เจาะลึก p.e. คือ อะไร? ไขความลับ P/E Ratio ฉบับเข้าใจง่าย!

เอาล่ะครับ ขอเชิญทุกท่านเข้าสู่โลกของการลงทุนแบบเจาะลึกแต่เข้าใจง่าย สไตล์คอลัมนิสต์เพื่อนซี้ครับ วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นตัวนึงที่ได้ยินชื่อบ่อยมาก จนบางทีก็งงว่า ตกลงมันคืออะไรกันแน่? เครื่องมือที่ว่านี้ก็คือ “P/E Ratio” (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) นั่นเองครับ หรือบางทีก็เรียกสั้นๆ ว่า P/E ทีนี้ P/E คือ อะไรกันแน่? ทำไมนักลงทุนทั้งมือใหม่มือเก่าถึงให้ความสำคัญกับเจ้าตัวเลขนี้จัง?

ลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่ามีร้านกาแฟอยู่สองร้าน ขายดีพอๆ กัน กำไรเท่ากันเป๊ะ ร้านแรกประกาศขายกิจการที่ราคา 1 ล้านบาท อีกร้านประกาศขายที่ราคา 2 ล้านบาท ถ้าคุณมีเงินทุน คุณจะรู้สึกว่าร้านไหน “น่าสนใจกว่า” หรือ “ถูกกว่า” แค่มองที่ราคา คุณก็คงบอกว่าร้านแรกถูกกว่าใช่ไหมครับ? ในตลาดหุ้นก็เหมือนกัน การดูแค่ “ราคาหุ้น” อย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องดูว่าเมื่อเทียบกับ “กำไร” ที่บริษัททำได้ หุ้นตัวนั้นมัน “แพง” หรือ “ถูก” กันแน่ นี่แหละครับคือหัวใจของ P/E Ratio

**P/E Ratio คืออะไร? มันบอกอะไรเราได้บ้าง?**

P/E Ratio ย่อมาจาก Price-to-Earnings Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ชื่อไทยเต็มๆ คือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ มันคือตัวเลขที่บอกว่า “ราคาหุ้นปัจจุบัน” คิดเป็นกี่เท่าของ “กำไรต่อหุ้น” ที่บริษัททำได้ ถ้าให้เขียนเป็นสูตรก็ง่ายๆ เลยครับ

P/E Ratio = ราคาหุ้นปัจจุบัน ÷ กำไรต่อหุ้น (EPS)

แล้วตัวเลข P/E ที่ได้มันบอกอะไรเราล่ะครับ? ลองนึกย้อนกลับไปร้านกาแฟ กำไรปีละ 1 แสนบาท ร้านแรกขาย 1 ล้าน P/E ก็คือ 10 เท่า (1 ล้าน ÷ 1 แสน) ร้านที่สองขาย 2 ล้าน P/E ก็คือ 20 เท่า (2 ล้าน ÷ 1 แสน)

ความหมายของ P/E ก็คือ หากคุณซื้อหุ้นที่ราคาปัจจุบัน โดยที่บริษัทนั้นยังคงทำกำไรต่อหุ้นได้เท่าเดิมในทุกๆ ปี คุณจะต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะได้เงินลงทุน (กำไร) คืนกลับมาครับ ดังนั้น ร้านกาแฟ P/E 10 เท่า หมายถึง ใช้เวลา 10 ปีคืนทุน ส่วนร้าน P/E 20 เท่า หมายถึง ใช้เวลา 20 ปีคืนทุน (ภายใต้สมมติฐานว่ากำไรคงที่นะ ซึ่งในโลกจริงมันไม่คงที่หรอก)

อีกมุมมองหนึ่ง P/E Ratio ยังบอกเราด้วยว่า นักลงทุนในตลาด “ยอมจ่าย” เงินซื้อหุ้นตัวนี้เป็นกี่เท่าของ “กำไรทุกๆ 1 บาท” ที่บริษัททำได้ หุ้น P/E 10 เท่า แสดงว่านักลงทุนยอมจ่าย 10 บาท เพื่อซื้อกำไร 1 บาทของบริษัท ส่วนหุ้น P/E 20 เท่า แสดงว่านักลงทุนยอมจ่าย 20 บาท เพื่อซื้อกำไร 1 บาท

ทีนี้เห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไม P/E ถึงเป็นเครื่องมือสำคัญ มันช่วยให้นักลงทุนสามารถ “ประเมินมูลค่าหุ้น” และเปรียบเทียบหุ้นต่างบริษัทได้ว่า ตัวไหนน่าจะถูกหรือแพงกว่ากัน เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร

**P/E สูง vs. P/E ต่ำ ตีความยังไงดี?**

พอคำนวณ P/E ออกมาได้แล้ว ปัญหาต่อไปคือ แล้วค่าเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าสูง หรือต่ำ? และมันหมายความว่ายังไง?

* **P/E ต่ำ:** โดยทั่วไป มักจะถูกมองว่า หุ้นตัวนี้ “ถูก” เมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ โอกาสคืนทุนดูจะเร็วกว่า แต่เดี๋ยวก่อน! P/E ต่ำๆ นี่แหละครับที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมันอาจจะสะท้อนถึงความกังวลของตลาดต่ออนาคตของบริษัท หรือธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลง กำไรอาจจะลดลงในอนาคตก็ได้ บางที P/E ต่ำๆ อาจเป็น “กับดักหุ้นถูก” (Value Trap) คือเห็นว่าถูกเลยเข้าไปซื้อ แต่กลายเป็นว่าอนาคตของธุรกิจไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด กำไรถดถอย หรือมีปัญหาซ่อนอยู่ข้างใน ซึ่งตลาดรับรู้แล้วแต่เรายังไม่รู้

* **P/E สูง:** มองเผินๆ อาจจะรู้สึกว่า “แพงจัง” ทำไมต้องจ่ายแพงขนาดนี้เพื่อซื้อกำไรแค่ 1 บาท? แต่ P/E ที่สูงมากๆ มักจะสะท้อนถึง “ความคาดหวัง” อันสูงลิ่วของนักลงทุนต่อ “การเติบโตของกำไร” ในอนาคตของบริษัทนั้นๆ ครับ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หรือหุ้นที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มักจะมี P/E สูงลิ่ว เพราะตลาดมองว่า กำไรของบริษัทเหล่านี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคตอันใกล้ ทำให้แม้จะซื้อแพงวันนี้ แต่กำไรในอนาคตจะมาช่วยลดค่า P/E ลงให้ถูกลงเอง

พูดง่ายๆ ก็คือ P/E Ratio คือตัวสะท้อน “ความคาดหวัง” ของนักลงทุนในตลาดครับ ถ้าตลาดคาดหวังว่าบริษัทนี้จะทำกำไรเติบโตได้ดีมากๆ ในอนาคต นักลงทุนก็ยอมจ่ายในราคาที่แพงขึ้น P/E ก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าตลาดมองว่าอนาคตมืดมน กำไรอาจลดลง หรือมีปัจจัยเสี่ยง นักลงทุนก็จะยอมจ่ายน้อยลง P/E ก็จะต่ำลง

บางครั้ง ราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจเกิดจากหลายสาเหตุครับ อาจจะมาจากความคาดหวังที่เพิ่มขึ้น (คือ P/E สูงขึ้น แม้กำไรยังไม่มา หรือที่เรียกว่า Re-rating) หรืออาจจะมาจากกำไรของบริษัทที่เติบโตขึ้นจริงๆ (คือ EPS สูงขึ้น ทำให้ P/E ที่คำนวณออกมา “ดูถูกลง” เมื่อเทียบกับราคาเดิม คนเลยเข้ามาซื้อเพิ่ม)

**แล้วจะเอา P/E ไปใช้ยังไงในการลงทุน?**

1. **ใช้เปรียบเทียบ:** อย่าเอา P/E ของบริษัทข้ามอุตสาหกรรมมาเทียบกันตรงๆ ครับ มันเหมือนเอาแอปเปิ้ลไปเทียบส้ม P/E ของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ จะต่างจาก P/E ของบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพอย่างแน่นอน การใช้ P/E ที่ถูกต้องคือ ควรเปรียบเทียบ P/E ของหุ้นที่เราสนใจกับ
* หุ้นคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
* ค่าเฉลี่ย P/E ของอุตสาหกรรมนั้นๆ
* แนวโน้ม P/E ในอดีตของบริษัทตัวนี้เอง

2. **ใช้หาราคาเป้าหมาย (แบบคร่าวๆ):** นักวิเคราะห์มักจะใช้ P/E ที่คาดว่าจะเหมาะสม (เรียกว่า Target P/E หรือ P/E Band) คูณกับกำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์ในอนาคต (Forecasted EPS) เพื่อกำหนด “ราคาเป้าหมาย” ของหุ้นตัวนั้นครับ สูตรง่ายๆ คือ ราคาเป้าหมาย = P/E ที่เหมาะสม (ที่เราคาดการณ์) × กำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์ แต่ต้องจำไว้ว่านี่คือการคาดการณ์นะครับ อาจจะผิดก็ได้

3. **Rule of Twenty (อันนี้เป็นแนวคิดภาพรวม):** เป็นแนวคิดที่บอกว่า โดยปกติแล้ว ค่า P/E เฉลี่ยของตลาดหุ้นโดยรวม บวกกับ อัตราเงินเฟ้อของประเทศนั้นๆ ควรจะมีค่าประมาณ 20 เท่า เป็นเหมือนไม้บรรทัดคร่าวๆ ว่า P/E ของตลาดโดยรวมตอนนี้สูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตหรือไม่ แต่ก็เป็นแค่แนวคิดกว้างๆ ใช้ดูภาพรวมตลาดเท่านั้นครับ

**P/E Ratio มีกี่แบบ?**

ที่เราพูดถึง P/E กัน จริงๆ แล้วมันมีอย่างน้อย 2 แบบหลักๆ ครับ

1. **P/E ย้อนหลัง (Trailing P/E):** อันนี้คำนวณจาก “กำไรสุทธิที่เกิดขึ้นจริง” ในช่วง 4 ไตรมาส (12 เดือน) ล่าสุดที่ผ่านมา ข้อดีคือ ใช้ข้อมูลจริง ไม่ได้อิงจากการคาดเดา ทำให้มีความแม่นยำในแง่ของตัวเลขที่ใช้คำนวณ แต่ข้อเสียคือ มันคือการมอง “อดีต” ครับ ซึ่งอาจไม่ได้บ่งบอกถึงอนาคตเสมอไป โดยเฉพาะกับบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว หรือกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

2. **P/E ล่วงหน้า (Forward P/E):** อันนี้คำนวณจาก “ประมาณการกำไรสุทธิ” ในอนาคตครับ เช่น ประมาณการกำไรใน 12 เดือนข้างหน้า ข้อดีคือ มันสะท้อน “ความคาดหวัง” และ “แนวโน้ม” ในอนาคตของบริษัท ทำให้เห็นภาพที่ตลาดกำลังมองไปข้างหน้า แต่ข้อเสียคือ ตัวเลขกำไรที่ใช้คำนวณมันเป็นแค่ “การคาดการณ์” ครับ ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่านักวิเคราะห์ที่ประมาณการเก่งแค่ไหน และมีปัจจัยที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่

นักลงทุนส่วนใหญ่จะดู P/E ทั้งสองแบบประกอบกันครับ Trailing P/E บอกเราเกี่ยวกับประวัติที่ผ่านมา ส่วน Forward P/E บอกเราเกี่ยวกับสิ่งที่ตลาดคาดหวังในอนาคต

**หุ้นแต่ละประเภทกับค่า P/E**

P/E Ratio ยังช่วยให้เราแบ่งประเภทของหุ้นคร่าวๆ ได้ด้วยครับ

* **หุ้นมูลค่า (Value Stocks):** หุ้นพวกนี้มักจะมีค่า P/E ไม่สูงนักครับ เช่นอาจจะอยู่แถวๆ 10-20 เท่า เพราะกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ไม่ได้เติบโตหวือหวามากนัก เป็นบริษัทที่มีกำไรค่อนข้างสม่ำเสมอ เป็นที่รู้จัก ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมพื้นฐาน เช่น ธนาคาร พลังงาน สื่อสาร ราคาในตลาดของหุ้นกลุ่มนี้บางครั้งอาจจะดูต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท นักลงทุนที่ชอบสไตล์ Benjamin Graham หรือนักลงทุนเน้นคุณค่ามักจะมองหาหุ้นกลุ่มนี้ครับ

* **หุ้นเติบโต (Growth Stocks):** หุ้นกลุ่มนี้ตรงข้ามกับหุ้นมูลค่าเลยครับ มักจะมีค่า P/E สูงลิ่ว บางทีอาจจะเห็น 50 เท่า, 100 เท่า หรือมากกว่านั้น เพราะตลาด “คาดหวัง” การเติบโตของกำไรในอนาคตที่สูงมากๆ หรืออาจจะมีสตอรี่ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ในมือ เป็นบริษัทที่ยังอยู่ในช่วงขยายตัว หรือมีโอกาสทางธุรกิจมหาศาล มักจะอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และมองหาผลตอบแทนที่สูงมากในระยะยาว

**ข้อควรระวัง และข้อจำกัดในการใช้ P/E Ratio**

เหมือนเครื่องมือทางการเงินทุกอย่าง P/E Ratio ก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ครับ มีข้อควรระวังและข้อจำกัดที่นักลงทุนต้องรู้

1. **ใช้ไม่ได้กับบริษัทที่ “ขาดทุน”:** ถ้าบริษัทมีผลประกอบการเป็น “ขาดทุน” (กำไรสุทธิเป็นลบ) คุณจะไม่สามารถคำนวณ P/E Ratio ได้ครับ เพราะตัวหาร (กำไรต่อหุ้น) เป็นค่าติดลบ P/E จะไม่มีความหมายในเชิงการประเมินมูลค่าด้วยวิธีนี้

2. **P/E ต่ำ ไม่ได้หมายความว่าดีเสมอไป:** จำกับดักหุ้นถูกได้ไหมครับ? P/E ต่ำอาจเกิดขึ้นเพราะ
* บริษัทเป็นหุ้นวัฏจักร และตอนนี้ทำกำไรสูงสุดผิดปกติ แล้วกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาลง
* กำไรที่นำมาคำนวณ P/E มีรายการพิเศษที่ไม่ใช่กำไรจากการดำเนินงานปกติปนอยู่ ซึ่งรายการนี้อาจเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว
* ธุรกิจมีกำไรผันผวนสูงมาก ช่วงไหนกำไรดี P/E จะต่ำ ช่วงไหนกำไรแย่ P/E จะสูง (หรือคำนวณไม่ได้ถ้าขาดทุน)
* ตลาดอาจมองเห็น “ความเสี่ยง” บางอย่างที่ซ่อนอยู่ในบริษัท ซึ่งทำให้ตลาดไม่ยอมให้ราคาหุ้นสูง เมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้

3. **P/E สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าแย่เสมอไป:** ตรงข้ามกับข้อข้างบน ถ้าบริษัทมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง มีนวัตกรรมที่ disrupting อุตสาหกรรมเดิมๆ หรือมีโปรเจกต์ที่น่าจะสร้างกำไรมหาศาลในอนาคต นักลงทุนก็พร้อมที่จะจ่ายในราคาที่แพง (P/E สูง) เพื่อแลกกับโอกาสเติบโตในอนาคต

4. **ห้ามใช้ P/E เป็นปัจจัยตัดสินใจเพียงอย่างเดียว:** อันนี้สำคัญที่สุด! P/E Ratio เป็นเพียง “เครื่องมือหนึ่ง” ในการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าหุ้น การตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวไหน ควรพิจารณาจากหลายๆ ปัจจัยประกอบกันเสมอครับ ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจนั้นๆ, อัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ (เช่น ROE – อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น, D/E Ratio – หนี้สินต่อทุน, ROA – อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์), แนวโน้มของอุตสาหกรรม, สภาวะเศรษฐกิจมหภาค, การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน, ความเสี่ยงทางการเมือง หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเฉพาะนั้นๆ

**สรุปส่งท้าย**

P/E Ratio หรือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ทรงพลังในการช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพว่าราคาหุ้นที่เรากำลังดูอยู่ มัน “แพง” หรือ “ถูก” เมื่อเทียบกับ “กำไร” ที่บริษัททำได้ครับ มันสะท้อนถึงความคาดหวังของตลาดต่ออนาคตของบริษัทนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

แต่จำไว้ให้ขึ้นใจนะครับว่า P/E เป็นเหมือนเข็มทิศตัวหนึ่งเท่านั้น การเดินทางในโลกการลงทุนยังต้องอาศัยแผนที่ (การวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ) และประสบการณ์อีกมากมาย อย่าติดกับดักแค่ตัวเลข P/E ตัวเดียวครับ ใช้ P/E เป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาบริษัทนั้นๆ ให้ลึกซึ้งขึ้น เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ดูแนวโน้มในอดีต และที่สำคัญที่สุดคือ มองไปยัง “อนาคต” ของธุรกิจนั้นๆ ด้วย

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้เครื่องมืออย่าง P/E ก็ต้องเข้าใจข้อจำกัดของมันด้วย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจ P/E คือ อะไร และนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ!