ค่าสเปรด Forex คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์พร้อมวิธีเลือกโบรกเกอร์สเปรดต่ำและตารางเปรียบเทียบ 2025

ในโลกแห่งการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือที่เรียกว่า Forex คำว่า “ค่าสเปรด” เป็นหนึ่งในต้นทุนที่สำคัญที่สุดที่นักเทรดทุกคนไม่ว่าระดับใดต้องรู้จักให้ลึกซึ้ง แม้จะดูเป็นตัวเลขเล็ก ๆ บนหน้าจอโปรแกรมเทรด แต่ค่าสเปรดนั้นมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนและประสิทธิภาพในการทำกำไร ยิ่งใครใช้กลยุทธ์เทรดบ่อย ๆ เช่น การสกาล์ปปิ้ง (Scalping) ต้นทุนนี้ก็ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเป็นทวีคูณ
หากคุณเพิ่งเริ่มต้น หรือแม้แต่เป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ การเข้าใจว่า **ค่าสเปรด Forex คืออะไร** มีไว้เพื่ออะไร คำนวณอย่างไร และปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลให้มันเปลี่ยนแปลง จะช่วยให้คุณสามารถเลือกโบรกเกอร์ได้อย่างชาญฉลาด ลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด Forex บทความนี้จะพาคุณทบทวนทุกอย่างอย่างละเอียด ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงกลยุทธ์การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดในปี 2025 พร้อมตารางเปรียบเทียบข้อมูลจริงที่คุณสามารถนำไปใช้ตัดสินใจได้ทันที
ค่าสเปรด (Spread) Forex คืออะไร? ทำไมต้องใส่ใจตั้งแต่เริ่มต้น?
ถ้าจะอธิบายแบบตรงไปตรงมา ค่าสเปรดในตลาด Forex คือ ความต่างระหว่าง **ราคาเสนอซื้อ (Bid)** กับ **ราคาเสนอขาย (Ask)** ของคู่เงินใดคู่หนึ่ง เช่น EUR/USD หรือทองคำ XAU/USD และนี่คือ “ต้นทุนแฝง” แรกที่คุณต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิดสถานะเทรด
เมื่อคุณต้องการ **ซื้อ** (Buy) สกุลเงิน คุณจะซื้อที่ **ราคา Ask**
เมื่อคุณต้องการ **ขาย** (Sell) สกุลเงิน คุณจะขายได้ที่ **ราคา Bid**
ความต่างระหว่างสองราคานี้นี่เองที่ถูกเรียกว่า “ค่าสเปรด” และนั่นก็คือกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โบรกเกอร์ได้รับจากการจับคู่คำสั่งซื้อขายของคุณกับตลาด
แล้วทำไมถึงต้องใส่ใจ?
เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณเปิดออร์เดอร์ คุณจะเริ่มต้นด้วยผลขาดทุนเล็กน้อยทันทีเท่ากับมูลค่าของค่าสเปรด เช่น หากค่าสเปรดเป็น 1.2 พิป คุณต้องทำกำไรให้ได้เกินกว่า 1.2 พิปก่อน จึงจะเริ่มเห็น “กำไรจริง” หากคุณเปิดปิดออร์เดอร์บ่อย ต้นทุนตรงนี้จะสะสมเร็วมาก และกัดกินกำไรของคุณอย่างเงียบ ๆ
ยิ่งในกลยุทธ์ที่เน้นจังหวะสั้น ๆ หรือการจับจังหวะเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่พิป การมีค่าสเปรดที่ต่ำย่อมให้ข้อได้เปรียบเหนือผู้อื่นอย่างชัดเจน
ทำความเข้าใจ Bid และ Ask อย่างลึกซึ้ง
ก่อนจะเข้าใจค่าสเปรดอย่างแท้จริง ต้องเข้าใจว่าราคา Bid และ Ask มาจากไหน และทำงานอย่างไรในแพลตฟอร์มเทรด เช่น MT4 หรือ MT5
– **Bid Price (ราคาเสนอซื้อ)**: คือราคาที่โบรกเกอร์จะ “ซื้อ” เงินตราจากคุณ ในแง่ของนักเทรด ก็คือราคาที่คุณจะ “ขายออก” หากคุณเปิดสถานะขาย คุณจะขายที่ราคานี้
– **Ask Price (ราคาเสนอขาย)**: คือราคาที่โบรกเกอร์จะ “ขาย” เงินตราให้คุณ หรือหมายถึงราคาที่คุณต้อง “จ่ายเพื่อซื้อ” เมื่อคุณต้องการเปิดสถานะซื้อ
ค่าสเปรด = ราคา Ask – ราคา Bid
เช่น EUR/USD แสดง Bid ที่ 1.09850 และ Ask ที่ 1.09858
ค่าสเปรด = 1.09858 – 1.09850 = 0.00008 ซึ่งเท่ากับ **0.8 พิป** หรือ 8 จุดย่อย (Points)

ค่าสเปรดไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของโบรกเกอร์ในการ “เก็บตังค์” จากคุณเพียงอย่างเดียว มันยังเป็น **ตัวชี้วัดสภาพคล่องของตลาด** อีกด้วย โดยในสภาวะที่มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก มีการซื้อขายกันอย่างต่อเนื่อง เช่น ช่วงเวลาเปิดตลาดยุโรปและอเมริกาที่ทับซ้อนกัน สเปรดมักจะแคบที่สุด แต่ในช่วงที่กิจกรรมน้อย เช่น ช่วงเช้าตรู่หรือตอนดึก หรือช่วงที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สเปรดอาจขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
ประเภทของค่าสเปรด: คงที่ vs ลอยตัว แบบไหนเหมาะกับคุณ?
ตลาด Forex ใช้สองรูปแบบสเปรดหลัก ซึ่งแต่ละแบบมีจุดแข็งและจุดอ่อนต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเทรดและความเสี่ยงที่คุณรับได้
สเปรดคงที่ (Fixed Spread) คืออะไร?
สเปรดคงที่ คือประเภทที่ค่าสเปรดไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าตลาดจะผันผวนอย่างไรหรือใกล้ช่วงประกาศข่าวสำคัญก็ตาม นับเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการ “ความแน่นอน”
ข้อดี:
- คำนวณต้นทุนล่วงหน้าได้แม่นยำ: รู้ว่าแต่ละออร์เดอร์จะเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ช่วยในเรื่องการจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
- เหมาะกับมือใหม่: เข้าใจง่าย เพราะไม่ต้องคอยกังวลว่าสเปรดจะแปรปรวน
ข้อเสีย:
- ค่าสเปรดอาจสูงกว่าในช่วงปกติ: เพื่อแลกกับความเสถียร โบรกเกอร์มักตั้งค่าคงที่ไว้สูงกว่าสเปรดลอยตัวในสภาพแวดล้อมที่นิ่ง
- เสี่ยงต่อการถูก Requote: เมื่อราคาเคลื่อนที่เร็ว เช่น ข่าวด่วน โบรกเกอร์อาจไม่สามารถปฏิบัติตามราคาที่เสนอและขอ “ราคาใหม่” ซึ่งอาจทำให้คุณพลาดโอกาสหรือต้องซื้อ/ขายที่ราคาไม่พึงประสงค์
- มักใช้กับโบรกเกอร์แบบ Market Maker: โบรกเกอร์เหล่านี้มักจะสร้างตลาดขึ้นเองภายใน แทนที่จะเชื่อมตรงกับผู้ให้สภาพคล่องในตลาดจริง
สเปรดลอยตัว (Floating/Variable Spread) คืออะไร?
สเปรดลอยตัว คือค่าสเปรดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสภาพคล่อง ความผันผวน และสภาวะของตลาดจริง เป็นแบบที่ใช้กันในตลาดทั่วไป
ข้อดี:
- สเปรดต่ำสุดในสภาพแวดล้อมที่นิ่ง: โดยเฉพาะในบัญชี ECN, Raw หรือ Zero Spread ที่สเปรดอาจต่ำมาก หรือใกล้ศูนย์ เมื่อตลาดมีสภาพคล่องสูง
- สะท้อนราคาตลาดจริง: โปร่งใสและใกล้เคียงกับการซื้อขายในระดับสถาบันมากกว่า
- น้อยครั้งที่เกิด Requote: เนื่องจากราคาปรับตัวอัตโนมัติตามการเคลื่อนไหว จึงตอบสนองได้เร็ว
ข้อเสีย:
- คาดการณ์ต้นทุนยาก: ในวันที่มีข่าวสำคัญ เช่น NFP หรือ FOMC ค่าสเปรดอาจ “ถ่างออก” หลายเท่า ทำให้เปิดออร์เดอร์ที่ราคาไม่คุ้ม
- เสี่ยงต่อการรับมือไม่ทันในช่วงผันผวน: สเปรดตัวสูงอาจทำให้ Stop Loss ถูกเตะโดยไม่จำเป็น (Slippage)
- พบในโบรกเกอร์ ECN/STP มากกว่า: มักมีค่าคอมมิชชันเพิ่มเติม ทำให้ต้นทุนรวมอาจไม่ต่ำเสมอ
สรุป:**
หากคุณเป็นนักเทรดที่ต้องการควบคุมต้นทุนและไม่ชอบความไม่แน่นอน สเปรดคงที่อาจใช้ได้ดี แต่ถ้าคุณมองหาความรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายต่ำในช่วงตลาดนิ่ง และเต็มใจรับความเสี่ยงในช่วงผันผวน สเปรดลอยตัวคือตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า โดยเฉพาะในบัญชี ECN
คำนวณค่าสเปรดอย่างไร? รู้เรื่อง Pips และ Points ให้ชัดเจน
การวัดค่าสเปรดใช้หน่วยพื้นฐานอย่าง **พิป (Pip)** และ **จุดย่อย (Point)** ซึ่งนักเทรดต้องเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง เพราะเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินต้นทุนจริง
วิธีคำนวณ:
ค่าสเปรด = ราคา Ask – ราคา Bid
แล้วแปลงผลลัพธ์เป็นหน่วย Pip หรือ Point
Pip (จุด):
– สำหรับคู่สกุลเงินทั่วไป (เช่น EUR/USD, GBP/USD) 1 Pip = การเปลี่ยนแปลงที่ทศนิยมตำแหน่งที่ 4
– ตัวอย่าง: EUR/USD จาก 1.10000 → 1.10010 = เคลื่อนราว 1 Pip
Point (จุดย่อย):
– 1 Pip = 10 Points
– โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แสดงราคา 5 ตำแหน่ง เช่น 1.10008 โดยตัวเลข “8” คือ Point สุดท้าย
– ดังนั้น ค่าสเปรด 0.00008 = 8 Points = 0.8 Pip
พิเศษ: คู่เงินที่มี JPY
สำหรับคู่เงินเช่น USD/JPY, EUR/JPY
– 1 Pip อยู่ที่ ทศนิยมตำแหน่งที่ 2
– เช่น USD/JPY จาก 130.00 → 130.01 = เคลื่อนที่ 1 Pip (หรือ 10 Points)
ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนจริง:
สมมติคุณซื้อ EUR/USD 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 หน่วย) ที่มีค่าสเปรด 1.5 Pip
มูลค่า 1 Pip ของ EUR/USD = 10 ดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ต้นทุนค่าสเปรด = 1.5 × 10 = 15 ดอลลาร์
ทันทีที่คุณเปิดออร์เดอร์ คุณต้องทำกำไรให้ได้มากกว่า 15 ดอลลาร์ ก่อนจึงจะเห็นกำไร หากคุณสกาล์ปปิ้งและทำ 15 พิป/วัน ก็ต้อง 1 พิปแรกจะไป “ใช้หนี้” ค่าสเปรดไปแล้ว
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ค่าสเปรดเปลี่ยนไป?
ค่าสเปรดไม่ได้คงที่เหมือนป้ายราคาในร้านค้า มันไหลและปรับตัวทุกวินาที ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง
1. สภาพคล่องของตลาดและประเภทคู่สกุลเงิน
– คู่หลัก (Major Pairs): เช่น EUR/USD, USD/JPY — มีการซื้อขายกันหนาแน่นทั่วโลก ทำให้สเปรดแคบที่สุด (เฉลี่ย 0.1 – 1.0 Pip)
– คู่รอง (Minor Pairs): เช่น AUD/CAD — มีสภาพคล่องปานกลาง สเปรดอาจอยู่ที่ 1.5 – 3 Pip
– คู่แปลก (Exotic Pairs): เช่น USD/THB, USD/MXN — มีสภาพคล่องต่ำ เสี่ยงต่อสเปรดกว้างและผันผวนมาก บางครั้งอาจถึง 10–50 Pip
2. ความผันผวนของราคาและข่าวเศรษฐกิจ
ช่วงเวลาที่มีการประกาศข้อมูลสำคัญ เช่น
– อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (FED, ECB)
– รายงานการจ้างงานสหรัฐ (NFP)
– ดัชนีว่างงานหรือเงินเฟ้อ CPI
มักเห็นสเปรด “เบลอ” หรือ “ถ่างออก” อย่างรุนแรง เพราะผู้เล่นในตลาดหลาย ๆ ฝ่ายพร้อมกันกดปุ่มเทรดในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดช่องว่างราคาชั่วคราว
3. เวลาในการซื้อขาย
– ช่วงลอนดอน + นิวยอร์กทบซ้อน: (13.00 – 22.00 น. ตามเวลาไทย) — สเปรดแคบที่สุด
– ช่วงเช้าตรู่หรือดึกดื่น: เช่น 02.00 – 06.00 น. — ตลาดบางส่วนยังไม่เปิด สเปรดอาจเริ่มกว้างขึ้น
– ช่วงเปลี่ยนชั่วโมง: บางโบรกเกอร์อาจ “หยุด” ราคาหรือแจ้ง Requote ชั่วขณะ
4. รูปแบบการทำงานของโบรกเกอร์
– โบรกเกอร์ ECN/STP มักจะมีสเปรดที่สะท้อนตลาดจริง โดยมากใช้สเปรดลอยตัว
– โบรกเกอร์ Market Maker ตั้งราคาเอง จึงอาจเสนอสเปรดคงที่ได้ แต่บางครั้งอาจมีการตั้งราคาที่ “ไม่ตรงตลาด” เพื่อผลประโยชน์ของตน
ค่าสเปรดกับผลลัพธ์การเทรด: มีผลต่อกลยุทธ์อย่างไร?
ก่อนเลือกสไตล์การเทรด ควรพิจารณาอย่างหนักว่าค่าสเปรดจะส่งผลต่อคุณอย่างไร
สำหรับนักเทรดสกาล์ปปิ้ง (Scalping):
เรียกได้ว่า **สเปรดเป็นศัตรูตัวฉกาจ**
เพราะช่องว่างกำไรต่อออร์เดอร์มักเพียง 5–10 Pip ถ้าจ่ายค่าสเปรดไป 1–2 Pip แล้ว หมายถึงต้นทุนไปถึง 20–40% ของกำไรก่อนจะพิมพ์
ยิ่งเปิดบ่อย ยิ่งเสียสะสม ถ้าสเปรดเฉลี่ยวันละ 2 Pip ต่อออร์เดอร์ และคุณเปิด 50 ครั้งต่อวัน = คุณเสียไปแล้ว 100 Pip ต่อวัน โดยยังไม่ได้กำไรแม้แต่พิปเดียว
คำแนะนำ: เทรดเดอร์สกาล์ปปิ้งควรเลือกโบรกเกอร์ที่มี สเปรดต่ำสุด โดยเฉพาะ บัญชี Raw/ECN ซึ่งให้สเปรดเริ่มต้นที่ 0.0 พร้อมคิดค่าคอมมิชชันต่ำ
สำหรับนักเทรดสวิง (Swing Trading) หรือโพซิชัน (Position Trading):
แม้สเปรดจะยังมีผล แต่ **ความสำคัญลดลงสัมพัทธ์** เพราะเป้าหมายกำไรอยู่ที่ 50–500 Pip ต่อออร์เดอร์ การเสีย 1–2 Pip จึงไม่เกิดผลกระทบมาก
แต่คำเตือนคือ ถ้าคุณใช้เลเวอเรจสูง หรือกำลังถือหลายล็อต หรือเปลี่ยนคู่เงินบ่อย ค่าสเปรดที่สะสมก็ยังสามารถกัดกำไรของคุณได้
ในกลยุทธ์นี้ คุณควรให้ความสำคัญกับ ค่า Swap (ดอกเบี้ยข้ามคืน) มากกว่าสเปรด โดยเฉพาะถ้าคุณถือออร์เดอร์หลายวัน-หลายสัปดาห์
วิธีเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่มีค่าสเปรดต่ำและน่าเชื่อถือ
การเลือกโบรกเกอร์ไม่ใช่แค่มองที่เลขสเปรดเพียงหน้าเดียว ต้องมองให้รอบด้าน โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและความโปร่งใส
1. ความน่าเชื่อถือและใบอนุญาต
เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับมากกว่าหนึ่งแห่ง เช่น
– FCA (สหราชอาณาจักร): เข้มงวดที่สุด
– ASIC (ออสเตรเลีย): โปร่งใสและดูแลนักลงทุนดี
– CySEC (ไซปรัส): ได้รับการยอมรับในยุโรป
– FSA (เซเชลส์): โดยเฉพาะโบรกเกอร์ที่เน้นตลาดเอเชีย
การมีใบอนุญาตเหล่านี้บ่งบอกว่าโบรกเกอร์ต้องกันเงินลูกค้าไว้ต่างหาก (Segregated Account) และปฏิบัติตามกฎอย่างเข้มงวด
2. เปรียบเทียบประเภทบัญชี
– บัญชี Standard: สเปรดกว้างกว่า แต่ไม่คิดค่าคอมมิชชัน
– บัญชี Raw/Zero Spread: สเปรดต่ำมาก แต่คิดค่าคอมมิชชันต่อล็อต (เช่น $3.5 per lot)
เคล็ดลับ: คำนวณ “ต้นทุนรวม” ต่อออร์เดอร์ เช่น
(สเปรด × มูลค่าพิป) + (ค่าคอมมิชชัน)
เพื่อดูว่าบัญชีไหนคุ้มค่าที่สุดสำหรับสไตล์ของคุณ
3. ต้นทุนอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณา
อย่าลืมดูเรื่อง
– ค่าคอมมิชชัน: จากราคาต่อ “1 ล็อต ปิด-เปิดครบวงจร”
– ค่า Swap: โดยเฉพาะถ้าคุณเทรดคู่ที่ต่างอัตราดอกเบี้ยมาก เช่น AUD/JPY หรือ NZD/USD
– ค่าธรรมเนียมฝาก-ถอน: โบรกเกอร์บางแห่งคิดเงินเมื่อถอน หรือจำกัดวิธีการ
4. ความเร็วในการดำเนินการ
– ความเร็วในการวางคำสั่ง (Execution Speed) สูง
– รองรับระบบของเครื่องมืออัตโนมัติ (EA, Bot) ดี
– มีทางเลือกการฝาก-ถอนที่หลากหลาย เช่น ทรูวอเลท, สกิล วิลเลอร์, บัตรเครดิต หรือพร้อมเพย์ ที่รวดเร็วภายใน 1–5 นาที
5. ทดสอบด้วยบัญชีเดโม
ก่อนใส่เงินจริง ให้เปิดบัญชีเดโมเสียก่อน 1-2 สัปดาห์ เพื่อทดสอบ
– แพลตฟอร์มทำงานเสถียรหรือไม่
– สเปรดจริงในช่วงต่าง ๆ กว้างแค่ไหน
– มี Requote บ่อยหรือไม่
– การตอบสนองของลูกค้าเป็นอย่างไร
คุณจะได้เห็นภาพจริง ไม่ใช่แค่คำโฆษณา
ตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ Forex สเปรดต่ำ ปี 2025
นี่คือรายชื่อโบรกเกอร์ที่น่าจับตามองในประเทศไทยปี 2025 พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดเพื่อช่วยวิเคราะห์และตัดสินใจ
| โบรกเกอร์ | ใบอนุญาตหลัก | ประเภทบัญชีเด่น | สเปรดเฉลี่ย EUR/USD (Pips) | สเปรดเฉลี่ย XAU/USD (Pips) | ค่าคอมมิชชัน (ต่อ Lot) | ค่า Swap | Leverage สูงสุด | เงินฝากขั้นต่ำ | ช่องทางฝาก-ถอนเด่น | เหมาะสำหรับ |
| :———— | :—————— | :———————- | :———————— | :———————— | :———————- | :——————- | :————– | :————- | :——————– | :———————————————- |
| **Exness** | CySEC, FCA, FSCA | Standard, Raw Spread, Pro | 0.7 – 1.0, 0.0 (Raw) | 15 – 20, 0.0 (Raw) | $3.5 (Raw) | ฟรี (บางบัญชี) | ไม่จำกัด | $1–$10 | พร้อมเพย์, Skrill, แบงก์ไทย | มือใหม่, สกาล์ปปิ้ง, โบรกเกอร์ที่เน้นความเร็ว |
| **IUX Markets** | SVGFSA | Standard, ECN, Raw Spread | 0.7 – 1.0, 0.0 (ECN) | 18 – 25, 0.0 (ECN) | $3.5 (ECN) | ปกติ | 1:3000 | $10 | แบงก์ไทย (โอนเร็ว) | มือใหม่-มืออาชีพ, เน้นสเปรดต่ำ+การสนับสนุนไทย |
| **Pepperstone**| ASIC, FCA, CySEC | Standard, Razor | 0.7 – 1.2, 0.0 (Razor) | 20 – 30, 0.0 (Razor) | $3.5 (Razor) | ปกติ | 1:500 | $200 | PayPal, บัตรเครดิต | สกาล์ปปิ้ง, ใช้ EA, ต้องการExecution สูงสุด |
| **IC Markets** | ASIC, CySEC, FSA | Standard, Raw Spread | 0.6 – 1.0, 0.0 (Raw) | 20 – 30, 0.0 (Raw) | $3.5 (Raw) | ปกติ | 1:500 | $200 | Skrill, Neteller, แบงก์ | Trader มืออาชีพ, โบรกเกอร์ ECN ชั้นนำ |
| **Eightcap** | ASIC, SCB, VFSC | Standard, Raw Spread | 0.8 – 1.2, 0.0 (Raw) | 20 – 30, 0.0 (Raw) | $3.5 (Raw) | ปกติ | 1:500 | $100 | บัตร, Skrill, โอนผ่านแบงก์ | ผู้ใช้ MT4/MT5 ที่ต้องการความสมดุล |
| **XM** | CySEC, ASIC, FSC | Standard, Micro, Ultra Low | 1.0 – 1.5 (Standard) | 25 – 35 (Standard) | ไม่มี | ปกติ | 1:1000 | $5 | หลายช่องทาง, โบนัส | มือใหม่, ต้นทุนต่ำ, ไม่อยากจ่ายค่าคอมมิชชัน |
*หมายเหตุ: ข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ ควรตรวจสอบเว็บไซต์หลักของโบรกเกอร์ก่อนตัดสินใจ*
สรุป: ก้าวแรกสู่ความสำเร็จ เริ่มจากการเข้าใจต้นทุน
ค่าสเปรดไม่ใช่แค่ตัวเลขลอย ๆ หากแต่คือ “ค่าทางผ่าน” แรกที่ทุกนักเทรดต้องจ่ายในการเข้าสู่ตลาด Forex ยิ่งคุณเข้าใจกลไกของมันมากเท่าไร คุณก็ยิ่งสามารถควบคุมต้นทุนและเพิ่มอัตราทำกำไรได้มากเท่านั้น
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดต่ำเป็นเพียงก้าวหนึ่ง แต่คุณต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาต ค่าคอมมิชชัน สภาพคล่อง ความเร็ว และความน่าเชื่อถือ
อย่าลืมใช้บัญชีเดโมเพื่อลองทดสอบเสียก่อน เปรียบเทียบข้อมูลจริง และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ เพราะการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม คือการลงทุนเพื่ออนาคตของพอร์ตคุณ
ในตลาดที่ผันผวน ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเดา แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด ตั้งแต่จุดเล็ก ๆ อย่างค่าสเปรด
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. ค่าสเปรดใน Forex คืออะไร และสำคัญต่อการเทรดอย่างไร?
ค่าสเปรดใน Forex คือผลต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Ask Price) ซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่เทรดเดอร์ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ในการเปิดออร์เดอร์ การเข้าใจค่าสเปรดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อผลกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่เปิดปิดออร์เดอร์บ่อยครั้ง (Scalping) หากสเปรดสูง ต้นทุนการเทรดก็จะสูงขึ้นและกัดกร่อนกำไรของคุณ
2. ราคา Bid และ Ask มีความสัมพันธ์กับค่าสเปรดอย่างไร?
ราคา Bid คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะซื้อจากคุณ (หรือราคาที่คุณขายได้) และราคา Ask คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีจะขายให้คุณ (หรือราคาที่คุณซื้อได้) ค่าสเปรดคือผลต่างระหว่างราคา Ask และ Bid เสมอ (Ask Price – Bid Price) โดยที่คุณจะซื้อที่ราคา Ask และขายที่ราคา Bid
3. ค่าสเปรดคงที่ (Fixed Spread) และค่าสเปรดลอยตัว (Floating Spread) แตกต่างกันอย่างไร?
- **สเปรดคงที่:** ค่าสเปรดไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด ทำให้คาดการณ์ต้นทุนได้ง่าย แต่อาจมีราคาสูงกว่าในสภาวะปกติและอาจเกิด Requotes ได้
- **สเปรดลอยตัว:** ค่าสเปรดจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพคล่องและความผันผวนของตลาด อาจต่ำมากในสภาวะปกติแต่สามารถถ่างออกได้อย่างมากในช่วงข่าวสำคัญ มักพบในบัญชี ECN/STP
4. ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ค่าสเปรด Forex เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือถ่างออก?
ปัจจัยหลักได้แก่ สภาพคล่องของตลาด (คู่สกุลเงินหลักมักมีสเปรดแคบกว่า), ความผันผวนของตลาด (สเปรดจะถ่างออกในช่วงประกาศข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน), และช่วงเวลาการซื้อขาย (สเปรดอาจกว้างขึ้นในช่วงตลาดปิดหรือกลางคืน)
5. Pips และ Points คืออะไร และใช้ในการคำนวณค่าสเปรดอย่างไร?
Pips (Percentage in Point) คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เล็กที่สุด โดยส่วนใหญ่คือทศนิยมตำแหน่งที่สี่ (สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่) หรือทศนิยมตำแหน่งที่สอง (สำหรับคู่ที่มี JPY)
Points (จุดย่อย) คือส่วนย่อยของ Pip โดย 1 Pip เท่ากับ 10 Points โบรกเกอร์จะแสดงราคาถึงตำแหน่ง Points (ทศนิยมที่ห้าหรือสาม) ค่าสเปรดจะถูกคำนวณจากผลต่างของ Bid/Ask ในหน่วย Pips หรือ Points
6. การเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่มีค่าสเปรดต่ำ มีประโยชน์ต่อเทรดเดอร์อย่างไร?
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดต่ำช่วยลดต้นทุนการเทรดโดยรวม ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์ Scalping หรือเปิดออร์เดอร์จำนวนมาก การลดต้นทุนค่าสเปรดลงเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว
7. มีโบรกเกอร์ Forex สเปรดต่ำยอดนิยมในประเทศไทยแนะนำบ้างไหมในปี 2025?
โบรกเกอร์ยอดนิยมในประเทศไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องสเปรดต่ำในปี 2025 ได้แก่ Exness, IUX Markets, Pepperstone, IC Markets, และ Eightcap โดยมักจะนำเสนอสเปรดต่ำมากในบัญชีประเภท Raw Spread หรือ ECN ซึ่งอาจมีการคิดค่าคอมมิชชันเพิ่มเติม ควรศึกษาเปรียบเทียบจากตารางและข้อมูลล่าสุดของแต่ละโบรกเกอร์อีกครั้ง
8. นอกจากค่าสเปรดแล้ว เทรดเดอร์ควรพิจารณาค่าธรรมเนียมอื่นใดอีกบ้างเมื่อเลือกโบรกเกอร์?
นอกจากค่าสเปรดแล้ว เทรดเดอร์ควรพิจารณาค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ได้แก่ ค่าคอมมิชชัน (โดยเฉพาะในบัญชี Raw Spread หรือ Zero Spread), และ ค่า Swap (ค่าธรรมเนียมการถือครองออร์เดอร์ข้ามคืน) นอกจากนี้ยังควรดูค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอน และค่าธรรมเนียมแฝงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
9. ค่าสเปรดที่สูงส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping อย่างไร?
ค่าสเปรดที่สูงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับกลยุทธ์ Scalping เนื่องจาก Scalper มีเป้าหมายทำกำไรเพียงไม่กี่ Pips ในแต่ละออร์เดอร์ หากสเปรดสูง กำไรส่วนใหญ่จะถูกหักไปเป็นต้นทุน ทำให้ยากที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอหรือต้องเปิดออร์เดอร์ทำกำไรในระยะที่ไกลขึ้น
10. การเทรดคู่เงินที่มี JPY เป็นองค์ประกอบ มีลักษณะค่าสเปรดที่แตกต่างจากคู่เงินอื่นอย่างไร?
สำหรับคู่เงินที่มี JPY เป็นองค์ประกอบ (เช่น USD/JPY) โดยทั่วไปแล้วราคาจะแสดงเป็น 2 หลักทศนิยม (ในขณะที่คู่เงินส่วนใหญ่มักเป็น 4 หลัก) ดังนั้น 1 Pip สำหรับคู่ JPY จะอยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่สองแทนที่จะเป็นสี่ ซึ่งหมายความว่าการเคลื่อนไหว 1 จุดจะมีมูลค่าที่แตกต่างกันเล็กน้อย ควรระมัดระวังในการคำนวณ Pip และ Point สำหรับคู่สกุลเงินเหล่านี้
แหล่งอ้างอิง:
Investopedia – Bid-Ask Spread
Forex Factory – Economic Calendar
BabyPips – Rollover and Interest (Swap)
Financial Conduct Authority (FCA)