Swift Code คืออะไร? ความหมายและความสำคัญของการโอนเงินระหว่างประเทศ

ในยุคเศรษฐกิจที่ไม่มีพรมแดน การติดต่อทางการเงินข้ามประเทศกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเงินกลับบ้าน การชำระค่าสินค้าจากต่างประเทศ หรือการลงทุนในตลาดโลก การทำธุรกรรมเหล่านี้อาศัยระบบที่แม่นยำและปลอดภัย หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้คือ “Swift Code” หรือที่รู้จักในชื่อ BIC (Bank Identifier Code) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนที่อยู่เฉพาะของธนาคารในระบบการเงินโลก ช่วยระบุตัวตนของสถาบันการเงินอย่างชัดเจน ทำให้เงินเดินทางไปถึงปลายทางได้โดยไม่หลงทาง
โดยพื้นฐานแล้ว Swift Code คือรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ระบุธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลกในธุรกรรมข้ามแดน ถือเป็นข้อมูลจำเป็นอย่างยิ่งในการโอนเงินระหว่างประเทศ เพราะหากไม่มีรหัสนี้ ระบบจะไม่สามารถระบุได้ว่าเงินควรส่งไปที่ธนาคารใด ทำให้การทำธุรกรรมล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น
บทบาทของ Swift Code ในระบบการเงินโลกนั้นขาดไม่ได้ ไม่ใช่แค่เป็นข้อมูลระบุตัวตน แต่ยังเป็นหัวใจของการสื่อสารที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ระหว่างธนาคารต่างชาติ ธนาคารกสิกรไทย เองก็เน้นย้ำว่าผู้ที่ต้องการรับเงินจากต่างประเทศควรเตรียม Swift Code ให้ครบถ้วน เพื่อความรวดเร็วและแม่นยำในการรับเงิน
ที่มาของระบบ Swift Code เริ่มขึ้นในปี 1973 เมื่อกลุ่มธนาคารทั่วโลกรวมตัวกันก่อตั้งองค์กรที่ชื่อ SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) ด้วยเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารทางการเงินที่เดิมใช้โทรสารหรือโทรศัพท์ ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องความเร็ว ความปลอดภัย และความผิดพลาดสูง ระบบใหม่ของ SWIFT จึงถูกออกแบบมาให้เป็นเครือข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัย ควบคู่กับการพัฒนารหัสระบุตัวตนของธนาคาร หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Swift Code หรือ BIC ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลาย
โครงสร้างของ Swift Code: ถอดรหัส 8 หรือ 11 ตัวอักษร

การเข้าใจโครงสร้างของ Swift Code จะช่วยให้คุณตรวจสอบความถูกต้องของรหัสที่ใช้ได้ง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดในการโอนเงิน รหัสนี้มีความเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น 8 หรือ 11 ตัวอักษร ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายเฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถระบุธนาคาร ประเทศ สำนักงานใหญ่ และสาขาได้อย่างแม่นยำ
โครงสร้างของ Swift Code แบ่งได้เป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้:
- รหัสธนาคาร (Bank Code) – 4 ตัวอักษรแรก: ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษล้วน ระบุชื่อธนาคารอย่างเฉพาะตัว เช่น BBL สำหรับธนาคารกรุงเทพ, KASI สำหรับธนาคารกสิกรไทย
- รหัสประเทศ (Country Code) – 2 ตัวอักษรถัดไป: เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัว ตามมาตรฐาน ISO 3166-1 เช่น TH สำหรับประเทศไทย, SG สำหรับสิงคโปร์
- รหัสที่ตั้ง (Location Code) – 2 ตัวอักษรถัดไป: ประกอบด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข ใช้ระบุสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่หรือศูนย์กลางในประเทศนั้น ๆ เช่น BK สำหรับกรุงเทพฯ
- รหัสสาขา (Branch Code) – 3 ตัวอักษรสุดท้าย (ไม่จำเป็นเสมอไป): ใช้ระบุสาขาเฉพาะของธนาคาร ถ้าไม่มีส่วนนี้ แปลว่ารหัสอ้างอิงถึงสำนักงานใหญ่หรือศูนย์กลางที่ใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
ตัวอย่างการถอดรหัส Swift Code:
- BBLATHBK
- BBL: ธนาคารกรุงเทพ
- TH: ประเทศไทย
- BK: กรุงเทพฯ
- KASITHBK
- KASI: ธนาคารกสิกรไทย
- TH: ประเทศไทย
- BK: กรุงเทพฯ
ต่างกันอย่างไรระหว่างรหัส 8 หลัก กับ 11 หลัก?
Swift Code แบบ 8 หลัก (เช่น BBLATHBK) จะระบุเฉพาะธนาคาร ประเทศ และที่ตั้ง ซึ่งมักใช้สำหรับสำนักงานใหญ่หรือในกรณีที่ธนาคารไม่ต้องการระบุสาขาเฉพาะเจาะจง นี่คือรหัสที่นิยมใช้ทั่วไปในการโอนเงินระหว่างประเทศ
ส่วน Swift Code แบบ 11 หลัก (เช่น KASITHBKXXX) จะเพิ่มรหัสสาขา 3 ตัวอักษรเข้ามา เพื่อชี้เฉพาะสาขาที่ต้องการ เช่น สาขาที่ให้บริการเฉพาะด้านหรือมีระบบรองรับการรับเงินต่างประเทศโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ การใช้รหัส 8 หลักก็เพียงพอ ยกเว้นธนาคารผู้รับจะระบุชัดเจนว่าต้องการรหัส 11 หลัก
วิธีค้นหา Swift Code ของธนาคารไทย

การหา Swift Code ของธนาคารไทยไม่ใช่เรื่องยาก มีหลายช่องทางที่คุณสามารถใช้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความล่าช้าหรือความผิดพลาดในการโอนเงิน
- เว็บไซต์ทางการของธนาคาร: เกือบทุกธนาคารในประเทศไทยจะแสดง Swift Code ไว้ในหน้าบริการโอนเงินระหว่างประเทศ หรือในส่วน “ติดต่อเรา” หรือ “คำถามที่พบบ่อย” ค้นหาด้วยคำว่า “โอนเงินต่างประเทศ” หรือ “รับเงินจากต่างประเทศ”
- สมุดบัญชีธนาคาร: บางธนาคารพิมพ์ Swift Code ไว้ที่หน้าแรกของสมุดคู่ฝากหรือสมุดบัญชี ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และใช้ได้จริง
- แอปพลิเคชันธนาคาร: แอปมือถือของธนาคารหลายแห่งมีฟังก์ชันสำหรับโอนเงินระหว่างประเทศโดยอัตโนมัติแสดง Swift Code ให้คุณ ช่วยให้คุณไม่ต้องค้นหาเอง
- ติดต่อธนาคารโดยตรง: หากคุณไม่มั่นใจหรือต้องการข้อมูลเฉพาะสาขา ควรติดต่อศูนย์บริการลูกค้า หรือไปที่สาขาใกล้บ้านเพื่อขอคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่
ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใด ขอให้จำไว้ว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในการกรอกรหัสอาจทำให้เงินไปผิดที่ หรือถูกตีกลับ ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลซ้ำอย่างน้อยสองครั้งก่อนกดยืนยันธุรกรรม โดยเฉพาะเมื่อทำธุรกรรมครั้งใหญ่
รหัส Swift Code ของธนาคารไทยยอดนิยม (ตาราง)
เพื่อความสะดวกในการอ้างอิง เราได้รวบรวม Swift Code ของธนาคารชั้นนำในประเทศไทยไว้ในตารางด้านล่างนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ควรใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น และคุณควรยืนยันกับธนาคารโดยตรงก่อนทำธุรกรรมสำคัญ
ชื่อธนาคาร (ภาษาไทย) | ชื่อธนาคาร (ภาษาอังกฤษ) | Swift Code / BIC |
---|---|---|
ธนาคารกรุงเทพ | Bangkok Bank Public Company Limited | BBLATHBK |
ธนาคารกสิกรไทย | Kasikornbank Public Company Limited | KASITHBK |
ธนาคารไทยพาณิชย์ | Siam Commercial Bank Public Company Limited | SICOTHBK |
ธนาคารกรุงไทย | Krungthai Bank Public Company Limited | KRTHTHBK |
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา | Bank of Ayudhya Public Company Limited | AYUDTHBK |
ธนาคารทหารไทยธนชาต | TMBThanachart Bank Public Company Limited | TMBKTHBK |
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย | CIMB Thai Bank Public Company Limited | CITITHBK |
ธนาคารยูโอบี | United Overseas Bank (Thai) Public Company Limited | UOVBTHBK |
ธนาคารออมสิน | Government Savings Bank | GSBATHBK |
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | Islamic Bank of Thailand | TIBTTHBK |
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย | Small and Medium Enterprise Development Bank of Thailand | SMEDTHBK |
สำหรับธนาคารอื่น ๆ หรือกรณีที่ต้องการ Swift Code ของสาขาเฉพาะ การตรวจสอบจากเว็บไซต์ธนาคารหรือการติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด การยืนยันข้อมูลทุกครั้งช่วยให้คุณมั่นใจว่าธุรกรรมของคุณจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
Swift Code, BIC และ IBAN: เข้าใจความแตกต่างเพื่อการโอนเงินที่ถูกต้อง
หลายคนมักสับสนระหว่าง Swift Code, BIC และ IBAN ทั้งที่แต่ละตัวมีหน้าที่ต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้คุณเตรียมข้อมูลครบถ้วนและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจทำให้เงินล่าช้าหรือสูญหาย
Swift Code กับ BIC คืออะไร?
ในความเป็นจริง สองคำนี้หมายถึงสิ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ BIC (Bank Identifier Code) เป็นชื่อทางการที่กำหนดโดยองค์กรมาตรฐานสากล ส่วน Swift Code เป็นชื่อที่ใช้ในชีวิตประจำวันและในวงการธนาคารทั่วไป ตัวอย่างเช่น รหัส BBLATHBK ที่ใช้กับ ธนาคารกรุงเทพ คือทั้ง Swift Code และ BIC ซึ่งทำหน้าที่ระบุ “ธนาคาร” ที่จะรับเงิน แต่ไม่ได้ระบุ “บัญชี” ของผู้รับ
IBAN คืออะไร?
IBAN (International Bank Account Number) คือรหัสบัญชีระหว่างประเทศที่ใช้ระบุบัญชีธนาคารของผู้รับโดยตรง โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป ซึ่งรหัสนี้จะรวมหมายเลขบัญชี รหัสธนาคาร และรหัสประเทศไว้ด้วยกันในรูปแบบมาตรฐานเดียว ทำให้ระบบตรวจสอบและประมวลผลได้อย่างแม่นยำ
สรุปเปรียบเทียบ:
- Swift Code / BIC: ใช้ระบุ ธนาคาร ปลายทาง จำเป็นทุกครั้งในการโอนเงินระหว่างประเทศ ไม่ว่าประเทศใด
- IBAN: ใช้ระบุ บัญชีผู้รับ โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้ระบบ IBAN เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือเนเธอร์แลนด์ หากคุณโอนเงินไปยังประเทศเหล่านี้ คุณจำเป็นต้องมีทั้ง Swift Code และ IBAN
ดังนั้น เมื่อคุณเตรียมโอนเงินไปต่างประเทศ ต้องมีข้อมูลอย่างน้อยสองอย่าง: Swift Code ของธนาคารผู้รับ และหมายเลขบัญชีของผู้รับ (อาจเป็น IBAN หรือหมายเลขบัญชีท้องถิ่น ขึ้นอยู่กับประเทศ) การจัดเตรียมข้อมูลให้ครบจะช่วยให้ธุรกรรมราบรื่น
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Swift Code และวิธีแก้ไข
แม้ Swift Code จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ความผิดพลาดของมนุษย์ยังคงเป็นสาเหตุหลักของปัญหาในการโอนเงินระหว่างประเทศ ต่อไปนี้คือข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและแนวทางการแก้ไข
ข้อผิดพลาดทั่วไป:
- พิมพ์รหัสผิดแม้เพียงตัวเดียว: เช่น สับสนระหว่าง 1 กับ I หรือ 0 กับ O อาจทำให้เงินไปถึงธนาคารอื่นหรือถูกระงับ
- ใช้รหัสที่ไม่อัปเดต: บางครั้งธนาคารรวมตัวหรือเปลี่ยนชื่อ ทำให้ Swift Code เดิมไม่สามารถใช้ได้
- ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน: ชื่อบัญชีหรือหมายเลขบัญชีไม่ตรงกับที่ธนาคารเก็บไว้ แม้ Swift Code จะถูกต้อง ธนาคารก็อาจปฏิเสธการโอน
- สับสนระหว่าง Swift Code กับ IBAN: โดยเฉพาะเมื่อโอนไปยุโรป การนำ Swift Code ไปใส่ในช่อง IBAN หรือในทางกลับกัน อาจทำให้ระบบปฏิเสธคำขอ
แนวทางการแก้ไข:
- ตรวจสอบซ้ำก่อนยืนยัน: ตรวจสอบ Swift Code ชื่อผู้รับ หมายเลขบัญชี และจำนวนเงินอย่างละเอียด
- ติดต่อธนาคารทันทีหากเกิดข้อผิดพลาด: หากคุณสังเกตว่าพิมพ์รหัสผิดก่อนที่เงินจะถูกส่งออกไป ธนาคารอาจสามารถระงับรายการได้
- ติดตามสถานะการโอน: ใช้หมายเลขอ้างอิง (transaction ID) ติดตามความเคลื่อนไหว และขอให้ธนาคารช่วยประสานงานหากเงินไปผิดที่
- เก็บเอกสารสำคัญไว้: เช่น ใบแจ้งการโอนเงิน หรืออีเมลยืนยัน เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา
ความระมัดระวังคือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการป้องกันข้อผิดพลาด และการตอบสนองอย่างรวดเร็วจะเพิ่มโอกาสในการแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ
เคล็ดลับการโอนเงินระหว่างประเทศด้วย Swift Code ให้รวดเร็วและปลอดภัย
การโอนเงินผ่าน Swift Code อาจดูซับซ้อน แต่หากคุณเตรียมตัวดี การทำธุรกรรมจะเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย นี่คือเคล็ดลับที่ควรรู้
- เตรียมเอกสารให้ครบ:
- ผู้โอน: บัตรประชาชน ข้อมูล Swift Code ของธนาคารผู้รับ ชื่อ-นามสกุลและที่อยู่ผู้รับ (ภาษาอังกฤษ) หมายเลขบัญชี วัตถุประสงค์การโอน และเอกสารสนับสนุนหากเป็นธุรกรรมทางธุรกิจ
- ผู้รับ: ควรแจ้ง Swift Code และหมายเลขบัญชีที่ถูกต้องให้ผู้โอนอย่างชัดเจน
- ข้อมูลที่ผู้รับต้องมี: เตรียมบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง หรือเอกสารยืนยันตัวตนไว้ เพื่อใช้ยืนยันเมื่อเข้ารับเงิน
- ปัจจัยที่มีผลต่อการโอน:
- ค่าธรรมเนียม: อาจมีหลายชั้น เช่น ค่าธรรมเนียมของธนาคารต้นทาง ธนาคารปลายทาง และธนาคารตัวกลาง ควรสอบถามล่วงหน้า
- อัตราแลกเปลี่ยน: ตรวจสอบอัตราในวันทำรายการ เพราะอาจมีผลต่อจำนวนเงินที่ผู้รับได้รับ
- เวลาทำการ: ทำรายการในวันและช่วงเวลาทำการของทั้งสองธนาคารจะเร็วกว่า
- ประเทศปลายทาง: บางประเทศมีขั้นตอนตรวจสอบเพิ่มเติม ทำให้ใช้เวลานานกว่า
- ป้องกันการฉ้อโกง:
- โอนเงินเฉพาะกับบุคคลหรือองค์กรที่คุณรู้จักและเชื่อถือได้
- อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่านหรือเลขบัตรประชาชน กับใครที่ไม่น่าเชื่อถือ
- ระวังข้อความหรืออีเมลที่อ้างว่าคุณถูกรางวัลหรือต้องช่วยเหลือทางการเงิน แล้วให้โอนเงินก่อน
- ใช้บริการจากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีใบอนุญาตและชื่อเสียงดี
การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้คุณโอนเงินระหว่างประเทศได้อย่างมั่นใจ รวดเร็ว และปลอดภัย
สรุป: Swift Code กุญแจสำคัญสู่โลกการเงินไร้พรมแดน
Swift Code หรือ BIC ไม่ใช่เพียงรหัสตัวอักษร แต่เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ระบบการเงินโลกเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการระบุตัวตนของธนาคารอย่างแม่นยำ ทำให้เงินสามารถเดินทางข้ามประเทศได้อย่างปลอดภัยและทันเวลา
จากบทความนี้ คุณได้เรียนรู้ทั้งความหมาย โครงสร้าง การค้นหา Swift Code ความแตกต่างจาก IBAN ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย และแนวทางการป้องกัน รวมถึงข้อมูลเฉพาะของธนาคารไทยยอดนิยม ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้คุณมีความรู้เพียงพอในการจัดการธุรกรรมข้ามชาติอย่างมืออาชีพ
สุดท้ายนี้ ขอให้คุณจำไว้ว่า ความแม่นยำในการกรอกรหัส Swift Code และข้อมูลผู้รับทุกอย่างคือหัวใจของการโอนเงินที่ไม่มีปัญหา หากมีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะติดต่อธนาคารเพื่อขอคำแนะนำ การมีความรู้ที่ถูกต้องจะทำให้คุณก้าวเข้าสู่โลกการเงินไร้พรมแดนได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Swift Code (FAQs)
1. Swift Code คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในการโอนเงินระหว่างประเทศ?
Swift Code หรือ BIC (Bank Identifier Code) คือรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ระบุธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลกในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับประกันว่าเงินจะถูกส่งไปยังธนาคารผู้รับที่ถูกต้องและแม่นยำ ทำให้การโอนเงินข้ามประเทศเป็นไปได้และปลอดภัย
2. Swift Code กับ BIC เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
Swift Code และ BIC คือสิ่งเดียวกัน ในทางปฏิบัติคำทั้งสองนี้สามารถใช้แทนกันได้ โดย BIC เป็นชื่ออย่างเป็นทางการที่กำหนดโดยองค์กรมาตรฐานสากล (ISO) ส่วน Swift Code เป็นชื่อที่นิยมใช้เรียกทั่วไป
3. ฉันจะค้นหา Swift Code ของธนาคารในประเทศไทยได้อย่างไร?
คุณสามารถค้นหา Swift Code ของธนาคารไทยได้จากหลายช่องทาง ได้แก่:
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของธนาคารนั้นๆ (ในส่วนบริการโอนเงินระหว่างประเทศ)
- สมุดคู่ฝากหรือสมุดบัญชี (บางธนาคารอาจพิมพ์ไว้)
- แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ
- ติดต่อสอบถามโดยตรงที่ธนาคารหรือศูนย์บริการลูกค้า
4. หากฉันใส่ Swift Code ผิดพลาด จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินที่โอนไป?
หากใส่ Swift Code ผิดพลาด อาจทำให้เงินถูกส่งไปยังธนาคารที่ไม่ถูกต้อง การโอนเงินล่าช้า เงินถูกตีกลับ หรืออาจเกิดความสับสนในการดำเนินการ หากพบข้อผิดพลาด ควรรีบติดต่อธนาคารที่คุณทำรายการโอนเงินโดยเร็วที่สุดเพื่อขอความช่วยเหลือและแก้ไข
5. Swift Code 8 หลัก กับ 11 หลัก แตกต่างกันอย่างไร และควรใช้แบบไหน?
Swift Code แบบ 8 หลักจะระบุรหัสธนาคาร รหัสประเทศ และรหัสที่ตั้งเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงสำนักงานใหญ่หรือรหัสทั่วไปของธนาคาร ส่วนแบบ 11 หลักจะเพิ่มรหัสสาขา 3 ตัวอักษรเข้าไปเพื่อระบุสาขาเฉพาะเจาะจง
ในการโอนเงินส่วนใหญ่ การใช้ Swift Code แบบ 8 หลักก็เพียงพอแล้ว เว้นแต่ธนาคารปลายทางจะระบุให้ใช้รหัส 11 หลักที่มีรหัสสาขาเฉพาะเจาะจง
6. การโอนเงินระหว่างประเทศจำเป็นต้องใช้ IBAN เสมอไปหรือไม่?
ไม่เสมอไป IBAN (International Bank Account Number) เป็นรหัสที่ใช้ระบุหมายเลขบัญชีธนาคารของผู้รับอย่างละเอียด ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในประเทศแถบยุโรป หากคุณโอนเงินไปยังประเทศที่ใช้ระบบ IBAN ก็จำเป็นต้องใช้ แต่หากโอนไปยังประเทศที่ไม่ได้ใช้ IBAN เช่น ประเทศไทย คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ IBAN
7. มีค่าธรรมเนียมในการโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Swift Code หรือไม่?
มี ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินระหว่างประเทศจะแตกต่างกันไปตามธนาคารแต่ละแห่งและประเทศปลายทาง อาจมีค่าธรรมเนียมสำหรับธนาคารผู้โอน ธนาคารผู้รับ และธนาคารตัวกลาง (Correspondent Bank) ที่เกี่ยวข้อง ควรสอบถามรายละเอียดค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารที่คุณใช้บริการก่อนทำรายการ
8. ถ้าต้องการโอนเงินไปต่างประเทศ ควรเตรียมข้อมูลอะไรบ้างนอกจาก Swift Code?
นอกจาก Swift Code ของธนาคารผู้รับแล้ว คุณควรเตรียมข้อมูลเหล่านี้:
- ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ของผู้รับ (เป็นภาษาอังกฤษ)
- หมายเลขบัญชีธนาคารของผู้รับ (หรือ IBAN หากประเทศปลายทางใช้)
- ชื่อธนาคารของผู้รับ (เป็นภาษาอังกฤษ)
- วัตถุประสงค์ของการโอนเงิน
- เอกสารยืนยันตัวตนของคุณ
9. ใช้เวลานานแค่ไหนในการโอนเงินระหว่างประเทศด้วย Swift Code?
โดยทั่วไป การโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Swift Code จะใช้เวลาประมาณ 1-5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับธนาคารที่เกี่ยวข้อง ประเทศปลายทาง และช่วงเวลาที่ทำรายการ (เช่น วันหยุดราชการ หรือช่วงเวลาหลังทำการ)
10. สามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้โดยไม่มี Swift Code หรือไม่?
ไม่สามารถทำได้ Swift Code เป็นข้อมูลสำคัญที่จำเป็นในการระบุธนาคารผู้รับสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ หากไม่มีรหัส Swift Code ระบบการเงินจะไม่สามารถระบุธนาคารปลายทางได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการโอนเงินได้