Swift Code คืออะไร? 5 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนโอนเงินต่างประเทศให้ปลอดภัย ไร้ข้อผิดพลาด

Swift Code คืออะไร? ความหมายและความสำคัญของการโอนเงินระหว่างประเทศ

ภาพโลกที่มีเส้นเชื่อมต่อแสดงระบบการเงินโลกและกุญแจที่เขียนว่า Swift Code เปิดเส้นทางปลอดภัย

ในยุคเศรษฐกิจที่ไม่มีพรมแดน การติดต่อทางการเงินข้ามประเทศกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเงินกลับบ้าน การชำระค่าสินค้าจากต่างประเทศ หรือการลงทุนในตลาดโลก การทำธุรกรรมเหล่านี้อาศัยระบบที่แม่นยำและปลอดภัย หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้คือ “Swift Code” หรือที่รู้จักในชื่อ BIC (Bank Identifier Code) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนที่อยู่เฉพาะของธนาคารในระบบการเงินโลก ช่วยระบุตัวตนของสถาบันการเงินอย่างชัดเจน ทำให้เงินเดินทางไปถึงปลายทางได้โดยไม่หลงทาง

โดยพื้นฐานแล้ว Swift Code คือรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ระบุธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลกในธุรกรรมข้ามแดน ถือเป็นข้อมูลจำเป็นอย่างยิ่งในการโอนเงินระหว่างประเทศ เพราะหากไม่มีรหัสนี้ ระบบจะไม่สามารถระบุได้ว่าเงินควรส่งไปที่ธนาคารใด ทำให้การทำธุรกรรมล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น

บทบาทของ Swift Code ในระบบการเงินโลกนั้นขาดไม่ได้ ไม่ใช่แค่เป็นข้อมูลระบุตัวตน แต่ยังเป็นหัวใจของการสื่อสารที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ระหว่างธนาคารต่างชาติ ธนาคารกสิกรไทย เองก็เน้นย้ำว่าผู้ที่ต้องการรับเงินจากต่างประเทศควรเตรียม Swift Code ให้ครบถ้วน เพื่อความรวดเร็วและแม่นยำในการรับเงิน

ที่มาของระบบ Swift Code เริ่มขึ้นในปี 1973 เมื่อกลุ่มธนาคารทั่วโลกรวมตัวกันก่อตั้งองค์กรที่ชื่อ SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) ด้วยเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารทางการเงินที่เดิมใช้โทรสารหรือโทรศัพท์ ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องความเร็ว ความปลอดภัย และความผิดพลาดสูง ระบบใหม่ของ SWIFT จึงถูกออกแบบมาให้เป็นเครือข่ายดิจิทัลที่ปลอดภัย ควบคู่กับการพัฒนารหัสระบุตัวตนของธนาคาร หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Swift Code หรือ BIC ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับและใช้งานอย่างแพร่หลาย

โครงสร้างของ Swift Code: ถอดรหัส 8 หรือ 11 ตัวอักษร

ภาพธนาคารทั่วโลกสื่อสารกันผ่านเส้นดิจิทัล พร้อมข้อความ BIC แสดงบทบาทการระบุตัวตน

การเข้าใจโครงสร้างของ Swift Code จะช่วยให้คุณตรวจสอบความถูกต้องของรหัสที่ใช้ได้ง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดในการโอนเงิน รหัสนี้มีความเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น 8 หรือ 11 ตัวอักษร ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายเฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถระบุธนาคาร ประเทศ สำนักงานใหญ่ และสาขาได้อย่างแม่นยำ

โครงสร้างของ Swift Code แบ่งได้เป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้:

  1. รหัสธนาคาร (Bank Code) – 4 ตัวอักษรแรก: ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษล้วน ระบุชื่อธนาคารอย่างเฉพาะตัว เช่น BBL สำหรับธนาคารกรุงเทพ, KASI สำหรับธนาคารกสิกรไทย
  2. รหัสประเทศ (Country Code) – 2 ตัวอักษรถัดไป: เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสองตัว ตามมาตรฐาน ISO 3166-1 เช่น TH สำหรับประเทศไทย, SG สำหรับสิงคโปร์
  3. รหัสที่ตั้ง (Location Code) – 2 ตัวอักษรถัดไป: ประกอบด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข ใช้ระบุสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่หรือศูนย์กลางในประเทศนั้น ๆ เช่น BK สำหรับกรุงเทพฯ
  4. รหัสสาขา (Branch Code) – 3 ตัวอักษรสุดท้าย (ไม่จำเป็นเสมอไป): ใช้ระบุสาขาเฉพาะของธนาคาร ถ้าไม่มีส่วนนี้ แปลว่ารหัสอ้างอิงถึงสำนักงานใหญ่หรือศูนย์กลางที่ใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ

ตัวอย่างการถอดรหัส Swift Code:

  • BBLATHBK
    • BBL: ธนาคารกรุงเทพ
    • TH: ประเทศไทย
    • BK: กรุงเทพฯ
  • KASITHBK
    • KASI: ธนาคารกสิกรไทย
    • TH: ประเทศไทย
    • BK: กรุงเทพฯ

ต่างกันอย่างไรระหว่างรหัส 8 หลัก กับ 11 หลัก?

Swift Code แบบ 8 หลัก (เช่น BBLATHBK) จะระบุเฉพาะธนาคาร ประเทศ และที่ตั้ง ซึ่งมักใช้สำหรับสำนักงานใหญ่หรือในกรณีที่ธนาคารไม่ต้องการระบุสาขาเฉพาะเจาะจง นี่คือรหัสที่นิยมใช้ทั่วไปในการโอนเงินระหว่างประเทศ

ส่วน Swift Code แบบ 11 หลัก (เช่น KASITHBKXXX) จะเพิ่มรหัสสาขา 3 ตัวอักษรเข้ามา เพื่อชี้เฉพาะสาขาที่ต้องการ เช่น สาขาที่ให้บริการเฉพาะด้านหรือมีระบบรองรับการรับเงินต่างประเทศโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ การใช้รหัส 8 หลักก็เพียงพอ ยกเว้นธนาคารผู้รับจะระบุชัดเจนว่าต้องการรหัส 11 หลัก

วิธีค้นหา Swift Code ของธนาคารไทย

ภาพ Swift Code ถูกแบ่งเป็น 4 ส่วนสีต่างกัน แสดงธนาคาร ประเทศ ที่ตั้ง และสาขา

การหา Swift Code ของธนาคารไทยไม่ใช่เรื่องยาก มีหลายช่องทางที่คุณสามารถใช้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความล่าช้าหรือความผิดพลาดในการโอนเงิน

  1. เว็บไซต์ทางการของธนาคาร: เกือบทุกธนาคารในประเทศไทยจะแสดง Swift Code ไว้ในหน้าบริการโอนเงินระหว่างประเทศ หรือในส่วน “ติดต่อเรา” หรือ “คำถามที่พบบ่อย” ค้นหาด้วยคำว่า “โอนเงินต่างประเทศ” หรือ “รับเงินจากต่างประเทศ”
  2. สมุดบัญชีธนาคาร: บางธนาคารพิมพ์ Swift Code ไว้ที่หน้าแรกของสมุดคู่ฝากหรือสมุดบัญชี ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และใช้ได้จริง
  3. แอปพลิเคชันธนาคาร: แอปมือถือของธนาคารหลายแห่งมีฟังก์ชันสำหรับโอนเงินระหว่างประเทศโดยอัตโนมัติแสดง Swift Code ให้คุณ ช่วยให้คุณไม่ต้องค้นหาเอง
  4. ติดต่อธนาคารโดยตรง: หากคุณไม่มั่นใจหรือต้องการข้อมูลเฉพาะสาขา ควรติดต่อศูนย์บริการลูกค้า หรือไปที่สาขาใกล้บ้านเพื่อขอคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่

ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใด ขอให้จำไว้ว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในการกรอกรหัสอาจทำให้เงินไปผิดที่ หรือถูกตีกลับ ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลซ้ำอย่างน้อยสองครั้งก่อนกดยืนยันธุรกรรม โดยเฉพาะเมื่อทำธุรกรรมครั้งใหญ่

รหัส Swift Code ของธนาคารไทยยอดนิยม (ตาราง)

เพื่อความสะดวกในการอ้างอิง เราได้รวบรวม Swift Code ของธนาคารชั้นนำในประเทศไทยไว้ในตารางด้านล่างนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ควรใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น และคุณควรยืนยันกับธนาคารโดยตรงก่อนทำธุรกรรมสำคัญ

ชื่อธนาคาร (ภาษาไทย) ชื่อธนาคาร (ภาษาอังกฤษ) Swift Code / BIC
ธนาคารกรุงเทพ Bangkok Bank Public Company Limited BBLATHBK
ธนาคารกสิกรไทย Kasikornbank Public Company Limited KASITHBK
ธนาคารไทยพาณิชย์ Siam Commercial Bank Public Company Limited SICOTHBK
ธนาคารกรุงไทย Krungthai Bank Public Company Limited KRTHTHBK
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา Bank of Ayudhya Public Company Limited AYUDTHBK
ธนาคารทหารไทยธนชาต TMBThanachart Bank Public Company Limited TMBKTHBK
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย CIMB Thai Bank Public Company Limited CITITHBK
ธนาคารยูโอบี United Overseas Bank (Thai) Public Company Limited UOVBTHBK
ธนาคารออมสิน Government Savings Bank GSBATHBK
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย Islamic Bank of Thailand TIBTTHBK
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย Small and Medium Enterprise Development Bank of Thailand SMEDTHBK

สำหรับธนาคารอื่น ๆ หรือกรณีที่ต้องการ Swift Code ของสาขาเฉพาะ การตรวจสอบจากเว็บไซต์ธนาคารหรือการติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด การยืนยันข้อมูลทุกครั้งช่วยให้คุณมั่นใจว่าธุรกรรมของคุณจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

Swift Code, BIC และ IBAN: เข้าใจความแตกต่างเพื่อการโอนเงินที่ถูกต้อง

หลายคนมักสับสนระหว่าง Swift Code, BIC และ IBAN ทั้งที่แต่ละตัวมีหน้าที่ต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้คุณเตรียมข้อมูลครบถ้วนและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจทำให้เงินล่าช้าหรือสูญหาย

Swift Code กับ BIC คืออะไร?

ในความเป็นจริง สองคำนี้หมายถึงสิ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ BIC (Bank Identifier Code) เป็นชื่อทางการที่กำหนดโดยองค์กรมาตรฐานสากล ส่วน Swift Code เป็นชื่อที่ใช้ในชีวิตประจำวันและในวงการธนาคารทั่วไป ตัวอย่างเช่น รหัส BBLATHBK ที่ใช้กับ ธนาคารกรุงเทพ คือทั้ง Swift Code และ BIC ซึ่งทำหน้าที่ระบุ “ธนาคาร” ที่จะรับเงิน แต่ไม่ได้ระบุ “บัญชี” ของผู้รับ

IBAN คืออะไร?

IBAN (International Bank Account Number) คือรหัสบัญชีระหว่างประเทศที่ใช้ระบุบัญชีธนาคารของผู้รับโดยตรง โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป ซึ่งรหัสนี้จะรวมหมายเลขบัญชี รหัสธนาคาร และรหัสประเทศไว้ด้วยกันในรูปแบบมาตรฐานเดียว ทำให้ระบบตรวจสอบและประมวลผลได้อย่างแม่นยำ

สรุปเปรียบเทียบ:

  • Swift Code / BIC: ใช้ระบุ ธนาคาร ปลายทาง จำเป็นทุกครั้งในการโอนเงินระหว่างประเทศ ไม่ว่าประเทศใด
  • IBAN: ใช้ระบุ บัญชีผู้รับ โดยเฉพาะในประเทศที่ใช้ระบบ IBAN เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือเนเธอร์แลนด์ หากคุณโอนเงินไปยังประเทศเหล่านี้ คุณจำเป็นต้องมีทั้ง Swift Code และ IBAN

ดังนั้น เมื่อคุณเตรียมโอนเงินไปต่างประเทศ ต้องมีข้อมูลอย่างน้อยสองอย่าง: Swift Code ของธนาคารผู้รับ และหมายเลขบัญชีของผู้รับ (อาจเป็น IBAN หรือหมายเลขบัญชีท้องถิ่น ขึ้นอยู่กับประเทศ) การจัดเตรียมข้อมูลให้ครบจะช่วยให้ธุรกรรมราบรื่น

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Swift Code และวิธีแก้ไข

แม้ Swift Code จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ความผิดพลาดของมนุษย์ยังคงเป็นสาเหตุหลักของปัญหาในการโอนเงินระหว่างประเทศ ต่อไปนี้คือข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและแนวทางการแก้ไข

ข้อผิดพลาดทั่วไป:

  1. พิมพ์รหัสผิดแม้เพียงตัวเดียว: เช่น สับสนระหว่าง 1 กับ I หรือ 0 กับ O อาจทำให้เงินไปถึงธนาคารอื่นหรือถูกระงับ
  2. ใช้รหัสที่ไม่อัปเดต: บางครั้งธนาคารรวมตัวหรือเปลี่ยนชื่อ ทำให้ Swift Code เดิมไม่สามารถใช้ได้
  3. ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน: ชื่อบัญชีหรือหมายเลขบัญชีไม่ตรงกับที่ธนาคารเก็บไว้ แม้ Swift Code จะถูกต้อง ธนาคารก็อาจปฏิเสธการโอน
  4. สับสนระหว่าง Swift Code กับ IBAN: โดยเฉพาะเมื่อโอนไปยุโรป การนำ Swift Code ไปใส่ในช่อง IBAN หรือในทางกลับกัน อาจทำให้ระบบปฏิเสธคำขอ

แนวทางการแก้ไข:

  1. ตรวจสอบซ้ำก่อนยืนยัน: ตรวจสอบ Swift Code ชื่อผู้รับ หมายเลขบัญชี และจำนวนเงินอย่างละเอียด
  2. ติดต่อธนาคารทันทีหากเกิดข้อผิดพลาด: หากคุณสังเกตว่าพิมพ์รหัสผิดก่อนที่เงินจะถูกส่งออกไป ธนาคารอาจสามารถระงับรายการได้
  3. ติดตามสถานะการโอน: ใช้หมายเลขอ้างอิง (transaction ID) ติดตามความเคลื่อนไหว และขอให้ธนาคารช่วยประสานงานหากเงินไปผิดที่
  4. เก็บเอกสารสำคัญไว้: เช่น ใบแจ้งการโอนเงิน หรืออีเมลยืนยัน เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา

ความระมัดระวังคือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการป้องกันข้อผิดพลาด และการตอบสนองอย่างรวดเร็วจะเพิ่มโอกาสในการแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ

เคล็ดลับการโอนเงินระหว่างประเทศด้วย Swift Code ให้รวดเร็วและปลอดภัย

การโอนเงินผ่าน Swift Code อาจดูซับซ้อน แต่หากคุณเตรียมตัวดี การทำธุรกรรมจะเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย นี่คือเคล็ดลับที่ควรรู้

  1. เตรียมเอกสารให้ครบ:
    • ผู้โอน: บัตรประชาชน ข้อมูล Swift Code ของธนาคารผู้รับ ชื่อ-นามสกุลและที่อยู่ผู้รับ (ภาษาอังกฤษ) หมายเลขบัญชี วัตถุประสงค์การโอน และเอกสารสนับสนุนหากเป็นธุรกรรมทางธุรกิจ
    • ผู้รับ: ควรแจ้ง Swift Code และหมายเลขบัญชีที่ถูกต้องให้ผู้โอนอย่างชัดเจน
  2. ข้อมูลที่ผู้รับต้องมี: เตรียมบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง หรือเอกสารยืนยันตัวตนไว้ เพื่อใช้ยืนยันเมื่อเข้ารับเงิน
  3. ปัจจัยที่มีผลต่อการโอน:
    • ค่าธรรมเนียม: อาจมีหลายชั้น เช่น ค่าธรรมเนียมของธนาคารต้นทาง ธนาคารปลายทาง และธนาคารตัวกลาง ควรสอบถามล่วงหน้า
    • อัตราแลกเปลี่ยน: ตรวจสอบอัตราในวันทำรายการ เพราะอาจมีผลต่อจำนวนเงินที่ผู้รับได้รับ
    • เวลาทำการ: ทำรายการในวันและช่วงเวลาทำการของทั้งสองธนาคารจะเร็วกว่า
    • ประเทศปลายทาง: บางประเทศมีขั้นตอนตรวจสอบเพิ่มเติม ทำให้ใช้เวลานานกว่า
  4. ป้องกันการฉ้อโกง:
    • โอนเงินเฉพาะกับบุคคลหรือองค์กรที่คุณรู้จักและเชื่อถือได้
    • อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่านหรือเลขบัตรประชาชน กับใครที่ไม่น่าเชื่อถือ
    • ระวังข้อความหรืออีเมลที่อ้างว่าคุณถูกรางวัลหรือต้องช่วยเหลือทางการเงิน แล้วให้โอนเงินก่อน
    • ใช้บริการจากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่มีใบอนุญาตและชื่อเสียงดี

การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้คุณโอนเงินระหว่างประเทศได้อย่างมั่นใจ รวดเร็ว และปลอดภัย

สรุป: Swift Code กุญแจสำคัญสู่โลกการเงินไร้พรมแดน

Swift Code หรือ BIC ไม่ใช่เพียงรหัสตัวอักษร แต่เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ระบบการเงินโลกเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการระบุตัวตนของธนาคารอย่างแม่นยำ ทำให้เงินสามารถเดินทางข้ามประเทศได้อย่างปลอดภัยและทันเวลา

จากบทความนี้ คุณได้เรียนรู้ทั้งความหมาย โครงสร้าง การค้นหา Swift Code ความแตกต่างจาก IBAN ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย และแนวทางการป้องกัน รวมถึงข้อมูลเฉพาะของธนาคารไทยยอดนิยม ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้คุณมีความรู้เพียงพอในการจัดการธุรกรรมข้ามชาติอย่างมืออาชีพ

สุดท้ายนี้ ขอให้คุณจำไว้ว่า ความแม่นยำในการกรอกรหัส Swift Code และข้อมูลผู้รับทุกอย่างคือหัวใจของการโอนเงินที่ไม่มีปัญหา หากมีข้อสงสัย อย่าลังเลที่จะติดต่อธนาคารเพื่อขอคำแนะนำ การมีความรู้ที่ถูกต้องจะทำให้คุณก้าวเข้าสู่โลกการเงินไร้พรมแดนได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Swift Code (FAQs)

1. Swift Code คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในการโอนเงินระหว่างประเทศ?

Swift Code หรือ BIC (Bank Identifier Code) คือรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ระบุธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลกในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับประกันว่าเงินจะถูกส่งไปยังธนาคารผู้รับที่ถูกต้องและแม่นยำ ทำให้การโอนเงินข้ามประเทศเป็นไปได้และปลอดภัย

2. Swift Code กับ BIC เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

Swift Code และ BIC คือสิ่งเดียวกัน ในทางปฏิบัติคำทั้งสองนี้สามารถใช้แทนกันได้ โดย BIC เป็นชื่ออย่างเป็นทางการที่กำหนดโดยองค์กรมาตรฐานสากล (ISO) ส่วน Swift Code เป็นชื่อที่นิยมใช้เรียกทั่วไป

3. ฉันจะค้นหา Swift Code ของธนาคารในประเทศไทยได้อย่างไร?

คุณสามารถค้นหา Swift Code ของธนาคารไทยได้จากหลายช่องทาง ได้แก่:

  • เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของธนาคารนั้นๆ (ในส่วนบริการโอนเงินระหว่างประเทศ)
  • สมุดคู่ฝากหรือสมุดบัญชี (บางธนาคารอาจพิมพ์ไว้)
  • แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ
  • ติดต่อสอบถามโดยตรงที่ธนาคารหรือศูนย์บริการลูกค้า

4. หากฉันใส่ Swift Code ผิดพลาด จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินที่โอนไป?

หากใส่ Swift Code ผิดพลาด อาจทำให้เงินถูกส่งไปยังธนาคารที่ไม่ถูกต้อง การโอนเงินล่าช้า เงินถูกตีกลับ หรืออาจเกิดความสับสนในการดำเนินการ หากพบข้อผิดพลาด ควรรีบติดต่อธนาคารที่คุณทำรายการโอนเงินโดยเร็วที่สุดเพื่อขอความช่วยเหลือและแก้ไข

5. Swift Code 8 หลัก กับ 11 หลัก แตกต่างกันอย่างไร และควรใช้แบบไหน?

Swift Code แบบ 8 หลักจะระบุรหัสธนาคาร รหัสประเทศ และรหัสที่ตั้งเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงสำนักงานใหญ่หรือรหัสทั่วไปของธนาคาร ส่วนแบบ 11 หลักจะเพิ่มรหัสสาขา 3 ตัวอักษรเข้าไปเพื่อระบุสาขาเฉพาะเจาะจง

ในการโอนเงินส่วนใหญ่ การใช้ Swift Code แบบ 8 หลักก็เพียงพอแล้ว เว้นแต่ธนาคารปลายทางจะระบุให้ใช้รหัส 11 หลักที่มีรหัสสาขาเฉพาะเจาะจง

6. การโอนเงินระหว่างประเทศจำเป็นต้องใช้ IBAN เสมอไปหรือไม่?

ไม่เสมอไป IBAN (International Bank Account Number) เป็นรหัสที่ใช้ระบุหมายเลขบัญชีธนาคารของผู้รับอย่างละเอียด ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในประเทศแถบยุโรป หากคุณโอนเงินไปยังประเทศที่ใช้ระบบ IBAN ก็จำเป็นต้องใช้ แต่หากโอนไปยังประเทศที่ไม่ได้ใช้ IBAN เช่น ประเทศไทย คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ IBAN

7. มีค่าธรรมเนียมในการโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Swift Code หรือไม่?

มี ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินระหว่างประเทศจะแตกต่างกันไปตามธนาคารแต่ละแห่งและประเทศปลายทาง อาจมีค่าธรรมเนียมสำหรับธนาคารผู้โอน ธนาคารผู้รับ และธนาคารตัวกลาง (Correspondent Bank) ที่เกี่ยวข้อง ควรสอบถามรายละเอียดค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารที่คุณใช้บริการก่อนทำรายการ

8. ถ้าต้องการโอนเงินไปต่างประเทศ ควรเตรียมข้อมูลอะไรบ้างนอกจาก Swift Code?

นอกจาก Swift Code ของธนาคารผู้รับแล้ว คุณควรเตรียมข้อมูลเหล่านี้:

  • ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ของผู้รับ (เป็นภาษาอังกฤษ)
  • หมายเลขบัญชีธนาคารของผู้รับ (หรือ IBAN หากประเทศปลายทางใช้)
  • ชื่อธนาคารของผู้รับ (เป็นภาษาอังกฤษ)
  • วัตถุประสงค์ของการโอนเงิน
  • เอกสารยืนยันตัวตนของคุณ

9. ใช้เวลานานแค่ไหนในการโอนเงินระหว่างประเทศด้วย Swift Code?

โดยทั่วไป การโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Swift Code จะใช้เวลาประมาณ 1-5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับธนาคารที่เกี่ยวข้อง ประเทศปลายทาง และช่วงเวลาที่ทำรายการ (เช่น วันหยุดราชการ หรือช่วงเวลาหลังทำการ)

10. สามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้โดยไม่มี Swift Code หรือไม่?

ไม่สามารถทำได้ Swift Code เป็นข้อมูลสำคัญที่จำเป็นในการระบุธนาคารผู้รับสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ หากไม่มีรหัส Swift Code ระบบการเงินจะไม่สามารถระบุธนาคารปลายทางได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการโอนเงินได้