ซื้อหุ้นตัวไหนดี ปี 2568? เจาะลึกหุ้นเด่นไทย-เทศ สร้างพอร์ตให้ปัง!

เพื่อนผมคนนึง ชื่อสมชาย วันก่อนนั่งจิบกาแฟด้วยกัน แล้วเขาก็เปิดประเด็นขึ้นมาว่า “เห้ยแก ปีหน้าเนี่ยเศรษฐกิจดูซึมๆ ดอกเบี้ยก็ยังสูงๆ ตกลงแล้วเราควรจะ ซื้อหุ้นตัวไหนดี วะเนี่ย? รู้สึกงงไปหมดเลย”

ผมฟังแล้วก็อมยิ้มนะ เพราะอาการแบบสมชายเนี่ย ผมว่านักลงทุนหลายคนเป็นเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงที่อะไรๆ ก็ดูไม่แน่นอนไปหมด ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลกที่จะถดถอยไหม เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกเร็วเกิ๊น หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งระหว่างประเทศสารพัด แต่ในความไม่แน่นอนนั่นแหละครับ มันก็มีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ อยู่ที่เราจะมองเห็นและคว้ามันไว้ได้หรือเปล่า

จากข้อมูลที่ผมรวบรวมมาเพื่อตอบคำถามให้สมชาย (และน่าจะตอบคำถามของหลายๆ คนได้ด้วย) ปี 2568 เนี่ย ถึงแม้ภาพรวมจะมีความท้าทาย แต่ตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพในการเติบโต หรือแม้กระทั่งหุ้นที่สามารถสร้างผลกำไรได้ในระยะสั้นๆ เนี่ย ยังคงเป็นที่น่าสนใจนะครับ หัวใจสำคัญคือ เราต้องเลือกให้เป็น รู้จักมองหา “เพชรในตม” หรือบริษัทที่แข็งแกร่งพอจะยืนหยัดและเติบโตได้ไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะเป็นยังไง

ทีนี้ มาเจาะลึกกันหน่อยว่าถ้าจะมองหา ซื้อหุ้นตัวไหนดี ในตลาดหุ้นไทยเราเอง มีตัวไหนที่น่าจับตามองบ้างนะ? ตลาดหุ้นไทยเนี่ยถึงจะดูเงียบๆ ไปบ้างบางช่วง แต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้เรื่อยๆ ครับ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลักๆ ของบ้านเรา เช่น พลังงาน ค้าปลีก หรือโทรคมนาคม หุ้นเหล่านี้แหละครับ ที่มักจะเป็นเป้าสายตาของทั้งนักลงทุนรายย่อยแบบเราๆ ไปจนถึงนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ เพราะมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ ทั้งแบบลงทุนยาวๆ เพื่อการเติบโต หรือจะเก็งกำไรระยะสั้นๆ ก็พอมีลุ้น

ยกตัวอย่างหุ้นไทยที่ข้อมูลหลายๆ แหล่งพูดถึงนะครับ อย่าง บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เนี่ย เป็นโรงกลั่นน้ำมันชั้นนำของไทยเลยนะ ช่วงนี้เค้าได้อานิสงส์จากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น ประกอบกับการบริหารต้นทุนที่เก่งขึ้น คาดว่าปี 2568 กำไรต่อหุ้นน่าจะฟื้นตัวเป็นบวกได้ มีโอกาสที่ดีถ้าเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทครับ

หรืออย่าง บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG ผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ที่มีแผนจะขยายธุรกิจส่งออกและเจาะตลาดบริการอาหารมากขึ้น คาดว่ากำไรสุทธิปี 2568 น่าจะโตได้ดี จากแนวโน้มราคาพวกสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบบางตัวที่ลดลงครับ

อีกตัวที่น่าสนใจคือ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL แม้ปีก่อนๆ อาจจะมีเรื่องต้นทุนพลังงานที่สูงมากจนทำให้ขาดทุน แต่ธุรกิจหลักของเค้าที่เกี่ยวกับพลาสติกบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลพลาสติกเนี่ย มันเข้าเทรนด์เรื่องความยั่งยืนของโลกมากๆ การลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลน่าจะช่วยเพิ่มกำไรในอนาคตได้ไม่น้อยเลย

และจะไม่พูดถึงพี่ใหญ่อย่าง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ไม่ได้เลยครับ ผู้นำด้านเกษตรและอาหารครบวงจรตัวจริง ได้ประโยชน์เต็มๆ จากราคาปศุสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และความต้องการอาหารแปรรูปที่ยังคงมีต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 ครับ

แต่การ ซื้อหุ้นตัวไหนดี เนี่ย มันไม่ได้มีแค่หุ้นไทยนะครับ โลกเรายังมีหุ้นดีๆ อีกเพียบเลยที่น่าลงทุนระยะยาว เพื่อกระจายความเสี่ยงและหาโอกาสการเติบโตในตลาดที่ใหญ่กว่า แค่ตลาดหุ้นไทยอย่างเดียวเนี่ย อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับคนที่อยากสร้างพอร์ตให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว การลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางอุตสาหกรรม มีสภาพคล่องสูง และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ถือเป็นตัวเลือกที่ฉลาดมากๆ สำหรับนักลงทุนไทยครับ

ข้อมูลจาก InnovestX ชี้ให้เห็นว่าตลาดหลักๆ ที่น่าสนใจก็มี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นเจ้าแห่งนวัตกรรม หรือทางฝั่งยุโรป ที่มีบริษัทพื้นฐานดีหลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มสุขภาพและยา ส่วนโซนเอเชียอย่างจีนและอินเดียเองก็เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องครับ

สำหรับประเภทของหุ้นต่างประเทศที่น่าลงทุนระยะยาว ทางข้อมูลที่ผมรวบรวมมาก็ได้ยกตัวอย่างบริษัทชั้นนำในกลุ่มเหล่านี้ครับ
* **บริษัทเทคโนโลยีซอฟต์แวร์และคลาวด์ชั้นนำระดับโลก (Software and Cloud Technology)**: พวกนี้เป็นผู้นำในวงการเทคโนโลยี มีผลิตภัณฑ์และบริการคลาวด์ที่แข็งแกร่งมาก การเติบโตจากเรื่อง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) และ คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เนี่ยแรงสุดๆ เหมาะกับการลงทุนยาวๆ เลย
* **บริษัทพลังงานครบวงจรขนาดใหญ่ (Energy)**: ดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ มีความสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูง ได้แรงหนุนจากการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น แถมหลายๆ แห่งมีประวัติจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องด้วย
* **บริษัทอีคอมเมิร์ซและคลาวด์ชั้นนำ (E-commerce and Cloud)**: ผู้นำทั้งในธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ที่เราช้อปปิ้งออนไลน์กันทุกวันนี้ และบริการคลาวด์ที่เป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลัก พวกนี้ลงทุนหนักในด้าน AI และระบบโลจิสติกส์ มีศักยภาพเติบโตสูงปรี๊ด
* **บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สร้างสรรค์ (Creative Software)**: พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ในงานสร้างสรรค์ต่างๆ และกำลังขยายตัวไปในกลุ่ม AI รวมถึงมีบริการแบบบอกรับสมาชิก (Subscription) ที่รายได้มั่นคง การเติบโตมาจากนวัตกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ครับ

ทีนี้ กลับมาที่คำถามหลักที่สมชายสงสัย “แล้วจะ ซื้อหุ้นตัวไหนดี ถึงจะสบายใจ ไม่ต้องมานั่งลุ้นทุกวัน?” คำตอบคือ ต้องมองหา ‘หุ้นพื้นฐานดี’ ครับ ทาง Money Buffalo เค้าได้สรุปคุณสมบัติของหุ้นพื้นฐานดีไว้น่าสนใจมาก ซึ่งเป็นเหมือนเช็คลิสต์ให้เราพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อลดความกังวลจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้นๆ คุณสมบัติพวกนี้สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีสุขภาพทางการเงินและมีอนาคตที่ดีจริงไหม

**คุณสมบัติของหุ้นพื้นฐานดี** ที่ควรพิจารณา ได้แก่:
1. **ธุรกิจมีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน:** มีจุดแข็ง มี ‘ของ’ ที่คู่แข่งทำตามยาก หรืออยู่ในธุรกิจที่คู่แข่งน้อยราย หน้าใหม่เข้ามายาก
2. **กิจการเติบโตต่อเนื่อง:** ยอดขายหรือรายได้เติบโตสม่ำเสมอ 3 ถึง 5 ปีขึ้นไป แสดงว่าบริษัทมีวิสัยทัศน์และแนวโน้มการเติบโตที่ดี
3. **มีกำไรอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีปัญหาขาดทุน:** ทำกำไรได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นทุนสินค้า ยันกำไรสุทธิ ไม่ใช่แค่ขายดีแต่ไม่มีกำไร
4. **หนี้สินไม่เยอะ:** มีหนี้ระยะยาวเยอะเกินไปเนี่ย น่าเป็นห่วง เพราะอาจมีปัญหาจ่ายคืนหนี้ หรือมีต้นทุนดอกเบี้ยสูงลิ่ว
5. **กำไรสะสมเพิ่มอย่างต่อเนื่อง:** สะท้อนความสามารถในการบริหารต้นทุน การผลิต การจัดจำหน่ายที่ดี ส่งผลดีต่อการจ่ายเงินปันผลและการขยายกิจการในอนาคต
6. **ควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้ดี:** ต้นทุนเนี่ยส่งผลโดยตรงกับกำไรเลยนะ ต้องดูในงบกำไรขาดทุนว่าเค้าจัดการต้นทุนได้ดีแค่ไหน
7. **สภาพคล่องต้องดี:** มีเงินสดในมือ หรือมีทรัพย์สินหมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน พร้อมจ่ายหนี้ระยะสั้นๆ ได้สบาย
8. **ผู้บริหารต้องโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล:** บริหารงานอย่างตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เป็นข่าวเสียๆ หายๆ บ่อยๆ

การเลือกหุ้นจากคุณสมบัติเหล่านี้แหละครับ ที่จะช่วยให้เรามั่นใจในการลงทุนระยะยาว ไม่ต้องไปเครียดกับราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละวันมากนัก

แล้วเรื่อง “กลยุทธ์การลงทุน” ล่ะ? ก็มีหลายแบบให้เลือกนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีเงินแค่ไหน รับความเสี่ยงได้แค่ไหน และมีเป้าหมายอย่างไร ซึ่ง InnovestX, Money Buffalo และ Krungsri ก็ได้ให้แนวคิดไว้คล้ายๆ กันครับ
* **การลงทุนระยะยาว (Long-term Investing):** ซื้อแล้วถือไปเลยเป็นปีๆ หรือหลายปี คาดหวังว่าราคาหุ้นจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นตามการเติบโตของบริษัท
* **การเก็งกำไรระยะสั้น (Short-term Speculation):** ซื้อๆ ขายๆ บ่อยๆ คาดหวังกำไรจากส่วนต่างราคาที่ขึ้นลงในระยะสั้น อาจจะเป็นวัน สัปดาห์ หรือไม่กี่สัปดาห์ อันนี้ต้องเฝ้าดูตลาดเยอะหน่อย
* **การลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Stock Investing):** เน้นหุ้นที่ยอดขายและกำไรโตเร็วมากๆ สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด ต้องอดทนถือยาวหน่อย อย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป เพื่อให้เห็นผลเต็มที่
* **การลงทุนในหุ้นปันผล (Dividend Stock Investing):** เลือกบริษัทที่กำไรสม่ำเสมอ มีนโยบายจ่ายปันผลชัดเจน มักจะจ่ายปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด อันนี้เหมือนมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ แถมยังช่วยลดความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ผันผวนได้ด้วย

ถ้าสมชาย หรือนักลงทุนคนอื่นๆ ชอบสไตล์ได้เงินเข้ากระเป๋าสบายๆ เป็นประจำทุกปี การลงทุนในหุ้นปันผลก็น่าสนใจมากๆ ครับ โดยเฉพาะหุ้นไทยที่มีอนาคตไกลและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ช่วงที่ตลาดผันผวนแบบนี้ หุ้นพื้นฐานแกร่งๆ ที่จ่ายปันผลเนี่ย ถือเป็นโอกาสทองในการสร้างรายได้และความมั่งคั่งระยะยาวเลยนะ

ทาง Krungsri ก็ได้แนะนำ 5 หุ้นไทยที่น่าสนใจเรื่องปันผลไว้ด้วยครับ
1. **บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT:** อันนี้พี่ใหญ่ด้านพลังงานของไทย มั่นคงสุดๆ ธุรกิจครอบคลุม มีศักยภาพโตได้เรื่อยๆ แถมจ่ายปันผลดีสม่ำเสมอมาตลอด
2. **บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS:** ผู้นำด้านโทรคมนาคม ลูกค้าเยอะ ฐานแน่น ทำการตลาดเก่งสุดๆ จ่ายปันผลสูงและสม่ำเสมอมาตลอดเช่นกัน
3. **บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT:** เจ้าของสนามบินหลักของไทย ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเต็มๆ อยู่ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง
4. **บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL:** เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มีสาขาทั่วประเทศ ขยายตัวต่อเนื่อง แถมมีสินค้าใหม่ๆ ออกมาตลอด มีประวัติจ่ายปันผลสูงและสม่ำเสมอ
5. **บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS:** เครือโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ มีโรงพยาบาลรองรับลูกค้าหลากหลายกลุ่ม คาดว่าเติบโตต่อเนื่องจากการขยายฐานและบทบาทศูนย์กลางการแพทย์

จะเห็นว่า การ ซื้อหุ้นตัวไหนดี มันไม่ใช่แค่เลือกตัวใดตัวหนึ่ง แต่ต้องดูภาพรวมด้วยครับ การบริหารพอร์ตและกระจายความเสี่ยงเนี่ย สำคัญมากๆ นะครับ ตามหลักการที่ InnovestX ชี้ให้เห็นเลย การเอาเงินไปลงในหุ้นแค่ตัวเดียว หรือแค่อุตสาหกรรมเดียวเนี่ย เสี่ยงเกินไปครับ ถ้าเกิดอะไรไม่ดีกับหุ้นตัวนั้น หรืออุตสาหกรรมนั้น พอร์ตเราจะเสียหายหนักเลย

การจัดพอร์ตแบบกระจายการลงทุน คือการที่เราลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัว หลายๆ ประเภทธุรกิจ หลายๆ ระดับความเสี่ยง เหมือนเอาไข่ไปใส่ไว้หลายๆ ตะกร้าครับ ถ้าตะกร้าใบไหนหล่น ไข่เราก็ยังเหลืออยู่ในตะกร้าใบอื่น ช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ แถมยังเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากหุ้นหรืออุตสาหกรรมที่ทำผลงานได้ดีอีกด้วยครับ

สรุปแล้วนะครับ สำหรับคำถามที่ว่า ซื้อหุ้นตัวไหนดี ในปี 2568 และหลังจากนี้ คำตอบมันไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองนี่แหละ ว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน มีเงินลงทุนมากน้อยแค่ไหน ต้องการผลตอบแทนแบบไหน และพร้อมจะศึกษาหาข้อมูลมากแค่ไหน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำการบ้านครับ ศึกษาข้อมูลบริษัทที่เราสนใจให้รอบคอบ ดูพื้นฐานตามที่คุณสมบัติหุ้นพื้นฐานดีที่ Money Buffalo แนะนำไว้ มองหาอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ AI, คลาวด์คอมพิวติ้ง, อีคอมเมิร์ซ หรือพลังงานสะอาด และอย่าลืมกระจายความเสี่ยงด้วยนะครับ อาจจะมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ หรือลงทุนในหุ้นปันผลที่มั่นคงตามข้อมูลของ Krungsri ก็ได้

การจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศ บางทีก็ต้องผ่านแพลตฟอร์มที่รองรับนะครับ อย่าง Moneta Markets หรือที่อื่นๆ เค้าก็มีเครื่องมือให้เลือกหลากหลาย ลองศึกษาดูได้ครับ

สุดท้ายนี้ อยากจะย้ำเตือนเหมือนที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนบอกนะครับว่า **⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน** ไม่มีใครรู้ดีที่สุดในตลาดทุน สิ่งที่เราทำได้คือ การเตรียมตัวให้พร้อม ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และตัดสินใจลงทุนอย่างมีหลักการและวินัยครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จครับ!