
ช่วงนี้เปิดหน้าฟีดข่าวการเงินทีไร ก็มักจะเห็นเรื่องราวของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีจีนขึ้นมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ ครับ โดยเฉพาะ “หุ้น baba” หรือ หุ้นของบริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง (Alibaba Group Holding Ltd) ยักษ์ใหญ่จากแดนมังกร ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์อย่าง Lazada หรือ AliExpress นั่นแหละครับ
เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งชื่อ “น้องต้น” เพิ่งมาถามผมว่า “พี่ครับ หุ้น Alibaba เนี่ย มันยังน่าสนใจอยู่ไหม เห็นราคาไม่ค่อยไปไหน แถมยังมีข่าวโน่นนี่ตลอดเวลา ตกลงมันกำลังจะไปต่อ หรือกำลังจะถอยหลังเข้าคลองกันแน่?”
คำถามของน้องต้นสะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนหลายๆ คนเลยครับ เพราะเรื่องราวของหุ้น Alibaba นี่มันซับซ้อนเหมือนซีรีส์จีนที่พลิกไปพลิกมาตลอดเวลา ทั้งปัจจัยภายในบริษัทเอง และปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ วันนี้ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่เฝ้าติดตามเรื่องนี้มาพักใหญ่ ผมขอชวนทุกคนมาแกะกล่องเรื่องราวของ “หุ้น baba” ไปด้วยกันครับ ว่าข้างในนั้นมีอะไรที่เราควรรู้บ้าง
**ตลาดหุ้นจีน: สังเวียนเดือดที่ Alibaba ต้องเผชิญ**
ก่อนจะเจาะลึกที่ตัว Alibaba เอง เราต้องเข้าใจภาพใหญ่ก่อนครับ ตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี กำลังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “ปราบจราจร” มาก่อนหน้า (จากมาตรการเข้มงวดของรัฐบาล) แล้วตอนนี้ก็เริ่ม “ผ่อนคลาย” แต่การผ่อนคลายนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นนะครับ กลับกลายเป็นว่าบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ทั้งหลายพอหมดข้อจำกัดเดิม ก็หันมาสู้กันเองอย่างดุเดือดสุดๆ
ลองนึกภาพสนามรบอีคอมเมิร์ซที่ปกติก็แข่งกันหนักอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเหมือนมีคนเอาเงินมากองให้บริษัทต่างๆ แย่งกัน อย่างข่าวที่ว่า JD.com เตรียมทุ่มเงินมหาศาลถึง 1 หมื่นล้านหยวนในรูปแบบเงินอุดหนุนเพื่อแข่งกับ PDD Holdings ที่มาแรง นี่ไม่ใช่แค่ข่าวเล็กๆ แต่มันคือสัญญาณว่า “สงครามราคา” กำลังปะทุหนัก ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ผลกำไร” ของทุกบริษัทที่อยู่ในสังเวียนนี้ รวมถึง Alibaba ด้วยครับ

นอกจากศึกภายใน ตลาดหุ้นโดยรวมก็เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดในระดับโลก (ดอกเบี้ยอาจจะยังสูงอยู่) และภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ แม้กระทั่งดัชนีหุ้นใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 หรือ Dow Jones ก็ยังมีการปรับตัวลดลงบ้างในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับ หุ้น baba เอง ก็โดนแรงกดดันหลายชั้นเลยครับ ทั้งข้อจำกัดด้านกฎระเบียบที่แม้จะผ่อนคลายลง แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง ไหนจะการคว่ำบาตรส่งออกเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ที่กระทบต่อธุรกิจบางส่วน และความผันผวนของเศรษฐกิจจีนที่ยังต้องลุ้นว่าจะฟื้นตัวได้แข็งแกร่งแค่ไหน ปัจจัยเหล่านี้เหมือนเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือราคาหุ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment) ไม่ได้พุ่งปรี๊ดปร๊าดเหมือนเมื่อก่อน
แต่ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ Alibaba ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจหลักและลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องจับตาดูครับ เพราะมันคือเชื้อเพลิงที่จะขับเคลื่อนบริษัทในอนาคต
**แกะงบดู: Alibaba ทำเงินจากอะไรบ้าง?**
หลายคนอาจจะคิดว่า Alibaba ก็แค่เว็บขายของออนไลน์ แต่จริงๆ แล้ว Alibaba เป็นอาณาจักรทางธุรกิจที่ใหญ่และหลากหลายกว่านั้นมากครับ ลองดูตัวเลขรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2024 (สิ้นสุดไตรมาส 3/2024) จะเห็นภาพชัดขึ้น
* **Taobao and Tmall Group:** นี่คือหัวใจหลัก เป็นแพลตฟอร์ม C2C (ผู้บริโภคถึงผู้บริโภค) และ B2C (ธุรกิจถึงผู้บริโภค) ที่ใหญ่ที่สุดในจีน คิดเป็นสัดส่วนรายได้มากที่สุดถึง 43.55% (ประมาณ 3 แสนล้านหยวน) เหมือนเป็นห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของเขาเลยครับ
* **ธุรกิจอื่นๆ (All others):** 21.47% อันนี้เป็นกลุ่มก้อนของธุรกิจหลากหลายที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มหลักๆ
* **Alibaba International Digital Commerce Group:** 12.60% นี่คือธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ไปบุกตลาดต่างประเทศครับ อย่าง Lazada หรือ AliExpress ที่เราคุ้นเคยกัน
* **Cloud Intelligence Group:** 11.65% หรือ “อาลีบาบา คลาวด์” นี่คือธุรกิจคลาวด์คอมพิวติ้งครับ เหมือนเป็นสมองกลดิจิทัลที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้กับธุรกิจต่างๆ กลุ่มนี้กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและเป็นผู้นำในจีน รวมถึงติดอันดับต้นๆ ในเอเชียแปซิฟิก
* **Cainiao Smart Logistics Network Limited:** 10.83% นี่คือธุรกิจโลจิสติกส์ หรือระบบขนส่งและคลังสินค้าอัจฉริยะ คอยส่งของให้ลูกค้าถึงมือ
* **Local Services Group:** 6.92% กลุ่มนี้คือบริการในพื้นที่ครับ เช่น สั่งอาหารเดลิเวอรี่ (Ele.me) หรือบริการแผนที่/นำทาง (Amap)
* **Digital Media and Entertainment Group:** 2.31% ธุรกิจสื่อและความบันเทิง เช่น วิดีโอสตรีมมิ่ง (Youku Tudou) หรือเบราว์เซอร์ (UC Browser)
ถ้ารวมกลุ่มอีคอมเมิร์ซหลัก (Taobao, Tmall) เรียกว่า Core Commerce จะคิดเป็น 56.16% ของรายได้รวมทั้งหมด
มองภาพรวม รายได้ของ Alibaba ยังคงมีการเติบโตนะครับ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุด 30 ก.ย. 2024) รายได้เติบโต 10.5% ซึ่งถือว่ายังไปต่อได้อยู่
ทีนี้มาดูตัวเลขหุ้นบ้างครับ ลองเปรียบเทียบช่วงเวลาที่ห่างกันพอสมควร
| ตัวชี้วัดทางการเงิน | ณ วันที่ 7 ก.พ. 2566 | ณ วันที่ 3 ก.ค. 2567 |
| :———————– | :——————- | :—————— |
| ราคาล่าสุด | $104.79 | N/A (ข้อมูล ณ วันนั้น) |
| มูลค่าตลาด (Market Cap) | $278.58 พันล้านดอลลาร์ | $182.742 พันล้านดอลลาร์ |
| กำไรต่อหุ้น (EPS TTM) | $0.37 | $4.31 |
| อัตราส่วน P/E (TTM) | 281.95 เท่า | 17.53 เท่า |
| รายได้ (Revenue TTM) | N/A (ข้อมูล ณ วันนั้น) | $129.438 พันล้านดอลลาร์ |
| อัตรากำไรสุทธิ (Net Margin TTM) | N/A (ข้อมูล ณ วันนั้น) | 8.40% |
| อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt To Equity) | N/A (ข้อมูล ณ วันนั้น) | 17.31% |
| เงินปันผลต่อหุ้น | N/A (ข้อมูล ณ วันนั้น) | $1.00 |
| อัตราผลตอบแทนเงินปันผล | N/A (ข้อมูล ณ วันนั้น) | 1.32% |
*หมายเหตุ: TTM = Trailing Twelve Months (ช่วง 12 เดือนย้อนหลัง), MRQ = Most Recent Quarter (ไตรมาสล่าสุด)*
จากตารางจะเห็นอะไรบ้างครับ? มูลค่าตลาดลดลงจาก 278.58 พันล้านดอลลาร์ เหลือ 182.742 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาประมาณปีครึ่ง ซึ่งสะท้อนว่าราคาหุ้นลดลงมาเยอะพอสมควร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “กำไรต่อหุ้น (EPS)” และ “อัตราส่วน P/E” เปลี่ยนไปอย่างมาก!
ในปี 2566 ที่ราคาหุ้นยังสูงกว่านี้มาก กำไรต่อหุ้นดูน้อยนิด ($0.37) ทำให้อัตราส่วน P/E พุ่งสูงปรี๊ดถึง 281.95 เท่า ซึ่งถือว่า “แพงมาก” เมื่อเทียบกับกำไร
แต่พอมาดูข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.ค. 2567 กำไรต่อหุ้นพุ่งขึ้นมาเป็น $4.31 และอัตราส่วน P/E ลดฮวบลงมาเหลือเพียง 17.53 เท่า!
นี่เหมือนกับการที่เราเคยจะซื้อร้านค้าที่มีกำไรน้อยมาก แต่เรายอมจ่ายแพงสุดๆ เพราะคาดว่ามันจะโตระเบิด แต่ตอนนี้ร้านนี้กำไรดีขึ้นมากแล้วนะ แต่ราคาที่เราพร้อมจะจ่าย (หรือราคาตลาด) กลับลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับกำไร
นักลงทุนบางส่วนมองว่า P/E ที่ 17.53 เท่านั้น (ณ วันที่ 3 ก.ค. 67) ทำให้ หุ้น baba ดู “ถูกลงมาก” เมื่อเทียบกับศักยภาพของบริษัท หรือเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอดีต
นอกจากนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.ค. 67 ยังเห็นตัวเลขรายได้ 12 เดือนย้อนหลัง (Revenue TTM) อยู่ที่ 129.438 พันล้านดอลลาร์ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) 37.70% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) 8.40% ส่วนหนี้สินก็ไม่ได้น่ากังวลนักเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt To Equity 17.31%) และที่สำคัญคือ Alibaba เริ่มจ่ายเงินปันผลแล้วที่ $1.00 ต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.32% (ณ วันนั้น) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบริษัทเริ่มมีกระแสเงินสดเหลือเฟือ และต้องการตอบแทนผู้ถือหุ้น
ผลประกอบการในไตรมาสสามปี 2024 ที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นการเติบโตที่ดีในธุรกิจหลักๆ อย่างค้าปลีก คลาวด์ และการค้าระหว่างประเทศ ยิ่งตอกย้ำว่าเครื่องจักรทำเงินของ Alibaba ยังคงทำงานได้ดี
**ก้าวต่อไปของ Alibaba: ไม่ได้มีแค่ช้อปปิ้ง**
Alibaba ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ครับ บริษัทกำลังทุ่มเทเพื่ออนาคตในหลายด้าน ที่เห็นชัดๆ เลยคือการลงทุนในเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง AI (ปัญญาประดิษฐ์), IoT (อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง) และ Big Data (ข้อมูลขนาดใหญ่) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับ AI ของ Alibaba ก็คือน่าจับตามากครับ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับ Apple เพื่อนำเทคโนโลยี AI ของ Alibaba ไปใช้ใน iPhone ที่จะวางจำหน่ายในจีน (ถ้าข่าวนี้เป็นจริงนี่คือดีลใหญ่มาก!) หรือการเปิดตัวโมเดล AI ของตัวเองอย่าง Qwen 2.5 ที่อ้างว่าประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งบางราย การเปิดตัวโมเดล AI แบบโอเพนซอร์สกว่า 100 โมเดล และเทคโนโลยี AI แปลงข้อความเป็นวิดีโอ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Alibaba กำลังเอาจริงเอาจังกับ AI ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจในอนาคต
ในด้านการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ นอกเหนือจาก Lazada และ AliExpress ที่พยายามสู้กับคู่แข่งอย่าง TikTok ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Alibaba ก็ยังมองหาโอกาสใหม่ๆ อย่างแผนการลงทุนใหญ่ถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ในเกาหลีใต้ช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างศูนย์โลจิสติกส์และขยายธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการควบรวมธุรกิจในเกาหลีเข้ากับแพลตฟอร์มของ E-Mart ด้วย
ส่วนในธุรกิจคลาวด์ ที่เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลัก การที่ Alibaba ตัดสินใจ “ลดค่าบริการคลาวด์” ครั้งใหญ่ (เป็นครั้งที่ 2 ในรอบไม่กี่ปี) ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังทำสงครามราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้าคืนจากคู่แข่งอย่าง Tencent Holdings ซึ่งนี่อาจจะเป็นการลงทุนที่กดดันกำไรในระยะสั้น แต่ก็สำคัญต่อการรักษาตำแหน่งผู้นำในระยะยาวครับ
เรื่องราวภายในบริษัทก็มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจครับ เช่น การที่ Alibaba ยกเลิกแผนการนำ Cainiao (ธุรกิจโลจิสติกส์) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยให้เหตุผลว่าจะไปมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลักแทน หรือการที่นายแจ็ก หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้ง ออกมากล่าวชื่นชมการปรับโครงสร้างองค์กรของบริษัท และการที่นายเอ็ดดี้ อู๋ (Eddie Wu) CEO คนปัจจุบัน ตัดสินใจลงมาดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซหลักด้วยตัวเอง ก็ล้วนเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงของการปรับทัพ เพื่อรับมือกับความท้าทายและการแข่งขันที่หนักหน่วง
แม้กระทั่งการแต่งตั้ง เดวิด เบ็คแฮม (David Beckham) เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของ AliExpress ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างแบรนด์และขยายฐานลูกค้าในตลาดโลก ซึ่งเป็นสีสันที่น่าสนใจทีเดียวครับ
**มองไปข้างหน้า: ราคา หุ้น baba จะเป็นอย่างไร?**
คำถามยอดฮิตที่ทุกคนอยากรู้คือ “แล้วราคาหุ้นจะไปไหนต่อ?” ครับ ขอบอกเลยว่าถ้าไปถามนักวิเคราะห์ 10 คน อาจจะได้คำตอบที่หลากหลายมากครับ
สำหรับปี 2568 การคาดการณ์ราคา หุ้น baba มีตั้งแต่ในแง่ดีสุดๆ ที่มองว่าอาจจะพุ่งไปถึง 147-156 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ไปจนถึงมุมมองที่อนุรักษ์นิยมกว่า โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 72-86 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความไม่แน่นอนสูงมาก
ส่วนการคาดการณ์ในระยะยาวมากๆ ระหว่างปี 2569-2579 ยิ่งมีความผันผวนและแตกต่างกันสุดๆ ครับ มีทั้งมุมมองที่มองโลกในแง่ดีมากๆ ว่าอาจจะขึ้นไปถึง 270 ดอลลาร์ หรือบางคาดการณ์ที่มองไกลกว่านั้นอาจจะเห็นถึง 560 ดอลลาร์โน่นเลย ขณะเดียวกันก็มีมุมมองที่มองโลกในแง่ร้ายมากๆ ว่าราคาอาจจะร่วงลงไปเหลือเพียง 16 ดอลลาร์ก็เป็นได้! ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าอนาคตของ Alibaba ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงมากๆ ครับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
ถ้าลองดูจาก “ร่องรอย” ที่ราคาหุ้นทิ้งไว้ในกราฟ (หรือที่เรียกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค) ในช่วงปี 2567-2568 ก็พอจะบอกได้ว่าราคา หุ้น baba กำลังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “สะสมกำลัง” (Consolidation) คือราคาวิ่งอยู่ในกรอบแคบๆ ยังไม่เลือกทางชัดเจน
แนวรับหลักที่ราคาไม่ค่อยจะลงไปต่ำกว่าคือประมาณ 77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเปรียบเสมือน “พื้น” ที่ราคาหุ้นมักจะเด้งกลับ ส่วนแนวต้านที่ราคาหุ้นมักจะชนแล้วไม่ค่อยผ่านไปได้คือประมาณ 106 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเหมือน “เพดาน” ที่ขวางอยู่ หากราคาผ่านแนวต้านนี้ไปได้เมื่อไหร่ ก็มีโอกาสที่จะไปต่อได้อีก
เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA, SMA), Bollinger Bands, RSI, Stochastic Oscillator, MACD ก็ส่งสัญญาณที่ค่อนข้างหลากหลายและปนเปกันไป บางตัวชี้ว่าความผันผวนยังต่ำถึงปานกลาง และบางตัวก็เริ่มส่งสัญญาณว่าแรงกดดันขาลงอาจจะอ่อนแรงลง หรืออาจจะมีโอกาสกลับตัวขึ้นในระยะสั้นได้บ้าง แต่โดยรวมก็ยังไม่ได้มีสัญญาณที่ชัดเจนมากๆ ว่ากำลังจะพุ่งแรงในเร็วๆ นี้ครับ
อย่างไรก็ตาม ก็มีข่าวดีเล็กๆ ที่เข้ามาเสริมบ้างครับ อย่างเมื่อก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นอาลีบาบาเคยพุ่งขึ้นหลังมีข่าวว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีความคาดหวังว่าหุ้นอาจจะเข้าโครงการ Stock Connect (เชื่อมโยงตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง) รวมถึงข่าวล่าสุดที่ Alibaba มีการเพิ่มการซื้อหุ้นคืน (Stock Buyback) อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา (ข้อมูล 3 ก.ค. 2567) ซึ่งการที่บริษัทซื้อหุ้นตัวเองคืนเป็นสัญญาณที่ดีว่าผู้บริหารมองว่าหุ้นของตัวเอง “ถูก” และน่าลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขาย Call Option (ตราสารที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นในอนาคต) ของ Alibaba ก็เคยสูงกว่าปกติและมีทิศทางเชิงบวก (ข้อมูล 24 มิ.ย. 2567) ซึ่งอาจบ่งบอกว่านักลงทุนบางส่วนเริ่มมองเห็นโอกาสในการปรับตัวขึ้น
แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าราคาหุ้นก็เคยร่วงลงแรงที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
ภาพรวมคือ หุ้น baba ยังคงอยู่ในช่วงที่ต้องพิสูจน์ตัวเองครับ มีทั้งปัจจัยบวกและลบปะปนกันไป นักวิเคราะห์หลายคนยังคงเฝ้ารอการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของหุ้นตัวนี้
**สรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน (เหมือนเพื่อนเล่าให้ฟัง)**
ถ้าให้ผมสรุปง่ายๆ เรื่องราวของ หุ้น baba ก็เหมือนกับว่าบริษัทนี้เป็น “นักกีฬายักษ์ใหญ่” ที่เคยพีคสุดๆ แล้วก็เจออุปสรรคหนักหน่วงจนต้องพักฟื้น ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นยืนและปรับปรุงตัวเอง ด้วยการลงทุนในสิ่งใหม่ๆ (AI, คลาวด์) ขยายตลาด (ต่างประเทศ) และปรับโครงสร้างภายใน
ความท้าทายยังมีอยู่เยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องการแข่งขันในตลาดจีนที่ดุเดือดสุดๆ และปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก แต่บริษัทก็มีจุดแข็งที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นขนาดของธุรกิจ แหล่งรายได้ที่หลากหลาย การเป็นผู้นำในธุรกิจคลาวด์ และการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต
ราคา หุ้น baba ในปัจจุบัน (ณ ต้นเดือน ก.ค. 2567) ดู “ถูกลงมาก” ถ้าเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ และมีการจ่ายเงินปันผลแล้วด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถลงไปได้อีกนะครับ เพราะการคาดการณ์ในอนาคตยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก
ถ้าคุณกำลังมองหาโอกาสใน หุ้น baba ผมมีข้อคิดและคำแนะนำแบบเพื่อนบอกเพื่อนให้ลองเอาไปพิจารณาดูครับ
1. **ทำความเข้าใจความเสี่ยง:** การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีนยังมีความผันผวนสูงมากครับ ราคาอาจจะปรับตัวขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วได้ตลอดเวลา
2. **มองภาพยาวๆ:** หุ้น baba ไม่ใช่หุ้นที่จะซื้อแล้วหวังรวยในข้ามคืนครับ การลงทุนในหุ้นตัวนี้อาจจะต้องมองในระยะกลางถึงยาว เพื่อรอให้ธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทลงทุนออกดอกออกผล
3. **กระจายความเสี่ยง:** อย่าทุ่มเงินทั้งหมดที่คุณมีไปกับหุ้นตัวเดียวครับ โดยเฉพาะหุ้นที่มีความเสี่ยงเฉพาะตัวสูงแบบนี้ ควรแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ หรือหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมอื่น ประเทศอื่นๆ ด้วย
4. **ติดตามข่าวสารใกล้ชิด:** เรื่องของ หุ้น baba เปลี่ยนแปลงเร็วมากครับ ทั้งนโยบายรัฐบาลจีน การแข่งขันในตลาด การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ คุณต้องหมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
5. **พิจารณาความเหมาะสมของตัวเอง:** การลงทุนต้องเหมาะกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ และเป้าหมายทางการเงินของคุณ ถ้าคุณเป็นคนรับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือต้องการใช้เงินก้อนนี้ในอีกไม่นาน หุ้น baba อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมครับ
6. **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** ตัวเลขและข้อมูลที่ผมนำเสนอเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ คุณควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายๆ แหล่ง (อย่างที่ผมอ้างอิงมา เช่น Bloomberg, Reuters, รายงานบริษัท) ก่อนตัดสินใจลงทุน
ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะลงทุนใน หุ้น baba จริงๆ ปัจจุบันมีหลายช่องทางในการเข้าถึงครับ บางคนอาจจะซื้อผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจีน หรือบางคนที่มีความเชี่ยวชาญและรับความเสี่ยงได้ อาจจะพิจารณาซื้อขายโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งมีหลายแห่งให้เลือก เช่น Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะมีเครื่องมือและข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้ศึกษา แต่ไม่ว่าจะเลือกช่องทางไหน ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ ได้รับการกำกับดูแลถูกต้องนะครับ
⚠️ **ข้อควรระวังสำคัญ:** การลงทุนใน หุ้น baba (หรือหุ้นจีน/เทคโนโลยีอื่นๆ) มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าอย่างพันธบัตรรัฐบาล ราคาหุ้นอาจปรับตัวลงอย่างรุนแรงจนขาดทุนได้หมดทั้งจำนวน (หรือมากกว่านั้นหากใช้เครื่องมือที่มีเลเวอเรจ) อย่าใช้เงินที่คุณจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเงินเก็บฉุกเฉินมาลงทุนในหุ้นโดยเด็ดขาด ก่อนตัดสินใจลงทุน คุณต้องประเมินความเสี่ยงที่รับได้ ทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากไม่แน่ใจนะครับ
หวังว่าเรื่องราวของ หุ้น baba ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ จะช่วยให้น้องต้นและทุกคนที่กำลังสนใจหุ้นตัวนี้ มีมุมมองที่ชัดเจนขึ้นนะครับ ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหน การมีความรู้และเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะลงทุน คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดเสมอครับ โชคดีกับการลงทุนครับ!