
เพื่อนๆ เคยไหมครับ เวลาคุยเรื่องลงทุนหุ้น แล้วมีคนพูดถึง “P/E Ratio” หรือ “ค่าพีอี” แล้วก็งงๆ ว่ามันคืออะไร? บางคนบอกต้องดูพีอี บางคนบอกพีอีสูงดี บางคนบอกพีอีต่ำดี… สรุป `p.e. แปลว่า` อะไรกันแน่ แล้วมันสำคัญกับเรายังไงในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ต?
ลองคิดภาพตามนะครับ สมมติว่าเรากำลังจะซื้อแผงขายผลไม้สักแผง ราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาท แผงนี้ทำกำไรได้ปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท ถ้าถามว่าเราจะต้องขายผลไม้ไปเรื่อยๆ กี่ปีถึงจะได้เงินทุน ๑๐๐,๐๐๐ บาท คืนมาครบ ถ้ากำไรเท่าเดิมทุกปี? คำตอบก็คือ ๑๐ ปีใช่ไหมครับ (๑๐๐,๐๐๐ หาร ๑๐,๐๐๐) เจ้า “๑๐ ปี” นี่แหละครับ คือหลักการง่ายๆ เบื้องต้นของ P/E Ratio ที่เราจะมาคุยกัน
ในโลกของหุ้น P/E Ratio หรือ อัตราส่วนราคาต่อกำไร เป็นเครื่องมือพื้นฐานมากๆ ที่นักลงทุนใช้ดูว่า “ราคาหุ้น” ณ ตอนนี้ เมื่อเทียบกับ “กำไรสุทธิ” ที่บริษัททำได้ มัน “แพง” หรือ “ถูก” เกินไปหรือเปล่า
พูดง่ายๆ คือ P/E บอกเราว่า ถ้าเราซื้อหุ้นตัวนี้ที่ราคาปัจจุบัน เราจะต้องใช้เวลากี่ปี ถึงจะได้เงินเท่ากับราคาที่จ่ายไป คืนมาในรูปของ “กำไร” ที่บริษัททำได้ (สมมติว่ากำไรบริษัทคงที่เท่าเดิมทุกปีนะ ซึ่งในโลกจริงมันไม่เคยคงที่หรอก) ถ้าตัวเลข P/E ยิ่งต่ำ ก็แปลว่าใช้เวลาคืนทุนจากกำไรสั้นกว่า ดูแล้วเหมือนจะ “ถูก” กว่าใช่ไหมครับ
แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่ใน P/E Ratio ไม่ได้มีแค่นั้นครับ มันยังสะท้อนถึง “ความคาดหวัง” ของนักลงทุนในตลาดที่มีต่อบริษัทนั้นๆ ด้วย ถ้าหุ้นตัวไหนมีค่า P/E สูงๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ หรือเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตของมันเอง มักจะหมายความว่า นักลงทุนกำลัง “คาดหวัง” ว่าบริษัทนี้จะมีกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต เลยยอมจ่ายในราคาที่แพงกว่าเป็นหลายเท่าของกำไรในปัจจุบัน เหมือนเรายอมจ่ายเงินเยอะกว่าปกติเพื่อซื้อต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่เรารู้ว่าอีกหน่อยมันจะโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ให้ผลเยอะมากๆ นั่นแหละครับ

แล้วเราจะคำนวณเจ้า P/E นี่ได้ยังไง? จริงๆ มีหลายวิธี แต่ที่นักลงทุนรายย่อยอย่างเราใช้กันบ่อยๆ คือการเอา “ราคาหุ้นปัจจุบัน” มาหารด้วย “กำไรต่อหุ้น” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า EPS (Earnings Per Share)
กำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share – EPS) ก็คือกำไรสุทธิทั้งหมดที่บริษัททำได้ในรอบระยะเวลาหนึ่ง แล้วเอามาหารเฉลี่ยตามจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ครับ สมมติบริษัท A มีกำไรสุทธิทั้งปี ๑๐๐ ล้านบาท มีจำนวนหุ้นทั้งหมด ๑๐๐ ล้านหุ้น แปลว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ ๑ บาท ถ้าตอนนี้ราคาหุ้น A อยู่ที่ ๑๐ บาท ค่า P/E ของหุ้น A ก็จะเท่ากับ ๑๐ บาท / ๑ บาท = ๑๐ เท่า หมายถึง ถ้าเราซื้อหุ้น A ที่ราคา ๑๐ บาท และบริษัทยังทำกำไรได้ ๑ บาทต่อหุ้นทุกปี เราก็จะใช้เวลา ๑๐ ปีในการคืนทุนจากกำไรครับ
ทีนี้ คำถามต่อมาคือ เราจะใช้ข้อมูลกำไรช่วงไหนมาคำนวณล่ะ? เพราะกำไรบริษัทมันก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใช่ไหมครับ ด้วยเหตุนี้ P/E เลยถูกแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทหลักๆ เพื่อให้เรามองได้ทั้งอดีตและอนาคตครับ
แบบแรกคือ พีอี ย้อนหลัง (Trailing P/E) คำนวณโดยใช้กำไรที่ “เกิดขึ้นจริง” ย้อนหลังไป ๔ ไตรมาสล่าสุด หรือ ๑๒ เดือนที่ผ่านมาครับ
ข้อดีของ พีอี ย้อนหลัง ก็คือ มันเป็นตัวเลขที่คำนวณจากข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงแล้ว มีความแน่นอนสูง ไม่ต้องอาศัยการคาดเดา นักลงทุนบางคนชอบใช้ตัวนี้เพราะไม่เชื่อตัวเลขประมาณการของใครทั้งนั้น
แต่ข้อจำกัดที่สำคัญมากๆ คือ มันเหมือนเราขับรถแล้วมองแต่ “กระจกมองหลัง” (Trailing) ครับ ข้อมูลกำไรในอดีต ไม่ได้รับประกันว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นเสมอไป ถ้าบริษัทกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่น ซื้อกิจการใหม่ ขายธุรกิจเดิมออกไป หรือมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามา กำไรในอดีตอาจจะไม่ได้สะท้อนภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เลย
แบบที่สองคือ พีอี ล่วงหน้า (Forward P/E) อันนี้แหละครับเหมือนเรามองไป “ข้างหน้า” (Forward) ผ่านกระจกหน้ารถ ใช้การ “คาดการณ์กำไร” ในอีก ๑๒ เดือนข้างหน้ามาคำนวณครับ ตัวเลขกำไรคาดการณ์นี้มักจะมาจากบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือบางทีก็มาจากการประมาณการของตัวบริษัทเอง
ข้อดีของ พีอี ล่วงหน้า คือ มันช่วยให้เราเห็นภาพของอนาคตได้ชัดเจนขึ้น ว่ากำไรของบริษัทมีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ถ้าบริษัทกำลังโตเร็วมาก พีอี ล่วงหน้าอาจจะดูต่ำกว่า พีอี ย้อนหลัง มาก เพราะกำไรที่คาดว่าจะสูงขึ้นมาช่วยทำให้ตัวหารใหญ่ขึ้น
แต่ข้อจำกัดที่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยก็คือ มันคือ “การคาดเดา” ครับ ตัวเลขกำไรในอนาคตอาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน นักวิเคราะห์อาจจะมองโลกในแง่ดีหรือร้ายเกินไป บริษัทเองก็อาจจะตั้งเป้ากำไรต่ำเกินไป หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ควบคุมไม่ได้อาจเกิดขึ้น ทำให้ตัวเลขคลาดเคลื่อนไปมากครับ
ทีนี้ กลับมาที่คำถามโลกแตก: หุ้นพีอีสูงดี หรือต่ำดี?
หุ้นพีอีสูงๆ มักจะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมากๆ (High Growth Stocks) อย่างที่บอกไป มักเจอในกลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นสุดๆ นักลงทุนที่ซื้อหุ้นกลุ่มนี้ยอมจ่ายแพงในวันนี้ เพราะหวังว่าอนาคตกำไรจะโตแซงราคาขึ้นไปได้ครับ แต่ต้องระวัง “กับดักหุ้นแพง” (Expensive Trap) ถ้าสุดท้ายกำไรไม่ได้เติบโตตามที่ตลาดคาดหวัง ราคาหุ้นก็อาจปรับตัวลงมาอย่างรุนแรงได้ เหมือนเราซื้อของที่บอกว่าจะดีเลิศในอนาคต แต่สุดท้ายมันไม่ได้ดีอย่างที่โฆษณาไว้
ส่วนหุ้นพีอีต่ำๆ บางทีก็เป็นหุ้นที่ตลาดมองข้ามไป เป็น “หุ้นคุณค่า” (Value Stock) ที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นจริงๆ อันนี้แหละเป็นโอกาสของนักลงทุนที่ตาถึง แต่! มันก็อาจเป็น “กับดักหุ้นถูก” (Value Trap) ได้เหมือนกันครับ หุ้นพีอีต่ำไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป ต้องมาดูว่าทำไมมันถึงถูก? เป็นเพราะบริษัทกำลังทำกำไรได้สูงสุดของวัฏจักรธุรกิจแล้วหรือเปล่า? กำไรที่เห็นเยอะๆ มาจาก “กำไรพิเศษ” ที่ไม่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเปล่า? หรือธุรกิจนั้นมี “กำไรผันผวนสูง” มากๆ อยู่แล้ว? หรือตลาดมองเห็นความเสี่ยงบางอย่างที่เรายังไม่เห็นหรือเปล่า? เหมือนเราเจอของลดราคาถูกมากๆ ต้องเช็คก่อนว่ามันมีตำหนิซ่อนอยู่หรือเปล่า
ดังนั้น การดูค่า P/E เพียงอย่างเดียวแล้วตัดสินใจลงทุน “ไม่ได้” ครับ เราต้องเอาไป “เปรียบเทียบ” กับอย่างอื่นด้วยเสมอครับ หลักการเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ:
๑. เปรียบเทียบกับหุ้นอื่นๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันครับ เช่น จะดูหุ้นโรงพยาบาล ก็เอา P/E ของหุ้นโรงพยาบาลด้วยกันมาเทียบ อย่าเอาไปเทียบกับหุ้นโรงไฟฟ้า หรือหุ้นค้าปลีก เพราะธรรมชาติธุรกิจต่างกัน ความคาดหวังกำไรก็ต่างกัน
๒. เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของทั้งอุตสาหกรรมนั้นๆ เพื่อดูว่าหุ้นที่เราสนใจอยู่ในโซนแพงกว่าหรือถูกกว่าค่าเฉลี่ย
๓. เปรียบเทียบกับแนวโน้มค่า P/E ในอดีตของบริษัทนั้นๆ เอง เพื่อดูว่าตอนนี้ P/E ของหุ้นตัวนี้ อยู่ในระดับที่สูงกว่า ต่ำกว่า หรือใกล้เคียงกับในอดีต
พฤติกรรมของ P/E ในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละช่วงวัฏจักรธุรกิจก็ไม่เหมือนกันครับ บางอุตสาหกรรมธรรมชาติของมัน P/E จะสูง บางอุตสาหกรรมจะต่ำ และ P/E ยังสะท้อนถึง “จิตวิทยาการลงทุน” หรืออารมณ์ของตลาด ณ เวลานั้นๆ ด้วยครับ

แต่จำไว้ให้ดีนะครับ P/E Ratio ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ และมันก็มีข้อจำกัดสำคัญที่ควรทราบ:
๑. ไม่สามารถใช้กับบริษัทที่ขาดทุนได้ ถ้าบริษัทมีผลประกอบการติดลบ ค่า P/E จะไม่มีความหมาย หรือคำนวณออกมาแล้วเป็นค่าลบ ซึ่งบอกอะไรเราไม่ได้เลยครับ
๒. ค่า P/E สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หากกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทมีความผันผวนสูง อาจเกิดจากรายจ่ายก้อนเดียว เหตุการณ์ไม่ปกติ หรือการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ ทำให้ตัวเลข P/E ดูสูงหรือต่ำผิดปกติในบางช่วง ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนภาพธุรกิจที่แท้จริงเสมอไปครับ
๓. P/E ไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียวในการตัดสินใจลงทุน! อันนี้สำคัญมากๆ ย้ำอีกทีครับ การดู P/E เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันมากมายมหาศาล เช่น ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท คุณภาพของธุรกิจ การบริหารจัดการ หนี้สิน และที่สำคัญคือต้องดู “งบการเงิน” อื่นๆ ประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น งบดุล (Balance Sheet) งบกำไรขาดทุน (Income Statement) หรือ งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) รวมถึงดูภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยมหภาคอื่นๆ ด้วย
มีอีกมุมมองที่น่าสนใจครับ คือการดู “อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้น” หรือ Earnings Yield ซึ่งก็คือส่วนกลับของ P/E Ratio ครับ (เอา กำไรต่อหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น) ตัวเลขนี้มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) สามารถนำไปเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น พันธบัตร (Bond) ได้ ทำให้เห็นภาพอีกแบบว่า การลงทุนในหุ้นตัวนี้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ
สรุปแล้ว “P/E Ratio” หรือ “พีอี” ก็คือเครื่องมือชั้นดีตัวหนึ่งในการ “เริ่มต้น” ทำความรู้จักและประเมินมูลค่าหุ้นคร่าวๆ ครับ มันบอกเราว่าราคาหุ้นตอนนี้เทียบกับกำไรเป็นกี่เท่า สะท้อนความคาดหวังของตลาด และช่วยให้เราเปรียบเทียบความน่าสนใจของหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันได้
แต่มันเป็นแค่ “จุดเริ่มต้น” เท่านั้นนะครับ ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นตัวไหน อย่าเพิ่งเชื่อแค่ค่า P/E ตัวเดียวว่าเป็นหุ้นถูกหรือหุ้นแพง ศึกษาข้อมูลบริษัทให้รอบด้าน อ่านงบการเงิน ทำความเข้าใจธุรกิจ ดูแนวโน้มอุตสาหกรรม และอย่าลืมกระจายความเสี่ยงในการลงทุนนะครับ
แพลตฟอร์มการลงทุนสมัยใหม่หลายแห่ง มักมีเครื่องมือคำนวณค่า P/E หรือแสดงข้อมูลนี้ให้ดูได้ง่าย ทำให้เราไม่ต้องนั่งคำนวณเอง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือเราต้อง “เข้าใจ” ความหมายและข้อจำกัดของมัน เพื่อเอาไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องครับ
การลงทุนมีความซับซ้อนมากกว่าตัวเลขเดียวเสมอครับ เรียนรู้ เข้าใจ และใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างรอบคอบ จะช่วยให้เราเดินทางในโลกของการลงทุนได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้นครับ
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน