
ใครๆ ก็รู้จัก Nike (ไนกี้) ใช่ไหมครับ? แบรนด์เครื่องกีฬาที่มีโลโก้ Swoosh เท่ๆ ที่เราเห็นอยู่บนรองเท้า เสื้อผ้า กระเป๋า หรือแม้แต่หมวกที่เราใส่กันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาดังระดับโลก หรือคนทั่วไปที่ชอบออกกำลังกาย หรือแม้แต่นั่งเล่นสบายๆ อยู่บ้าน ก็ต้องมีไอเท็มของ ไนกี้ ติดตู้เสื้อผ้ากันบ้างแหละ
แต่เคยสงสัยไหมครับว่า ไอ้บริษัทใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มระดับโลกแบบนี้ เบื้องหลังเรื่องเงินๆ ทองๆ อย่าง “หุ้นไนกี้” ของเขาเป็นยังไงบ้าง? ช่วงนี้เห็นข่าวแว่วๆ มาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เกิดอะไรขึ้นกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการกีฬากันแน่ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่จะเล่าเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ จะมาอัปเดตให้ฟังแบบหมดเปลือกครับ
Nike เนี่ย ไม่ได้ทำแค่รองเท้าวิ่ง รองเท้าบาส หรือรองเท้าผ้าใบแฟชั่นอย่างเดียวนะครับ แต่เขาทำครบวงจรเลย ทั้งเสื้อผ้า อุปกรณ์เสริมต่างๆ ทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา ถือเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในตลาดรองเท้าและเครื่องแต่งกายกีฬาเลยก็ว่าได้ แบรนด์ในเครือก็มีทั้ง NIKE เอง, Jumpman (ที่รู้กันว่าคือ Michael Jordan), Converse (Chuck Taylor ก็อยู่ในกลุ่มนี้) เรียกว่าครอบคลุมหลายสไตล์ หลายกลุ่มลูกค้าทีเดียว
ทีนี้ มาดูเรื่องที่นักลงทุนหรือคนสนใจ “หุ้นไนกี้” เขาจ้องตากันเป็นพิเศษ นั่นก็คือ “ผลประกอบการ” ครับ ไนกี้เพิ่งประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมา ตัวเลขดูเหมือนจะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้นะครับ
* **กำไรต่อหุ้น (EPS):** ทำได้ 0.54 ดอลลาร์ ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.30 ดอลลาร์
* **รายได้:** ทำได้ 1.127 หมื่นล้านดอลลาร์ ก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.102 หมื่นล้านดอลลาร์เหมือนกัน
ฟังดูดีใช่ไหมครับ? กำไรดีกว่าคาด รายได้ดีกว่าคาด… **แต่… มันมี “แต่” ตัวใหญ่ๆ อยู่ครับ** คือถึงแม้ตัวเลขไตรมาสล่าสุดจะดูดีกว่าที่นักวิเคราะห์มองไว้ แต่สิ่งที่ทำให้ตลาดหุ้น หรือคนที่เป็นเจ้าของ “หุ้นไนกี้” กังวลสุดๆ คือ “ประมาณการ” หรือ “แนวโน้ม” ในอนาคตที่บริษัทให้มานี่สิครับ!

ไนกี้บอกว่า **คาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาสหน้าจะลดลงประมาณ 10%** และ **รายได้ทั้งปี (สำหรับปีงบประมาณ 2025) อาจจะลดลงประมาณ 5%** ครับ! ซึ่งตัวเลขประมาณการนี้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เคยมองไว้เยอะเลย นักวิเคราะห์ถึงกับปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นไตรมาสหน้าลงไปเหลือแค่ประมาณ 0.11 ดอลลาร์เท่านั้น
ตรงนี้เองที่เป็นประเด็นใหญ่ครับ ลองนึกภาพดูนะครับ เหมือนนักกีฬาวิ่งมาดีในรอบคัดเลือก แต่พอจะถึงรอบชิงกลับบอกว่า “รอบหน้าผมอาจจะวิ่งช้าลงนะครับ” แค่นี้ก็ทำเอากองเชียร์ใจแป้วแล้วใช่ไหมล่ะ? สำหรับ “หุ้นไนกี้” ตัวเลขประมาณการที่ลดลงแบบนี้ส่งสัญญาณว่า “ข้างหน้าอาจจะไม่ง่ายนะ”
**แล้วทำไม ไนกี้ ถึงมองว่าอนาคตอาจจะเหนื่อยล่ะ?**
ปัจจัยหลักๆ ที่นักวิเคราะห์และตลาดมองว่าเป็นตัวกดดัน “หุ้นไนกี้” ในช่วงนี้มาจากหลายทางครับ
1. **แนวโน้มรายได้ลดลง:** อย่างที่บอกไป ตัวเลขประมาณการจากบริษัทเองที่หั่นลงมา ทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนลดลงทันที
2. **ตลาดจีนอ่อนตัว:** จีนถือเป็นตลาดใหญ่และสำคัญมากๆ ของ ไนกี้ ครับ แต่ช่วงนี้สภาวะเศรษฐกิจในจีนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้ออาจจะลดลง ยอดขายในจีนที่เคยเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญ ก็เลยดูแผ่วๆ ไป ซึ่งกระทบกับรายได้รวมของบริษัทโดยตรง
3. **การแข่งขันดุเดือด:** ตลาดเครื่องกีฬาไม่ได้มีแค่ ไนกี้ เจ้าเดียวครับ คู่แข่งอย่าง adidas, New Balance, ASICS หรือแม้แต่แบรนด์แฟชั่นต่างๆ ที่หันมาทำไลน์สปอร์ตแวร์ ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มีการออกสินค้าใหม่ๆ หรือใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ดึงดูดลูกค้า ทำให้ ไนกี้ ต้องพยายามมากขึ้นเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและยอดขาย
ลองเทียบกับสถานการณ์ที่เราเจอในชีวิตประจำวันก็ได้ครับ สมมติเราเปิดร้านขายของ กำลังขายดีๆ อยู่เลย คู่แข่งก็เยอะขึ้น แถมลูกค้าบางส่วนกำลังซื้อลดลงเพราะเศรษฐกิจไม่ดี เราก็คงต้องมานั่งคิดแล้วว่าจะทำยังไงต่อไป จะลดราคา จะออกสินค้าใหม่ หรือจะปิดบางสาขาลงไหม คล้ายๆ กับที่ ไนกี้ กำลังเผชิญอยู่แหละครับ
เมื่อปัจจัยลบเหล่านี้มารวมกัน มันก็ไปกดดัน **ราคาหุ้นของ NKE** (ชื่อย่อหุ้น ไนกี้ ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก) อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ แม้ว่าราคาหุ้นล่าสุด (ประมาณ 55.76 ดอลลาร์) จะดูเหมือนปรับขึ้นมาเล็กน้อยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่ถ้ามองย้อนไปสัปดาห์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับราคาเมื่อปีที่แล้ว ราคา “หุ้นไนกี้” ร่วงลงมาเยอะมากๆ เลยครับ

นักวิเคราะห์เองก็มีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับอนาคตของ “หุ้นไนกี้” นะครับ บางคนมองว่าราคายังมีโอกาสไปได้ถึง 120 ดอลลาร์ ในขณะที่บางคนก็มองต่ำถึง 40 ดอลลาร์เลยทีเดียว ภาพรวมของคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ตอนนี้จะค่อนไปทาง “เป็นกลาง” หรือ “แนะนำให้ขาย” มากกว่า “แนะนำให้ซื้อ” ครับ
สำหรับข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ที่น่าสนใจของ “หุ้นไนกี้” ก็มีอีกหลายอย่างครับ เช่น:
* **เงินปันผล:** ไนกี้ เป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอครับ โดยจ่ายเป็นรายไตรมาส เงินปันผลล่าสุดอยู่ที่ 0.40 ดอลลาร์ต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (ดูย้อนหลัง 12 เดือน) ประมาณ 2.76% ครับ ใครที่ชอบหุ้นที่จ่ายปันผล ตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่มีปันผลให้พิจารณา
* **มูลค่าตามราคาตลาด:** ตอนนี้ ไนกี้ มีมูลค่ารวมทั้งบริษัทตามราคาหุ้นในตลาดอยู่ที่ประมาณ 82.30 พันล้านดอลลาร์ครับ (ก็ยังถือเป็นบริษัทใหญ่มากๆ อยู่ดี)
* **จำนวนพนักงาน:** มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 79,400 คน
* **อัตรากำไร EBITDA:** เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลักๆ ของบริษัท ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 13.31% ครับ
**สรุปแล้ว สถานการณ์ของ “หุ้นไนกี้” ตอนนี้เป็นยังไง?**
ก็เหมือนมีสองด้านในเหรียญเดียวครับ ด้านนึงคือ ไนกี้ ยังคงเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากๆ เป็นผู้นำในตลาดโลก มีฐานลูกค้าทั่วโลก มีสินค้าหลากหลาย ที่สำคัญคือเป็นแบรนด์ที่มีเรื่องราว มีความผูกพันทางอารมณ์กับผู้บริโภคเยอะมาก
แต่อีกด้านนึงคือ ไนกี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้นถึงกลาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประมาณการรายได้ที่ลดลง ตลาดสำคัญอย่างจีนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เองที่กดดันผลประกอบการและทำให้ราคา “หุ้นไนกี้” ปรับตัวลดลงมาในช่วงที่ผ่านมา
**แล้วในฐานะนักลงทุน หรือคนที่สนใจ “หุ้นไนกี้” ควรทำยังไงดีล่ะ?**
แน่นอนว่าไม่มีใครให้คำตอบสุดท้ายได้ว่าควรซื้อ ขาย หรือถือ ครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การศึกษาข้อมูลด้วยตัวเอง” (Do Your Own Research – DYOR) ครับ
* **ทำความเข้าใจสถานการณ์:** อ่านข่าว วิเคราะห์ตัวเลขผลประกอบการ ทั้งที่ผ่านมาและประมาณการในอนาคต ว่าทำไมบริษัทถึงมองแบบนั้น มีเหตุผลอะไรมารองรับ
* **ประเมินปัจจัยเสี่ยง:** นอกจากเรื่องรายได้ลดลง ตลาดจีน และการแข่งขันแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกไหมที่อาจกระทบกับ ไนกี้ เช่น ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ปัญหาซัพพลายเชน หรือการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ความนิยมของผู้บริโภค
* **พิจารณาเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง:** เรามองการลงทุน “หุ้นไนกี้” เป็นระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว? ถ้ามองยาวมากๆ ปัญหาในช่วงสั้นๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าความแข็งแกร่งของแบรนด์ในระยะยาว แต่ถ้ามองสั้นๆ หรือกลางๆ แนวโน้มที่บริษัทให้มาก็อาจจะเป็นสัญญาณที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
สำหรับใครที่สนใจอยากจะลองซื้อขาย “หุ้นไนกี้” หรือหุ้นต่างประเทศตัวอื่นๆ ตอนนี้ก็มีช่องทางที่หลากหลายมากขึ้นนะครับ หลายโบรกเกอร์ในต่างประเทศก็มีบริการให้เราสามารถเปิดบัญชีและซื้อขายหุ้นเหล่านี้ได้โดยตรง อย่างเช่น Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งแต่ละที่ก็อาจจะมีเงื่อนไข ค่าธรรมเนียม หรือเครื่องมือต่างๆ ที่แตกต่างกันไป ก็ลองเปรียบเทียบดูก่อนตัดสินใจนะครับ
**⚠️ คำเตือนสำคัญ:** การลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงินใดๆ มีความเสี่ยงเสมอครับ ราคาหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นลงได้ตามปัจจัยต่างๆ และคุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ ควรศึกษาข้อมูลของบริษัทและลักษณะของผลิตภัณฑ์การลงทุนให้ครบถ้วนและทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนเฉพาะเงินที่คุณพร้อมจะสูญเสียได้เท่านั้นครับ อย่าลงทุนตามกระแสหรือตามคนอื่นโดยที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองนะครับ!
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนได้มองเห็นภาพรวมของ “หุ้นไนกี้” ในมุมที่ลึกขึ้นกว่าแค่แบรนด์รองเท้านะครับ ตลาดหุ้นมีเรื่องให้เรียนรู้ไม่รู้จบจริงๆ ครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ!