หุ้นที่น่าลงทุนระยะยาว: สร้างพอร์ตให้มั่งคั่ง ยั่งยืน ทั้งในและนอกประเทศ!

ช่วงนี้เห็นข่าวหุ้นผันผวนทีไร เพื่อนหลายคนบ่นอยากเลิกเล่นหุ้นกันหมดเลยครับ ไหนจะเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ไหนจะการเมืองที่ยังดูไม่นิ่ง แถมบางทีซื้อไปแล้วราคาก็ลงเอาๆ จนท้อใจ

แต่จริงๆ แล้ว โลกของการลงทุนหุ้นมันไม่ได้มีแค่การซื้อๆ ขายๆ สั้นๆ นะครับ มันยังมีอีกมุมที่น่าสนใจมากๆ นั่นก็คือ ‘การลงทุนระยะยาว’ เหมือนกับการปลูกต้นไม้ครับ ไม่ได้หวังว่าปลูกวันนี้พรุ่งนี้จะเก็บผลได้เลย แต่หวังว่าเวลาผ่านไป ต้นไม้จะเติบโต แข็งแรง ออกดอกออกผลให้เราเก็บกินได้อย่างยั่งยืน แล้วหุ้นแบบไหนล่ะ ที่เหมาะกับการถือยาวๆ สร้างความมั่งคั่งให้เราได้ในอนาคต วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน จะชวนคุยถึงเรื่องนี้ครับ ทั้งหุ้นเติบโต หุ้นปันผล ไม่ว่าจะในบ้านเรา หรือระดับโลก พร้อมหลักคิดง่ายๆ ฉบับคนเพิ่งเริ่ม หรือคนที่อยากจัดพอร์ตใหม่ให้มั่นคงขึ้นครับ

พอพูดถึง ‘ระยะยาว’ ในโลกหุ้นเนี่ย ไม่ใช่แค่สัปดาห์สองสัปดาห์นะครับ ส่วนใหญ่มักจะหมายถึง 3 ปีขึ้นไป ยิ่ง 7 ปี หรือมากกว่านั้น ยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการเติบโตของบริษัทที่เราเลือกลงทุน การลงทุนแบบนี้จะช่วยลดความกังวลเรื่องความผันผวนในระยะสั้นของตลาดลงไปได้เยอะครับ เหมือนกับที่เราไม่จำเป็นต้องไปดูว่าต้นไม้โตขึ้นกี่เซ็นต์ในแต่ละวัน แต่เรามองภาพรวมว่าปีนี้มันสูงขึ้น มีใบเยอะขึ้น หรือเริ่มออกผลแล้วหรือยัง หัวใจสำคัญของการลงทุนระยะยาวก็คือ การหา ‘หุ้นที่น่าลงทุนระยะยาว’ ที่มีศักยภาพการเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอครับ แล้วหุ้นแบบไหนล่ะที่มีคุณสมบัติแบบนี้? หนึ่งในประเภทที่น่าสนใจมากๆ คือ ‘หุ้นเติบโต’ (Growth Stock) ครับ

ฟังชื่อก็บอกแล้วว่าคือ หุ้นของบริษัทที่ ‘โต’ ครับ โตยังไงน่ะเหรอ? ก็โตทั้งยอดขาย ทั้งกำไร แบบต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมหรือตลาดโดยรวมครับ ลองนึกภาพบริษัทที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เจ๋งๆ ขยายตลาดไปเรื่อยๆ หรือมีนวัตกรรมที่ทำให้คนแห่กันไปใช้บริการ นั่นแหละครับคือภาพของบริษัทเติบโต การเติบโตของยอดขายแสดงถึงความสามารถในการขยายฐานลูกค้าหรือเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ส่วนการเติบโตของกำไรสะท้อนถึงการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ ควบคุมต้นทุนได้ดี ข้อดีเด่นๆ ของหุ้นกลุ่มนี้คือ เค้ามักจะนำกำไรที่ได้กลับไป ‘ลงทุนซ้ำ’ ในธุรกิจอีกครั้งครับ เพื่อวิจัยและพัฒนา (R&D) สินค้าและบริการใหม่ๆ หรือขยายกำลังการผลิต ขยายสาขา ไปสู่ตลาดใหม่ๆ เพราะมองว่าการนำเงินไปต่อยอดแบบนี้จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว เค้าเลยมักจะจ่ายเงินปันผลน้อยหรือไม่จ่ายเลย เพื่อเก็บเงินสดไว้ใช้ในการลงทุนนี่แหละครับ บางทีหุ้นกลุ่มนี้ P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) จะดูสูงๆ หน่อย เพราะนักลงทุนคาดหวังว่าบริษัทจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตครับ แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดหวัง ราคาก็อาจจะปรับตัวลงแรงได้เหมือนกัน ดังนั้น การเลือก ‘หุ้นเติบโตระยะยาว’ ต้องศึกษาธุรกิจให้เข้าใจจริงๆ ครับ

ทีนี้ลองมองออกไปนอกบ้านเราบ้างครับ เพราะโลกการลงทุนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดหุ้นไทย เราสามารถแสวงหาโอกาสจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้ครับ โดยเฉพาะในปี 2567-2568 ที่เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลง มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นเพียบเลยครับ โดยเฉพาะเรื่อง ‘เทคโนโลยี’ อย่าง AI (ปัญญาประดิษฐ์), Cloud Computing (คลาวด์ คอมพิวติ้ง), รถยนต์ไฟฟ้า (EV), E-commerce (อีคอมเมิร์ซ) หรือแม้กระทั่งธุรกิจพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลก การลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือบางประเทศในเอเชียอย่างจีน อินเดีย ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งนวัตกรรมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว ช่วยให้เรา ‘กระจายความเสี่ยง’ ครับ คือถ้าตลาดหุ้นไทยไม่ดี เรายังมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากตลาดอื่น นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยังมี ‘ความหลากหลายของอุตสาหกรรม’ ที่มากกว่าตลาดไทยเยอะเลยครับ มีทั้งบริษัทเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย บริษัทด้านสุขภาพและการแพทย์ระดับโลก หรือบริษัทด้านฟินเทค (FinTech) ที่ในไทยอาจจะยังมีไม่มาก และที่สำคัญคือ ‘สภาพคล่อง’ ในตลาดต่างประเทศก็สูงกว่า ทำให้ซื้อขายง่ายกว่าด้วยครับ ต่างกับตลาดหุ้นไทยที่บางช่วงอาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศค่อนข้างสูง ทั้งเรื่องความผันผวนจากการเมือง นโยบายเศรษฐกิจ หรือโครงสร้างอุตสาหกรรมที่เน้นหนักบางกลุ่ม ทำให้บางทีการเติบโตก็อาจจะจำกัดกว่าครับ แต่ใช่ว่าหุ้นไทยจะไม่มีโอกาสนะครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อ

ลองดูตัวอย่าง ‘หุ้นที่น่าลงทุนระยะยาว’ ในตลาดต่างประเทศ ที่มักถูกพูดถึงบ่อยๆ นะครับ กลุ่มแรกเลยคือกลุ่มเทคโนโลยี ที่เป็นผู้นำนวัตกรรม อย่าง Apple Inc. (AAPL – แอปเปิล) ที่มีระบบนิเวศแข็งแกร่ง ฐานลูกค้าใหญ่ และธุรกิจบริการเติบโตต่อเนื่อง หรือ NVIDIA (NVDA – เอ็นวิเดีย) ผู้นำด้านชิปประมวลผลสำหรับ AI ที่ความต้องการยังพุ่งสูงมาก แม้จะมีความท้าทายจากคู่แข่งบ้าง แต่ก็ยังรักษาความเป็นผู้นำได้ Alphabet Inc. (GOOGL – อัลฟาเบท) บริษัทแม่ของ Google (กูเกิล) ที่แข็งแกร่งทั้งธุรกิจโฆษณาและกำลังลงทุนหนักใน AI เช่นกัน รวมถึง Microsoft Corporation (MSFT – ไมโครซอฟต์) เจ้าพ่อ Cloud Computing (อาซัวร์) ที่ผสาน AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างลงตัว บริษัทเหล่านี้มีกระแสเงินสดมหาศาล และมีศักยภาพเติบโตอีกไกลครับ Amazon.com Inc. (AMZN – แอมะซอน) ก็เป็นอีกตัวที่น่าสนใจ ไม่ได้มีแค่อีคอมเมิร์ซ แต่ยังมี AWS (Amazon Web Services) ซึ่งเป็นผู้นำ Cloud และธุรกิจโฆษณาที่เติบโตเร็วมาก ส่วน Tesla Inc. (TSLA – เทสลา) แม้จะมีความผันผวน แต่ก็เป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ทั้งพลังงานแบตเตอรี่ ขับขี่อัตโนมัติ หรือแม้แต่หุ่นยนต์ humanoid (ฮิวแมนนอยด์) เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงหน่อย นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง อย่าง ASML Holding N.V. (ASML – เอเอสเอ็มแอล) ผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตชิป EUV (อีเมล ยูวี) รายเดียวในโลก ซึ่งมีความสำคัญกับบริษัทชิปชั้นนำทั่วโลก หรือ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton (LVMH – แอลวีเอ็มเอช) เจ้าของแบรนด์หรูมากมาย ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของกำลังซื้อในตลาดเอเชีย หุ้นเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นนะครับ การจะลงทุนต้องศึกษาให้ลึกลงไปอีกครับ

กลับมาที่บ้านเราบ้างครับ แม้ตลาดหุ้นไทยจะดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ในช่วงที่ผ่านมา จากที่ดัชนี SET เคยขึ้นไปสูงถึง 1,850 จุดในปี 2561 ช่วงนี้ก็ย่อตัวลงมาพอสมควร เผชิญกับความไม่แน่นอนต่างๆ แต่ในความซึมเซานั้น ก็มีโอกาสซ่อนอยู่ครับ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มองภาพยาวๆ ไม่ได้เล่นสั้น นั่นคือโอกาสใน ‘หุ้นพื้นฐานดีราคาต่ำ’ หรือที่เรียกว่า หุ้น Deep Value (ดีป แวลู) ครับ หุ้นไทยจำนวนมากที่เคยราคาสูงๆ ตอนนี้มูลค่าซื้อขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ตัวชี้วัดอย่าง P/E (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) และ P/BV (อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนสายเน้นคุณค่า (Value Investor) ที่มีเงินเย็นและมองการลงทุน 3-5 ปีขึ้นไปครับ

นอกจากหุ้น Deep Value แล้ว ‘หุ้นที่น่าลงทุนระยะยาว’ ในไทยอีกกลุ่มที่น่าสนใจมากๆ ในสภาวะตลาดแบบนี้คือกลุ่ม SETHD (SET High Dividend) หรือหุ้นปันผลสูงครับ จากข้อมูลที่เราเห็น ประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่ม SETHD ดูแข็งแกร่งกว่าตลาดรวมอย่างเห็นได้ชัด แถมที่สำคัญคือ ‘ปันผล’ ก็สูงกว่าตลาดโดยรวมมาก จากประมาณการบางแหล่งบอกว่าให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 5.9% เทียบกับตลาดรวมที่ 4.4% (ข้อมูล ณ ช่วงเวลาที่รวบรวม) ในขณะที่ค่า P/E ก็อยู่ในระดับน่าสนใจที่ 9.1 เท่า (ต่ำกว่าตลาดรวมที่ 12.1 เท่า) หุ้นกลุ่มนี้เป็นทางเลือกที่ดีมากๆ ในภาวะตลาดที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เพราะอย่างน้อยเราก็ได้กระแสเงินสดในรูปของเงินปันผลเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่อาจจะยังไม่ไปไหน หรือผันผวนได้ครับ คุณ กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย จาก บล. กรุงศรี ก็เคยให้มุมมองในทำนองนี้ว่าหุ้นปันผลสูงมีความน่าสนใจในสภาวะตลาดปัจจุบัน

แล้วมีตัวอย่าง ‘หุ้นที่น่าลงทุนระยะยาว’ ในไทยตัวไหนน่าสนใจบ้างล่ะ? ลองดูบริษัทใหญ่ๆ ที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวครับ เช่น PTT (ปตท.) บริษัทพลังงานครบวงจร ที่มีความมั่นคงและมีศักยภาพในการขยายธุรกิจใหม่ๆ หรือ ADVANCE (ADVANC – แอดวานซ์ หรือ AIS – เอไอเอส) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ ที่ฐานลูกค้าแข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่องทั้ง 5G และอินเทอร์เน็ตบ้าน ซึ่งทั้งสองตัวนี้มีประวัติจ่ายปันผลสม่ำเสมอด้วยครับ AOT (AOT – ทอท.) ผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ ที่คาดว่าจะเติบโตตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หรือ CPALL (CPALL – ซีพี ออลล์) เจ้าของร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ที่ขยายสาขาและสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นธุรกิจที่มั่นคงและจ่ายปันผลดีเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี BDMS (BDMS – บีดีเอ็มเอส) เครือโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ที่เติบโตตามสังคมผู้สูงอายุและแนวโน้มการเป็น Medical Hub (เมดิคัล ฮับ) ของไทย และหุ้นอื่นๆ ที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยเฉพาะ เช่น SPRC (SPRC – เอสพีอาร์ซี) โรงกลั่นน้ำมันที่ได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น หรือ BTG (BTG – เบทาโกร) และ CPF (CPF – ซีพีเอฟ) ในกลุ่มอาหาร ที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้นและแผนขยายตลาดส่งออก รวมถึง IVL (IVL – ไอวีแอล) บริษัทปิโตรเคมีระดับโลก โดยเฉพาะธุรกิจ PET (พีอีที) และการรีไซเคิลที่สอดคล้องกับแนวโน้ม ESG (อีเอสจี) หุ้นเหล่านี้ล้วนมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีโอกาสในการเติบโตในระยะยาวครับ

ฟังดูน่าสนใจใช่มั้ยครับ ทั้งหุ้นเติบโตระดับโลก หรือหุ้นพื้นฐานดีในบ้านเรา แล้วจะเลือก ‘หุ้นที่น่าลงทุนระยะยาว’ ยังไงดีล่ะ? หลักการง่ายๆ คือต้อง ‘ศึกษาข้อมูลบริษัท’ ที่เราสนใจให้ละเอียดครับ อย่าเพิ่งดูแค่ราคาหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ลองดูว่าเค้าทำธุรกิจอะไร มีอนาคตแค่ไหน คู่แข่งเป็นใคร แล้วก็ดู ‘งบการเงิน’ เค้าหน่อยครับ เป็นหนี้เยอะมั้ย? กำไรเป็นไง? อัตราส่วนสำคัญๆ อย่าง P/E หรือ P/BV ที่พูดถึงกันบ่อยๆ มันบอกอะไรเราได้บ้าง อย่าง P/E สูงอาจจะแปลว่าคนคาดหวังโตเยอะ หรือ P/BV ต่ำๆ อาจจะแปลว่าหุ้นถูกกว่ามูลค่าทางบัญชี ถ้าดูเป็นก็จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นครับ ที่สำคัญมากๆ คือ ‘การกระจายการลงทุน’ ครับ อย่าเอาเงินทั้งหมดไปลงในหุ้นตัวเดียว หรืออุตสาหกรรมเดียว ลองแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัว หลายๆ อุตสาหกรรม ทั้งในไทยและต่างประเทศก็ได้ เพื่อลดความเสี่ยงครับ หากเราไม่มีเวลาศึกษาหุ้นรายตัว อาจจะพิจารณาลงทุนผ่าน ‘กองทุนรวมหุ้น’ ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลให้ก็ได้ครับ บางกองทุนก็มีนโยบายจ่ายปันผลสม่ำเสมอด้วย

แต่จำไว้นะครับ โลกของการลงทุนมันไม่ได้สวยหรูตลอดเวลา มันมีความเสี่ยงซ่อนอยู่เสมอ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดต่างประเทศ ก็มีเรื่อง ‘ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน’ เข้ามาอีกชั้นนึง คือถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้น ผลตอบแทนที่เราได้จากหุ้นต่างประเทศก็จะลดลงเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาทครับ และแน่นอนว่า ‘ความผันผวนของตลาด’ มันมีอยู่ทุกที่ ทั้งตลาดไทยและตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นมันขึ้นๆ ลงๆ ได้ตลอดเวลาตามปัจจัยข่าวสาร เศรษฐกิจ หรือแม้แต่อารมณ์ของนักลงทุน และสุดท้ายเรื่อง ‘กฎระเบียบ’ ของแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน เราต้องพิจารณาและทำความเข้าใจด้วยครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ลงทุนต้อง ‘ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ’ ครับ อย่าเชื่อใครง่ายๆ หรือลงทุนตามกระแสโดยที่เราไม่เข้าใจธุรกิจนั้นจริงๆ การมีวินัยในการลงทุน ถือยาวๆ อดทนกับความผันผวนระยะสั้น และหมั่นทบทวนพอร์ตการลงทุนของเราอยู่เสมอ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาวครับ

สรุปแล้ว การหา ‘หุ้นที่น่าลงทุนระยะยาว’ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเติบโตที่เน้นศักยภาพในอนาคต หรือหุ้นปันผลที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอ เป็นแนวทางที่น่าสนใจในการสร้างความมั่งคั่งแบบยั่งยืน โอกาสมีอยู่ทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ อยู่ที่เราจะเลือกศึกษาและจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ครับ

⚠️ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ โชคดีกับการลงทุนครับ!