ราคา Bid Ask และ Bid Ask Spread คืออะไร: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักเทรด
ในโลกของการซื้อขายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ การเข้าใจกลไกพื้นฐานของราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่นักเทรดทุกคนต้องมี ทั้งสองแนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณอ่านราคาได้อย่างถูกต้อง แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการเทรด ประสิทธิภาพของกลยุทธ์ และแม้กระทั่งการตัดสินใจเข้าหรือออกจากการเทรด หากไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง คุณอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ขาดทุนโดยไม่รู้ตัว หรือพลาดจุดทำกำไรที่ควรจะได้รับ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับราคา Bid Ask และ Bid Ask Spread ทุกแง่มุม เพื่อให้คุณสามารถควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้นและกลายเป็นนักเทรดที่รู้จริงในตลาด

บทนำ: ทำไมราคา Bid Ask และ Spread จึงสำคัญต่อนักเทรด?
ทุกครั้งที่คุณสั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ คุณไม่ได้แค่เล่นกับราคาเดียว แต่กำลังเผชิญหน้ากับ “สองราคา” พร้อมกัน — หนึ่งสำหรับผู้ซื้อ และอีกหนึ่งสำหรับผู้ขาย ความแตกต่างระหว่างสองราคาเหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่า Bid Ask Spread ซึ่งกลายเป็นต้นทุนที่คุณต้อง “จ่าย” ทันทีที่เปิดคำสั่งเทรด
นี่ไม่ใช่แค่ค่าธรรมเนียม แต่เป็นต้นทุนแฝงที่มีผลต่อผลลัพธ์ของการเทรดทุกครั้ง โดยเฉพาะในกลยุทธ์ที่เน้นทำกำไรจากจุดต่อน้อย เช่น แบบสแคป (Scalping) หรือเดย์เทรด (Day Trading) การเข้าใจเรื่องนี้จะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายกำไร ขาดทุน และวางแผนการเข้า-ออกได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่นักเทรดมือใหม่มักเจอ เช่น การตั้ง Take Profit แล้วออเดอร์ไม่ปิด หรือ Stop Loss ถูกเตือนเร็วกว่าที่คิด
ทำความรู้จักราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และราคาเสนอขาย (Ask Price)
ตลาดทุกแห่งล้วนมีสองฝั่ง: ผู้ที่ต้องการซื้อ และผู้ที่ต้องการขาย ราคา Bid และ Ask คือสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันจากทั้งสองฝั่งในช่วงเวลานั้น
ราคา Bid คืออะไร: มุมมองของผู้ซื้อ
ราคาเสนอซื้อ หรือที่เรียกว่า Bid Price คือราคาที่ผู้ซื้อพร้อมจะจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์ในขณะนั้น โดยทั่วไป ราคา Bid จะเป็นราคาที่คุณได้รับเมื่อต้องการ “ขาย” สินทรัพย์ของคุณทันที ถ้าคุณตัดสินใจเปิดสถานะ Short (ขาย) คุณจะเข้าที่ราคา Bid
ยกตัวอย่าง เช่น คู่เงิน EUR/USD กำลังแสดง Bid ที่ 1.12500 หมายความว่า มีผู้ซื้อรายใหญ่หรือผู้ดูแลสภาพคล่องที่พร้อมจะซื้อเงินยูโรจากคุณได้ในอัตรา 1 ยูโร เท่ากับ 1.12500 ดอลลาร์สหรัฐ
ราคา Ask คืออะไร: มุมมองของผู้ขาย
ในทางกลับกัน ราคาเสนอขาย หรือ Ask Price คือราคาที่ผู้ขายยินดีขายสินทรัพย์ให้กับคุณ โดยทั่วไป นี่คือราคาที่คุณต้อง “จ่าย” เมื่อต้องการซื้อสินทรัพย์ทันที หากคุณเปิดสถานะ Long (ซื้อ) คุณจะต้องซื้อที่ราคา Ask
ตัวอย่างเดียวกัน ถ้า EUR/USD มีราคา Ask ที่ 1.12505 แสดงว่า มีผู้ขายรายใหญ่หรือโบรกเกอร์พร้อมขายเงินยูโรให้คุณที่ราคา 1 ยูโร เท่ากับ 1.12505 ดอลลาร์สหรัฐ
ทำไมราคา Ask จึงสูงกว่าราคา Bid เสมอ?
คำถามหนึ่งที่นักเทรดส่วนใหญ่สงสัยคือ “ทำไมราคาขาย (Ask) ถึงสูงกว่าราคาซื้อ (Bid)”
คำตอบคือ ความแตกต่างนี้เป็น “กลไกธรรมชาติ” ของตลาดการเงิน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของ “ผู้ดูแลสภาพคล่อง” (Market Makers) ผู้เหล่านี้ทำหน้าที่เสนอราคา Bid และ Ask อย่างต่อเนื่อง โดยรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาเพื่อให้นักเทรดสามารถซื้อขายได้ทันที
ส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask คือสิ่งที่พวกเขาได้รับเป็นค่าตอบแทนสำหรับการให้บริการสภาพคล่อง ถือเป็น “ค่าธรรมเนียม” แฝงที่ทำให้ตลาดมีความคล่องตัว หากไม่มีกลไกนี้ การจับคู่คำสั่งซื้อขายอาจต้องรอนาน หรือไม่เกิดขึ้นเลยในบางกรณี
Bid Ask Spread คืออะไร และคำนวณอย่างไร?
Bid Ask Spread คือส่วนต่างระหว่างราคา Ask กับราคา Bid นั่นเอง เป็นต้นทุนที่นักเทรดจ่ายทุกครั้งที่เปิดสถานะเทรด และเป็นแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์บางประเภท โดยเฉพาะแบบ Market Maker
สูตรคำนวณ:
Spread = ราคา Ask – ราคา Bid
ตัวอย่างจริง:
EUR/USD มีราคา Bid ที่ 1.12500 และ Ask ที่ 1.12505
Spread = 1.12505 – 1.12500 = 0.00005
ในตลาดฟอเร็กซ์ การเคลื่อนไหวของราคาทศนิยมตำแหน่งที่ 4 (หรือตำแหน่งที่ 2 สำหรับคู่เงินเยน) เรียกว่า “pip” ดังนั้น Spread 0.00005 จึงเทียบเท่ากับ “0.5 pip” ซึ่งถือว่าแคบและเหมาะสมสำหรับคู่เงินหลัก
สำหรับนักเทรด ยิ่ง Spread แคบยิ่งดี เพราะแปลว่าต้นทุนต่อครั้งน้อยลง และเพิ่มโอกาสทำกำไรได้เร็ว การที่คุณเห็นสถานะกำไรขาดทุนติดลบเล็กน้อยทันทีหลังเปิดออเดอร์ นั่นคือผลของ Bid Ask Spread กำลังทำงาน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Bid Ask Spread
Bid Ask Spread ไม่ใช่สิ่งคงที่ แต่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสภาพตลาด และนักเทรดควรเข้าใจว่าเหตุใดมันถึงกว้างหรือแคบในแต่ละช่วง
สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity)
สภาพคล่อง หมายถึง ความง่ายในการซื้อขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
- สภาพคล่องสูง: เช่น คู่เงินหลัก (EUR/USD, USD/JPY) ที่มีการซื้อขายกันทั่วโลกทุกนาที จะมี Spread แคบที่สุด เพราะมีผู้เล่นจำนวนมาก และคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก
- สภาพคล่องต่ำ: เช่น คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) หรือหุ้นขนาดเล็ก ที่มีผู้เข้าตลาดน้อย มักทำให้ Spread กว้างขึ้น เพราะผู้ดูแลสภาพคล่องต้องเพิ่มส่วนต่างเพื่อชดเชยความเสี่ยง
ความผันผวนของตลาด (Market Volatility)
เมื่อราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน ผู้ดูแลสภาพคล่องจะเพิ่ม Spread เพื่อป้องกันตนเองจากความเสี่ยง
- ช่วงประกาศข่าวสำคัญ: เช่น Non-Farm Payroll, ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ หรือการประชุมธนาคารกลาง ราคาอาจกระโดดอย่างรุนแรง ทำให้ Spread ขยายเป็น 2-5 เท่าของปกติ
- ตลาดสงบ: ช่วงกลางคืนหรือช่วงที่ไม่มีข่าว ราคาเคลื่อนที่ช้า Spread มักหดแคบลง
ประเภทของสินทรัพย์ (Asset Class)
แต่ละสินทรัพย์มีลักษณะเฉพาะที่ส่งผลต่อระดับของ Spread
- ฟอเร็กซ์: คู่เงินหลัก Spread ต่ำ คู่รองและคู่แปลกใหม่ Spread กว้าง
- หุ้น: หุ้น Blue-chip (เช่น Apple, Tesla) มักมี Spread แคบ ขณะที่หุ้นขนาดเล็กหรือที่มีซื้อขายไม่ถี่ จะมี Spread ไกล
- สินค้าโภคภัณฑ์: เช่น ทองคำ (XAU/USD) มักมี Spread ค่อนข้างต่ำในช่วงปกติ แต่ในช่วงตื่นตระหนกอาจพุ่งสูง
- ดัชนี: เช่น S&P 500, NASDAQ มี Spread ที่แตกต่างกันไปตามโบรกเกอร์และสภาพคล่อง
ช่วงเวลาการซื้อขาย (Time of Day)
ตลาดการเงินเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกช่วงเวลาจะดีเท่ากัน
- ช่วงที่มีการซื้อขายหนาแน่น: เช่น ช่วงซ้อนทับของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก (เวลาประมาณ 19:00 – 23:00 น. ตามเวลาในไทย) มักมีสภาพคล่องสูงสุด และ Spread แคบที่สุด
- ช่วงตลาดเอเชียหรือช่วงพัก: โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่หรือช่วงกลางคืน ที่มีผู้เล่นน้อย Spread มีแนวโน้มกว้างขึ้น
บทบาทของผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers)
ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers) คือองค์กรหรือบุคคลที่เสนอราคา Bid และ Ask อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดมีความคล่องตัว โดยพวกเขาวางตัวเป็น “คู่สัญญา” กับนักเทรดโดยตรง
โบรกเกอร์บางรายทำหน้าที่นี้ด้วย ซึ่งหมายความว่า คุณไม่ได้ไปซื้อขายกับตลาดโดยตรง แต่ซื้อขายกับโบรกเกอร์เอง ดังนั้น Spread ที่พวกเขาเสนอจึงสะท้อนถึงต้นทุน ความเสี่ยง และนโยบายกำไรของพวกเขา
Bid Ask Price และ Spread กับผลกระทบต่อการเทรดของคุณ
เข้าใจแนวคิดพื้นฐานแล้ว ต่อไปคือการประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงการเทรดของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ต้นทุนการเทรดที่แฝงอยู่
Spread คือ “ค่าผ่านทาง” ที่นักเทรดต้องจ่ายทุกครั้งที่เข้าหรือออกจากการเทรด ไม่ว่าคุณจะเปิดออเดอร์ซื้อหรือขาย คุณก็ต้องรับผลของ Spread
ตัวอย่างเช่น:
- คุณซื้อ EUR/USD ที่ราคา Ask = 1.12505
- ทันทีที่คุณเปิดออเดอร์ ราคา Bid = 1.12500
- ถ้าคุณตัดสินใจปิดทันที คุณขายที่ 1.12500
- คุณขาดทุน 0.00005 หรือ 0.5 pip ทันที
นี่คือเหตุผลที่คำสั่งเทรดทุกครั้งเริ่มต้นด้วยต่ำสุดของกำไรคือ “ลบ Spread” หากคุณเทรดแบบสแคปปิ้งที่ตั้งเป้าทำกำไรแค่ 2-3 pip การจ่าย Spread 0.5 pip จึงมีความหมายมาก
ความสัมพันธ์กับคำสั่ง Long และ Short
นี่คือหลักพื้นฐานที่ต้องจดจำ:
- เปิด Long → ซื้อที่ราคา Ask
- ปิด Long → ขายที่ราคา Bid
- เปิด Short → ขายที่ราคา Bid
- ปิด Short → ซื้อคืนที่ราคา Ask
การเข้าใจความสัมพันธ์นี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของต้นทุน และประเมินว่าคุณต้องทำกำไรกี่ pip กว่าจะคุ้มทุนได้จริง
ทำไมออเดอร์ถึงไม่ปิดเมื่อราคาบนกราฟถึง TP หรือ SL?
ปัญหานี้พบบ่อยในแพลตฟอร์มเช่น MetaTrader 4 (MT4) ซึ่งโดยปกติจะแสดงเพียงเส้นราคา Bid เท่านั้น ทำให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะเมื่อใช้คำสั่ง Stop Loss หรือ Take Profit กับออเดอร์ Sell
ตัวอย่าง เช่น:
- คุณเปิดออเดอร์ Sell EUR/USD ที่ราคา 1.12500
- ตั้ง TP ที่ 1.12450 และรอให้ราคา “แตะ”
- กราฟขึ้นไปแตะ 1.12450 แต่คำสั่งยังไม่ปิด
ปัญหาคือ: TP ของออเดอร์ Sell จะถูกเรียกเมื่อราคา Ask ไปถึงเป้าหมาย แต่บนกราฟ MT4 คุณเห็นแค่เส้น Bid ซึ่งอยู่ต่ำกว่า Ask เสมอ ดังนั้นแม้เส้น Bid จะไปถึง TP แล้ว แต่ถ้าราคา Ask ยังไม่ไปถึง คำสั่งก็ยังไม่ปิด
ด้วยเหตุนี้ การตั้งค่า TP/SL ควรเผื่อระยะของ Spread ไว้ โดยเฉพาะในช่วงข่าวหรือความผันผวนสูง

ปรับแต่งกลยุทธ์การเทรดด้วย Bid Ask Spread
การนำความรู้เรื่อง Bid Ask Spread มาใช้ ไม่ใช่แค่เพื่อลดต้นทุน แต่คือการเพิ่มความแม่นยำให้กับกลยุทธ์ทั้งหมด
วิธีแสดงเส้น Bid และ Ask บนโปรแกรม MT4
เพื่อให้มองเห็นความแตกต่างระหว่าง Bid และ Ask อย่างชัดเจน คุณสามารถเปิดใช้งาน “เส้น Ask” บนกราฟ MT4
ขั้นตอนการตั้งค่า:
- คลิกขวาบนกราฟที่ต้องการ
- เลือก “Properties” หรือกดปุ่ม F8
- เลือกแท็บ “Common”
- ติ๊กถูกที่ช่อง “Show Ask line”
- คลิก “OK”
หลังจากนั้น คุณจะเห็นเส้น Ask (มักเป็นสีแดง) ปรากฏบนกราฟ ควบคู่กับเส้น Bid ทำให้คุณสามารถสังเกตความกว้างของ Spread แบบเรียลไทม์ และใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเทรด เช่น หนีช่วงที่ Spread กว้าง หรือรอให้ตลาดนิ่งก่อนเข้าคำสั่ง
การเลือกใช้กลยุทธ์ตามระดับของ Spread
กลยุทธ์แต่ละแบบมีความไวต่อ Spread ไม่เท่ากัน
- Scalping: ต้องการ Spread ต่ำมาก เพราะกำไรต่อครั้งเพียงไม่กี่ pip ถ้า Spread สูงเกินไป ความได้เปรียบจะหายไปทันที
- Day Trading: ยังคงไวต่อ Spread แต่สามารถทนได้เล็กน้อย เพราะมีเป้ากำไรที่สูงกว่า
- Swing หรือ Position Trading: ถือออเดอร์นานหลายวันหรือสัปดาห์ ทำให้ผลกระทบจาก Spread ลดลง แต่การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread สม่ำเสมอจะช่วยลดต้นทุนสะสม
นักเทรดที่จริงจัง ควรพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ประเภท ECN ที่ให้คุณเข้าถึงสภาพคล่องโดยตรง แม้จะมีค่าคอมมิชชัน แต่มักมี Spread แคบและโปร่งใสกว่าโบรกเกอร์แบบดั้งเดิม
การปรับจุด Take Profit และ Stop Loss ให้ถูกต้อง
หลังจากเข้าใจว่าออเดอร์ Buy ใช้ราคา Bid ในการปิด และ Sell ใช้ราคา Ask แล้ว คุณควรปรับจุด TP/SL ให้สอดคล้องกัน:
- สำหรับออเดอร์ Buy:
- ตั้ง TP เล็กน้อยสูงกว่าจุดที่คาด เพื่อเพิ่มโอกาสให้ Bid ไปถึง
- ตั้ง SL เล็กน้อยต่ำกว่าระดับที่ยอมรับ เพื่อป้องกันการตัดขาดทุนเร็วเกินไปหาก Bid แตะระดับนั้นเพียงชั่วคราว
- สำหรับออเดอร์ Sell:
- ตั้ง TP เล็กน้อยต่ำกว่าเป้าหมาย เพื่อให้ Ask มีโอกาสไปถึง
- ตั้ง SL เล็กน้อยสูงกว่า ระดับที่ยอมรับ เพื่อป้องกันการถูกตัดโดยราคา Ask ที่กระโดดชั่วคราว
ยิ่งในช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญ ควรเผื่อระยะห่างของ TP/SL เพิ่มเติมตามความกว้างของ Spread ที่อาจพุ่งขึ้นได้
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Bid Ask Spread วิเคราะห์ตลาด
Spread ไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่ยังเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ตลาดได้อีกด้วย
ข้อดี:
- บ่งชี้ สภาพคล่อง: Spread แคบ = ตลาดมีผู้เล่นมาก
- เตือนภัย ความผันผวน: Spread กว้างอย่างฉับพลัน = ตลาดอาจมีเหตุการณ์สำคัญ
- ใช้ประเมิน ต้นทุนล่วงหน้า: ช่วยตัดสินใจว่าจะเทรดเมื่อไรหรือเทรดอะไร
ข้อเสีย:
- เป็น ต้นทุนแฝง ที่ลดกำไร
- ทำให้ TP/SL ไม่แม่นยำ หากไม่เข้าใจกลไก
- อาจเกิด สัญญาณหลอก เช่น Spread กว้างชั่วคราวจากข่าวที่ไม่สำคัญ
บทสรุป: ก้าวสู่การเป็นนักเทรดที่เข้าใจตลาดอย่างแท้จริง
ราคา Bid Ask และ Bid Ask Spread ไม่ใช่เพียงคำศัพท์ทางเทคนิค แต่คือกลไกพื้นฐานที่ขับเคลื่อนตลาดการเงินทุกแห่ง การเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจะทำให้คุณสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น ประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย
การปรับใช้ความรู้เรื่อง Bid/Ask โดยเฉพาะในการตั้งคำสั่ง TP และ SL บนระบบเทรดจริง จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดอารมณ์เสียจากการเทรดที่ไม่เป็นไปตามคาด
จำไว้ว่า: ความสำเร็จทางการเงินไม่ได้มาจากรูปแบบเดียว แต่มาจากการเข้าใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างลึกซึ้ง การเรียนรู้สิ่งพื้นฐานเหล่านี้เป็นก้าวแรกของนักเทรดที่ต้องการยืนระยะและก้าวไกลในโลกของตลาดการเงิน
1. Bid Price และ Ask Price มีความแตกต่างกันอย่างไรในการเทรด?
Bid Price คือราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อเต็มใจจะจ่าย ซึ่งเป็นราคาที่คุณสามารถขายสินทรัพย์ได้ทันที ส่วน Ask Price คือราคาต่ำสุดที่ผู้ขายเต็มใจจะรับ ซึ่งเป็นราคาที่คุณสามารถซื้อสินทรัพย์ได้ทันที ราคา Ask จะสูงกว่า Bid เสมอ
2. สเปรด Bid Ask คืออะไร และมีบทบาทสำคัญอย่างไรในตลาดการเงิน?
สเปรด Bid Ask คือส่วนต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid ซึ่งทำหน้าที่เป็นต้นทุนการเทรดสำหรับนักเทรดและเป็นรายได้หลักของโบรกเกอร์หรือผู้ดูแลสภาพคล่อง นอกจากนี้ยังเป็นตัวบ่งชี้สภาพคล่องและความผันผวนของตลาดอีกด้วย
3. ทำไมนักเทรดมักจะพบว่าราคา Ask สูงกว่าราคา Bid เสมอ?
ราคา Ask สูงกว่าราคา Bid เสมอเนื่องจากมันคือกลไกที่ผู้ดูแลสภาพคล่องใช้ในการทำกำไรเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการให้บริการสภาพคล่องในตลาด ทำให้มั่นใจว่ามีราคาซื้อและขายให้คุณเทรดได้ตลอดเวลา
4. ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลให้ Bid Ask Spread มีการเปลี่ยนแปลงและมีความกว้างที่แตกต่างกัน?
ปัจจัยหลักได้แก่ สภาพคล่องของตลาด (สภาพคล่องสูง Spread แคบ, สภาพคล่องต่ำ Spread กว้าง), ความผันผวนของตลาด (ผันผวนสูง Spread กว้าง), ประเภทของสินทรัพย์ และ ช่วงเวลาการซื้อขาย (ช่วงตลาดเปิดพร้อมกัน Spread แคบกว่า).
5. การเปิดสถานะ Long (ซื้อ) และ Short (ขาย) เกี่ยวข้องกับราคา Bid และ Ask อย่างไร?
- เมื่อคุณ เปิด Long (ซื้อ) คุณจะซื้อที่ราคา Ask และเมื่อ ปิด Long (ขาย) คุณจะขายคืนที่ราคา Bid
- เมื่อคุณ เปิด Short (ขาย) คุณจะขายที่ราคา Bid และเมื่อ ปิด Short (ซื้อคืน) คุณจะซื้อคืนที่ราคา Ask
6. หากแท่งเทียนใน MT4 แตะจุด Take Profit (TP) แต่คำสั่งไม่ปิดทันที เกิดจากอะไร?
สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยเพราะกราฟ MT4 มักแสดงเพียงเส้นราคา Bid เท่านั้น หากคุณมีออเดอร์ Sell จุด TP ของคุณจะถูกเรียกใช้โดยราคา Ask ซึ่งสูงกว่าเส้น Bid เสมอ ทำให้แม้เส้น Bid จะแตะ TP แล้ว แต่ราคา Ask อาจยังไม่ถึง จึงไม่เกิดการปิดออเดอร์
7. เราสามารถปรับแต่งหรือลดผลกระทบจาก Bid Ask Spread ในกลยุทธ์การเทรดได้อย่างไร?
คุณสามารถทำได้โดย:
- เลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread ต่ำ
- เทรดในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง
- ปรับจุด Take Profit/Stop Loss ให้คำนึงถึง Spread (เช่น TP ของ Sell ควรเผื่อให้ราคา Ask มีโอกาสไปถึง)
- แสดงเส้น Ask Line บน MT4 เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนขึ้น
8. Mark Price หรือราคาตรงกลางระหว่าง Bid กับ Ask มีความหมายและประโยชน์อย่างไร?
Mark Price คือราคากลางที่คำนวณจาก (Bid + Ask) / 2 มักใช้ในตลาดอนุพันธ์ (Futures, Options) เพื่อกำหนดมูลค่าที่แท้จริงของสัญญา โดยเฉพาะเมื่อ Spread กว้างมาก ช่วยให้การประเมินกำไรขาดทุนมีความยุติธรรมมากขึ้น
9. โบรกเกอร์ได้รับรายได้จากการดำเนินงานของ Bid Ask Spread อย่างไร?
โบรกเกอร์ทำกำไรจาก Bid Ask Spread โดยการเสนอราคาซื้อ (Bid) ที่ต่ำกว่าราคาขาย (Ask) เมื่อคุณซื้อ โบรกเกอร์จะขายให้คุณในราคา Ask และเมื่อคุณขาย โบรกเกอร์จะซื้อจากคุณในราคา Bid ส่วนต่างของราคาเหล่านี้คือรายได้ของโบรกเกอร์
10. การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Bid Ask Spread ต่ำ มีความสำคัญต่อผลตอบแทนการเทรดหรือไม่?
มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดที่มีกลยุทธ์ Scalping หรือ Day Trading เนื่องจาก Spread คือต้นทุนการเทรดโดยตรง Spread ที่ต่ำจะช่วยลดต้นทุน ทำให้มีโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น และลดการขาดทุนเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามคาด