
เคยไหมครับที่มองเข้าไปในงบการเงินของบริษัทแห่งหนึ่ง เห็นตัวเลข “กำไรสุทธิ” แล้วรู้สึกว่ามันก็ดูดีนะ แต่อีกใจก็แอบสงสัยว่า นี่คือภาพทั้งหมดจริง ๆ หรือเปล่า? หรือมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังตัวเลขสวย ๆ นี้อีกนะ?
เหมือนเวลาเราจะซื้อรถมือสอง เราก็ไม่ได้ดูแค่ว่ารถยังวิ่งได้ไหม ต้องดูประวัติการซ่อม เครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง สภาพสี ถึงจะบอกได้ว่ารถคันนี้ “ดีจริง” หรือเปล่า การประเมินสุขภาพของบริษัทก็เช่นกันครับ ตัวเลข “กำไร” มีหลายระดับ และหนึ่งในตัวเลขที่นักลงทุน นักวิเคราะห์ หรือแม้แต่คนทำธุรกิจด้วยกันเองชอบส่องเป็นพิเศษก็คือ EBITDA นี่แหละครับ
เพื่อนผมชื่อ “น้องปอ” เคยมาถามผมแบบงง ๆ ว่า “พี่ครับ ผมเห็นคนพูดถึง EBITDA แปลว่า อะไรเหรอครับ แล้วมันสำคัญยังไง ทำไมดูแค่กำไรสุทธิไม่ได้เหรอ?” คำถามของน้องปอนี่เป็นคำถามยอดฮิตเลยครับ เพราะ EBITDA มันฟังดูซับซ้อน ตัวย่อก็เยอะแยะไปหมด แต่มันมีประโยชน์ซ่อนอยู่เยอะเลยนะ
เอาล่ะ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่อง EBITDA แบบง่าย ๆ สไตล์คอลัมนิสต์ที่พยายามทำให้เรื่องการเงินเป็นเรื่องใกล้ตัว เหมือนนั่งคุยกับเพื่อนเลยครับ
**EBITDA คืออะไรกันแน่? แกะตัวย่อทีละตัว**
ถ้าให้ EBITDA แปลว่า เป็นภาษาไทยแบบตรงตัวเป๊ะ ๆ ตามตัวย่อมันก็คือ “กำไรก่อนหัก ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย”
ฟังแล้วก็ยังงง ๆ ใช่ไหมครับ? ไม่เป็นไรครับ มาแกะทีละตัว
* **E = Earnings (กำไร):** ก็คือกำไรนี่แหละ แต่เป็นกำไรในระดับหนึ่งที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายบางตัวออกไป
* **BI = Before Interest (ก่อนหักดอกเบี้ย):** ดอกเบี้ย คือต้นทุนทางการเงินครับ เวลาบริษัทกู้เงินมาทำธุรกิจ ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยใช่ไหมครับ EBITDA จะมองกำไร “ก่อน” จะสนใจว่าบริษัทไปกู้เงินมาเท่าไหร่ หรือมีภาระดอกเบี้ยแค่ไหน
* **T = Taxes (ภาษี):** ภาษีเงินได้ คือภาระที่ต้องจ่ายให้รัฐ ตัวเลขภาษีก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายและนโยบายของแต่ละประเทศ EBITDA จะมองกำไร “ก่อน” ผลกระทบจากเรื่องภาษี
* **DA = Depreciation and Amortization (ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย):** อันนี้อาจจะซับซ้อนหน่อยครับ
* **ค่าเสื่อมราคา (Depreciation):** เป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่เกิดจากการทยอยปันส่วนต้นทุนของสินทรัพย์ที่มีตัวตน (เช่น อาคาร โรงงาน เครื่องจักร รถยนต์) ตลอดอายุการใช้งานครับ ยกตัวอย่าง บริษัทซื้อเครื่องจักรราคา 1 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ได้ 10 ปี แทนที่จะบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย 1 ล้านบาทในปีที่ซื้อ ก็จะทยอยบันทึกเป็นค่าเสื่อมราคา ปีละ 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 ปีครับ เงินสดไม่ได้จ่ายออกไปก้อนนี้จริง ๆ ในปีนั้นนะ แค่บันทึกทางบัญชี
* **ค่าตัดจำหน่าย (Amortization):** คล้าย ๆ ค่าเสื่อมราคา แต่ใช้กับสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนครับ (เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ค่าความนิยม) ก็ทยอยบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีตลอดอายุการใช้งานเช่นกัน
**สรุปง่าย ๆ:** EBITDA แปลว่า ตัวเลขกำไรที่สะท้อน **”ความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานหลักของบริษัท”** โดยมองข้ามผลกระทบจาก:
1. โครงสร้างทางการเงิน (เป็นหนี้เยอะน้อยแค่ไหน เสียดอกเท่าไหร่)
2. ภาระภาษี (ซึ่งอาจต่างกันไปตามนโยบายรัฐ)
3. นโยบายทางบัญชีเกี่ยวกับสินทรัพย์ (เลือกตัดค่าเสื่อมเร็วช้าต่างกันแค่ไหน)
เหมือนเวลาเราจะดูว่าร้านอาหารร้านหนึ่งทำอาหารอร่อยแค่ไหน เราอาจจะลองชิมรสชาติอาหาร วัตถุดิบ วิธีทำ โดยยังไม่สนใจว่าร้านเช่าแพงไหม ใช้เงินกู้มาลงทุนเยอะรึเปล่า หรือต้องเสียภาษีเท่าไหร่ EBITDA ก็ทำหน้าที่คล้าย ๆ แบบนั้นแหละครับ
**แล้วคำนวณ EBITDA ยังไงล่ะ?**
สูตรคำนวณ EBITDA ก็มาจากงบกำไรขาดทุนครับ หลัก ๆ มีสองแบบที่ใช้ได้:
* **จากกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT):**
EBITDA = กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
* **จากกำไรก่อนภาษี:**
EBITDA = กำไรก่อนภาษี (EBT) + ต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) + ค่าเสื่อมราคา + ค่าตัดจำหน่าย
จะเห็นว่ามันเป็นการ “บวกกลับ” ค่าใช้จ่ายที่เราไม่อยากให้มากระทบภาพการดำเนินงานหลักนั่นเองครับ
ไหน ๆ ก็พูดถึง EBIT แล้ว มาทำความรู้จัก “พี่น้อง” ของ EBITDA หน่อยดีกว่าครับ
* **กำไรขั้นต้น (Gross Profit):** = รายได้จากการขาย – ต้นทุนขาย ตัวนี้วัดประสิทธิภาพการผลิตหรือจัดหาสินค้า/บริการครับ
* **EBIT (Earnings Before Interest and Taxes) หรือ กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income):** = กำไรขั้นต้น – ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ตัวนี้สะท้อนกำไรจากกิจกรรมหลักของธุรกิจเลยครับ ก่อนจะโดนหักเรื่องดอกเบี้ยและภาษี
* **EBT (Earnings Before Taxes):** = EBIT – ต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) ตัวนี้คือกำไรก่อนหักภาษีครับ
ทีนี้พอมาดู EBITDA มันก็คือ EBIT นั่นแหละครับ แต่บวกค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายกลับเข้าไปอีก เพราะมองว่าสองตัวนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสดจ่ายจริง ๆ ในงวดบัญชีนั้น ๆ (แม้ว่าสุดท้ายจะต้องมีเงินไปซื้อสินทรัพย์ใหม่มาทดแทนสินทรัพย์เก่าที่เสื่อมสภาพไปก็ตาม ซึ่งอันนี้เป็นข้อถกเถียงสำคัญที่เราจะพูดถึงต่อไป)

**ทำไมนักลงทุนถึงชอบมอง EBITDA? มันมีดีอะไร?**
EBITDA มีประโยชน์หลายอย่างสำหรับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ครับ
1. **เห็นกำไรที่แท้จริงจากการดำเนินงาน:** นี่คือจุดเด่นหลักเลยครับ EBITDA ช่วยให้เห็นภาพว่าบริษัทมี “แรง” ในการทำกำไรจากการขายสินค้าหรือบริการได้ดีแค่ไหน โดยตัดปัจจัยภายนอกอย่างภาระหนี้ นโยบายภาษี และวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาออกไป
2. **เปรียบเทียบข้ามบริษัทได้ง่ายขึ้น:** ลองนึกภาพบริษัทสองแห่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทหนึ่งตั้งมานาน สินทรัพย์เก่า ค่าเสื่อมเหลือน้อย อีกบริษัทเพิ่งลงทุนใหม่ สินทรัพย์ใหม่เอี่ยม ค่าเสื่อมปีแรก ๆ จะสูงมาก ถ้าดูแค่กำไรสุทธิ บริษัทที่ลงทุนใหม่อาจดูกำไรน้อยกว่า หรือแม้แต่ขาดทุน ทั้งที่จริง ๆ แล้วการดำเนินงานหลักอาจมีประสิทธิภาพเท่ากันหรือดีกว่าด้วยซ้ำ EBITDA ช่วยให้เปรียบเทียบ “เนื้อแท้” ของการดำเนินงานได้ยุติธรรมกว่า
3. **พยากรณ์กระแสเงินสด:** โดยทั่วไปแล้ว EBITDA มักจะใกล้เคียงกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations) ในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายไม่ใช่เงินสดจ่ายจริง ๆ ดังนั้น EBITDA เลยถูกใช้เป็นตัวประมาณการคร่าว ๆ ของกระแสเงินสดได้
4. **ประเมินความสามารถในการจ่ายหนี้:** สถาบันการเงินมักใช้ EBITDA เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ หรือดูว่าบริษัทมีความสามารถในการจ่ายคืนหนี้และดอกเบี้ยได้ดีแค่ไหน อัตราส่วน EBITDA ต่อหนี้สิน เป็นตัวเลขที่บอกว่าบริษัทต้องใช้ EBITDA กี่ปีถึงจะใช้หนี้หมด (ถ้า EBITDA คงที่)
5. **ใช้ในการประเมินมูลค่ากิจการ:** ในการซื้อขายกิจการทั้งหมด หรือการประเมินมูลค่าเพื่อการลงทุน บางครั้งมีการใช้ตัวคูณ EBITDA (EBITDA Multiple) เพื่อคำนวณมูลค่ากิจการ ซึ่งก็มาจากเหตุผลที่ว่า EBITDA สะท้อนความสามารถในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานนั่นแหละครับ
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ถาวรสูง ๆ และมีค่าเสื่อมราคาเยอะ ๆ เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้า โรงแรม โรงกลั่นน้ำมัน การดู EBITDA จะมีประโยชน์มากในช่วงแรกที่บริษัทเพิ่งก่อสร้างเสร็จและเริ่มดำเนินงาน ค่าเสื่อมจะพุ่งสูง อาจทำให้กำไรสุทธิยังต่ำหรือติดลบ แต่ EBITDA อาจจะสูง แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีศักยภาพในการสร้างรายได้จากการดำเนินงานที่ดี
**แต่เดี๋ยวก่อน! EBITDA ก็ไม่ใช่พระเจ้า มีข้อควรระวังนะ!**
เห็นประโยชน์เยอะแยะแบบนี้ แต่อย่าเพิ่งหลงรัก EBITDA จนถอนตัวไม่ขึ้นนะครับ เพราะมันก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังอยู่เหมือนกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง **วอร์เรน บัฟเฟตต์** และ **ชาลี มังเกอร์** เคยมองว่า EBITDA อาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริงของบริษัทได้เลยนะ
ข้อควรระวังมีอะไรบ้าง?
1. **EBITDA “ลืม” หักค่าใช้จ่ายสำคัญ:** แม้ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะไม่ใช่เงินสดจ่ายทันที แต่มันคือ “ต้นทุน” ของการใช้สินทรัพย์ในการดำเนินงานนะครับ สินทรัพย์ถาวรอย่างอาคาร เครื่องจักร ยานพาหนะ มีอายุการใช้งาน พอเก่าก็ต้องซ่อมบำรุง หรือสุดท้ายก็ต้องซื้อใหม่ การเพิกเฉยต่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจทำให้มองภาพความสามารถในการทำกำไร “ระยะยาว” ไม่ครบถ้วน บริษัทที่ EBITDA สูงลิ่ว แต่อาจไม่ได้กันเงินไว้ซ่อมบำรุงหรือซื้อสินทรัพย์ใหม่ในอนาคต อันนี้น่าห่วง
2. **มองข้ามภาระหนี้และภาษี:** ใช่ครับ EBITDA ตัดสองตัวนี้ออกไป แต่มันคือค่าใช้จ่าย “จริง” ที่บริษัทต้องจ่ายนะครับ บริษัทที่มี EBITDA สูงมาก แต่อาจจะมีหนี้สินพะรุงพะรัง เสียดอกเบี้ยมหาศาล หรือต้องจ่ายภาษีเยอะ ทำให้สุดท้ายแล้ว “กำไรสุทธิ” (Net Profit) ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหลือถึงผู้ถือหุ้นจริง ๆ อาจจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือแม้แต่ขาดทุนเลยก็ได้ครับ
3. **อาจโดนใช้เป็นเครื่องมือ “แต่งหน้า” งบ:** บางครั้งผู้บริหารอาจเน้นโชว์ตัวเลข EBITDA ให้ดูสวยหรู โดยไม่ได้สะท้อนประสิทธิภาพที่แท้จริงทั้งหมด โดยเฉพาะถ้าไปละเลยการบำรุงรักษาสินทรัพย์ ทำให้ค่าเสื่อมดูเหมือนต่ำ (ในระยะสั้น) แต่จะสร้างปัญหาใหญ่ในระยะยาว
4. **ต้องดูตัวชี้วัดอื่นประกอบเสมอ:** เหมือนดูสุขภาพคน เราไม่ดูแค่น้ำหนักอย่างเดียว ต้องดูส่วนสูง อายุ ค่าเลือด คลอเรสเตอรอล ความดัน ฯลฯ EBITDA ก็เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งครับ ต้องดูควบคู่กับกำไรระดับอื่น ๆ (กำไรขั้นต้น, EBIT, กำไรสุทธิ), กระแสเงินสดจากกิจกรรมต่าง ๆ (ดำเนินงาน, ลงทุน, จัดหาเงิน), อัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ (เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน, อัตรากำไรสุทธิ), และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจ “ลักษณะธุรกิจ” จริง ๆ ด้วยครับ
**ใช้ EBITDA Margin มาช่วยเปรียบเทียบ**
นอกจากตัวเลข EBITDA เดี่ยว ๆ แล้ว นักลงทุนยังชอบดู **EBITDA Margin** ครับ สูตรคือ:
EBITDA Margin (%) = (EBITDA / รายได้ทั้งหมด) * 100
อัตราส่วนนี้บอกว่าในทุก ๆ 100 บาทของรายได้ บริษัททำ EBITDA ได้กี่บาทครับ ยิ่งสูงยิ่งดี แปลว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน (ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่าย) ได้ดี
การดู EBITDA Margin ช่วยให้เปรียบเทียบประสิทธิภาพข้ามบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ดีกว่าดูแค่ตัวเลข EBITDA หรือกำไรสุทธิเดี่ยว ๆ เพราะมันปรับตามขนาดของบริษัท (ดูเป็น % เทียบกับรายได้) และยังตัดผลกระทบจากนโยบายค่าเสื่อมราคาที่อาจต่างกันออกไปครับ
ลองนึกถึงบริษัทค้าปลีกอย่าง **CPALL** หรือ **HomePro** หรือบริษัทอาหารอย่าง **Thai Union** หรือ **TFMAMA** อุตสาหกรรมเหล่านี้อาจมีลักษณะการดำเนินงานที่แตกต่างกัน การเปรียบเทียบด้วย EBITDA Margin จะช่วยให้เห็นภาพ “แกน” ของประสิทธิภาพการทำกำไรของแต่ละธุรกิจได้ชัดขึ้นครับ

**หาตัวเลข EBITDA ได้จากไหน?**
บางบริษัทอาจจะแสดงตัวเลข EBITDA ไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน หรือในรายงานประจำปีเลยครับ แต่ถ้าไม่แสดงไว้ เราก็สามารถคำนวณเองได้จากงบกำไรขาดทุนและหมายเหตุประกอบงบการเงิน โดยหาตัวเลข กำไรก่อนภาษี, ต้นทุนทางการเงิน, ค่าเสื่อมราคา, และค่าตัดจำหน่าย แล้วเอามาเข้าสูตรที่เราคุยกันไปครับ
**สรุปง่าย ๆ แบบบ้าน ๆ:**
EBITDA เป็นตัวเลขกำไรที่บอกเราว่า “แกนหลัก” ของธุรกิจนั้น ๆ ทำกำไรได้ดีแค่ไหน โดยไม่สนว่าไปกู้เงินมาเยอะไหม ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ หรือสินทรัพย์ที่ใช้มันเก่าจนต้องคิดค่าเสื่อมเยอะรึเปล่า
มันมีประโยชน์มากในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดำเนินงานระหว่างบริษัท หรือประเมินศักยภาพของธุรกิจที่เพิ่งเริ่มลงทุนหนัก ๆ
แต่! มันไม่ใช่ตัวเลขเดียวที่ควรดู และมีข้อจำกัดสำคัญคือมันไม่ได้สะท้อนต้นทุน “จริง” ในระยะยาว (ค่าเสื่อม) และภาระ “จริง” ทางการเงินและภาษี
เหมือนเวลาจะซื้อทุเรียนครับ เราอาจจะลองดมกลิ่น ลองเคาะฟังเสียง (คล้าย ๆ ดู EBITDA) แต่มันก็ยังไม่ชัวร์ 100% จนกว่าจะผ่าออกมาดูเนื้อข้างใน (อันนี้แหละคือการดูงบการเงินและข้อมูลอื่น ๆ แบบครบถ้วน!)
ดังนั้น EBITDA แปลว่า ตัวชี้วัดที่ดี แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดทั้งหมด ควรใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือประกอบการวิเคราะห์ และต้องดูงบการเงินทั้งหมด รวมถึงทำความเข้าใจลักษณะธุรกิจอย่างถ่องแท้ ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ
การลงทุนมีความเสี่ยงนะครับ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และโปรดจำไว้ว่า ไม่มีตัวเลขมหัศจรรย์ตัวไหนที่จะบอกได้ 100% ว่าบริษัทไหนดีหรือไม่ดี เราต้องเป็นนักสืบทางการเงินที่ดี ค่อย ๆ แกะงบการเงินและข้อมูลอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กันครับ