วก็ตาม สถานการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำว่า **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ยังคงเป็นปัจจัยที่ธุรกิจและนักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดไปอีกระยะ
นอกเหนือจากปัจจัยภายนอกอย่างอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยภายในของบริษัทเองก็ส่งผลต่อ **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ได้ครับ โดยเฉพาะเรื่อง **การกํากับดูแลกิจการ** (Corporate Governance) การกำกับดูแลกิจการที่ดี คือการที่บริษัทมีการบริหารงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีคณะกรรมการที่เป็นอิสระ ดูแลผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียม
งานวิจัยที่น่าสนใจในประเทศไทยโดย คุณ ณัฐชา อัตถพลพิทักษ์ เมื่อปี 2562 พบว่า การที่บริษัทมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี สามารถช่วยลดปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูล (Asymmetric Information) ระหว่างผู้บริหารกับผู้ถือหุ้น หรือปัญหาตัวแทน (Agency Problem) ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้บริหารอาจทำเพื่อประโยชน์ตัวเองมากกว่าผู้ถือหุ้น การที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่าบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี มีความเสี่ยงต่ำกว่า ย่อมส่งผลให้ **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ในส่วนของ ‘ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น’ ลดลงได้ครับ หรือแม้แต่ ‘ต้นทุนหนี้สิน’ ก็อาจลดลงได้เช่นกัน เพราะเจ้าหนี้มองว่าบริษัทมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้น้อยลง
แม้แต่เรื่องที่ดูเหมือนซับซ้อนอย่างมาตรฐานบัญชี ก็อาจเกี่ยวพันได้ทางอ้อมครับ อย่างมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 28 ที่พูดถึง วิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) สำหรับการบันทึกบัญชีเงินลงทุนใน บริษัทร่วม (บริษัทที่เรามี อิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ คือมีอำนาจเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ยังไม่ถึงขั้นควบคุม) การที่บริษัทต้องแสดงข้อมูลความสัมพันธ์และการลงทุนในบริษัทร่วมด้วยวิธีที่ชัดเจน ก็ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานะทางการเงินและความเสี่ยงของบริษัทได้ดีขึ้น ซึ่งความโปร่งใสนี้ก็อาจส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและ **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ได้ในที่สุดครับ

สรุปง่ายๆ ก็คือ **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ไม่ใช่แค่ตัวเลขทางบัญชีในรายงานการเงินเท่านั้น แต่มันคือหัวใจสำคัญที่บอกว่าบริษัทต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เพื่อให้ได้เงินมาใช้ดำเนินธุรกิจ มันคือตัวชี้วัดประสิทธิภาพทางการเงินอย่างหนึ่ง และเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนต่างๆ
ในยุคที่ดอกเบี้ยสูงและตลาดผันผวนแบบนี้ การทำความเข้าใจเรื่อง **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีกครับ ทั้งสำหรับตัวเจ้าของธุรกิจเองที่ต้องหาทางบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสม เพื่อให้ WACC ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ซึ่งเราเรียกว่า โครงสร้างเงินทุนที่ดีที่สุด หรือ Optimal Capital Structure) และสำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ ที่ต้องประเมินว่าบริษัทที่เราสนใจนั้น สามารถบริหารจัดการ **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ได้ดีแค่ไหน และผลตอบแทนที่บริษัทสร้างขึ้นมานั้น สูงกว่าต้นทุนเงินทุนของตัวเองจริงๆ หรือเปล่า
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เราเห็นข่าวเรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือข่าวผลประกอบการบริษัท ลองคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่อง **ต้นทุน ของ เงิน ทุน** ดูนะครับ มันอาจจะช่วยให้เรามองภาพรวมของธุรกิจและการลงทุนได้ชัดเจนและรอบคอบมากขึ้นครับ
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การใช้ข้อมูลในบทความนี้เพื่อการตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบและรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง