Black Monday: 5 บทเรียนสำคัญจากวิกฤตปี 1987 ที่นักลงทุนไทยต้องรู้ เพื่อรับมือตลาดวันนี้

Black Monday: บทเรียนจากวิกฤตตลาดหุ้นปี 1987 สู่กลยุทธ์รับมือตลาดไทยวันนี้

ภาพประกอบเหตุการณ์วิกฤตตลาดหุ้นทั่วโลก ดัชนีตกอย่างรุนแรง นักลงทุนตื่นตระหนก ปฏิทินระบุวันที่ 19 ตุลาคม 1987

ในเส้นทางแห่งการลงทุน ตลาดหุ้นโลกเคยเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ทำให้ผู้เล่นทุกฝ่ายต้องจดจำ หนึ่งในนั้นคือ Black Monday หรือ “วันจันทร์ทมิฬ” ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 1987 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงจุดตกต่ำทางเทคนิคในกราฟราคา แต่คือบทพิสูจน์ของความเปราะบางในระบบการเงินโลกที่เกิดจากแรงกดดันหลายมิติ ความเร็วในการร่วงลงของตลาดในครั้งนั้นเกินกว่าที่ใครจะคาดการณ์ได้ และแม้เวลาจะผ่านไปกว่าสามทศวรรษ แต่บทเรียนจากวิกฤตดังกล่าวยังคงมีคุณค่าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่องจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและแรงสะเทือนจากต่างประเทศ บทความนี้จะพาคุณย้อนกลับไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญทางการเงินโลก เพื่อถอดรหัสสาเหตุ ผลกระทบที่เกิดขึ้น และแนวทางที่นักลงทุนไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพอร์ตของตนเองในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ

กราฟดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างรุนแรง แสดงค่าลดลง 22.6% นักลงทุนทั่วโลกแสดงสีหน้าตกใจ

Black Monday คืออะไร? ย้อนรอยเหตุการณ์ปี 1987

วันที่ตลาดหุ้นโลกดำดิ่ง: 19 ตุลาคม 1987

เช้าวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987 เป็นเช้าที่เงียบเหงาแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดตัวด้วยแรงขายมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ดัชนี Dow Jones Industrial Average หรือที่เรารู้จักกันดีในฐานะตัวชี้วัดหลักของตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงลงไปถึง 508 จุด คิดเป็นร้อยละ 22.6 ของมูลค่าทั้งหมดภายในวันเดียว — นี่คือการทรุดตัวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของดัชนีนี้นับตั้งแต่ก่อตั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ดัชนีอื่นๆ อย่าง S&P 500 และ FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรก็ต่างร่วงลงอย่างหนัก สื่อทั่วโลกต่างรายงานข่าวด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นักลงทุนรายย่อยที่เคยมั่นใจในเส้นกราฟขาขึ้น ต่างต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชั่วข้ามคืน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่การปรับฐานตามวงจรเศรษฐกิจ แต่คือการล่มสลายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่กลไกตลาดจะรับไหว

สาเหตุเบื้องหลังความพังทลาย: ปัจจัยที่ซับซ้อน

การล่มสลายของตลาดใน Black Monday ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผลจาก “ไส้เดือนที่กลายเป็นงู” หรือชุดของปัจจัยที่สะสมและกระตุ้นซึ่งกันและกันจนเกิดการระเบิดของความตื่นตระหนก โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเหตุการณ์นี้ ได้แก่

  • การซื้อขายอัตโนมัติ (Program Trading): เทคโนโลยีในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เริ่มเปิดทางให้กับการใช้คอมพิวเตอร์ในการสั่งซื้อขายตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า “โปรแกรมเทรดดิ้ง” เมื่อราคาหุ้นเริ่มตกลงมาถึงระดับที่กำหนด ระบบก็เริ่มเทขายอัตโนมัติ ซึ่งสร้างลูปการขายต่อเนื่องที่เร่งให้ตลาดดิ่งลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
  • การประเมินมูลค่าเกินจริงของตลาด (Market Overvaluation): ตลอดปี 1986 ถึงช่วงต้นปี 1987 ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตื่นเข้าซื้ออย่างบ้าคลั่ง จนทำให้มูลค่าหุ้นหลายตัวอยู่เหนือปัจจัยพื้นฐานอย่างมาก ตลาดจึงอยู่ในสภาวะฟองสบู่ที่พร้อมจะแตกเมื่อมีแรงสะเทือนเพียงเล็กน้อย
  • อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น: ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด เริ่มกังวลกับอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้น จึงดำเนินนโยบายขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนั้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น และลดแรงจูงใจในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น
  • ความตื่นตระหนกของนักลงทุน (Investor Panic): เมื่อแรงขายเริ่มต้นขึ้น ความกลัวแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว นักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันเริ่มเทขายเพื่อลดความเสียหาย ยิ่งขาย ยิ่งทำให้ราคาตก ยิ่งตก ยิ่งทำให้คนอื่นขายตาม กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ควบคุมได้ยาก

ในช่วงเวลานั้น Alan Greenspan เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่นานก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ ท่านต้องเผชิญกับบททดสอบครั้งแรกในฐานะผู้นำด้านนโยบายการเงินโลก

ภาพประกอบสาเหตุของวิกฤตหุ้นล้ม ได้แก่ การซื้อขายอัตโนมัติ ฟองสบู่ตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และความตื่นตระหนกของนักลงทุน

ผลกระทบวงกว้าง: Black Monday เขย่าโลกอย่างไร?

หุ้นดิ่งทั่วโลก: จากวอลล์สตรีทสู่เอเชีย

แม้เหตุการณ์จะเริ่มต้นที่วอลล์สตรีท แต่การเชื่อมโยงของตลาดการเงินโลกในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้แรงสะเทือนเดินทางไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลกภายในไม่กี่ชั่วโมง ตลาดลอนดอน โตเกียว และฮ่องกงต่างประสบกับการร่วงลงอย่างหนักในวันเดียวกันหรือวันถัดไป นักลงทุนในทุกทวีปต่างต้องเผชิญกับคำถามเดียวกัน: “จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?” วิกฤตการณ์นี้ทำให้ทุกคนตระหนักว่า ตลาดการเงินไม่ได้เป็นอิสระต่อกันอีกต่อไป แต่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ดังนั้นเหตุการณ์ในประเทศหนึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบแบบลูกโซ่ทั่วทั้งระบบการเงินโลก

บทบาทของรัฐบาลและธนาคารกลางในการกอบกู้วิกฤต

เพื่อหยุดยั้งวิกฤตไม่ให้ลุกลามไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเต็มรูปแบบ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนหลายอย่าง จุดสำคัญคือการประกาศว่าจะให้สภาพคล่องแก่ระบบการเงิน “ไม่จำกัด” เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารยังสามารถให้กู้ยืมและดำเนินงานต่อไปได้ พร้อมกันนั้น เฟดยังเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดอย่าง SEC ก็เร่งตรวจสอบกิจกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติ ความเด็ดขาดในการตัดสินใจของภาครัฐในช่วงเวลานั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้วิกฤตกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างที่เกิดในปี 1929

บทเรียนจาก Black Monday: สู่การปฏิรูปและกลไกป้องกัน

วิกฤต Black Monday กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ระบบการเงินโลกเกิดการปฏิรูปอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในด้านการกำกับดูแลและการออกแบบกลไกป้องกันความเสี่ยง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์รุนแรงระดับนี้เกิดขึ้นอีก หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก รวมถึง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของไทย ก็เริ่มศึกษาและปรับใช้แนวทางใหม่ๆ จากบทเรียนที่ได้รับ

  • ระบบเซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breakers): เป็นกลไกที่ออกแบบมาเพื่อหยุดการซื้อขายชั่วคราวเมื่อดัชนีตลาดหุ้นร่วงลงถึงระดับที่กำหนด เช่น 10%, 15% หรือ 20% ตามช่วงเวลา เพื่อให้ผู้ลงทุนมีเวลาหายใจ วิเคราะห์สถานการณ์ และลดความตื่นตระหนกที่อาจนำไปสู่การขายต่อเนื่องแบบไม่รู้ตัว
  • การควบคุมการซื้อขายอัตโนมัติ: หน่วยงานกำกับดูแลเริ่มตั้งกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนมากขึ้นต่อการใช้โปรแกรมเทรดดิ้ง รวมถึงการจำกัดปริมาณคำสั่งซื้อขายในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบอัตโนมัติกลายเป็นตัวเร่งวิกฤต
  • ความเข้าใจในจิตวิทยาของนักลงทุน: Black Monday ชี้ให้เห็นชัดว่า “อารมณ์” มีบทบาทอย่างมหาศาลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด การศึกษาพฤติกรรมของนักลงทุนในช่วงวิกฤตจึงกลายเป็นแขนงหนึ่งของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Finance) ที่มีความสำคัญต่อการออกแบบนโยบายและการให้คำแนะนำการลงทุน

Black Monday กับตลาดหุ้นไทย: บทเรียนที่ยังคงอยู่และอนาคต

SET ในบริบทของ Black Monday: ความแตกต่างและการเชื่อมโยง

ในปี 1987 ตลาดหุ้นไทยยังมีขนาดเล็ก และยังไม่ได้เชื่อมโยงกับตลาดโลกอย่างแน่นหนาเหมือนปัจจุบัน ด