
เพื่อนๆ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง ‘เล่นหุ้น’ หรือเห็นคนรอบตัวพูดถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กันมาบ้างใช่ไหมครับ? บางทีอาจจะรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ดูซับซ้อน ยุ่งยาก ต้องไปนั่งเฝ้าหน้าจอ หรือต้องมีเงินเยอะๆ ถึงจะเริ่มได้ แต่ในยุคดิจิทัลแบบนี้ บอกเลยว่าการลงทุนหุ้นเข้าถึงง่ายกว่าที่คิดเยอะมากครับ! แค่มีมือถือเครื่องเดียว เราก็สามารถเริ่มต้นเส้นทางการลงทุนได้แล้ว ด้วยตัวช่วยสุดเจ๋งที่เรียกว่า ‘แอพเล่นหุ้น มือใหม่’ วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงิน จะมาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์คนกันเองครับ
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ‘การเทรดหุ้นออนไลน์’ มันคืออะไรกันแน่? พูดง่ายๆ มันก็คือการซื้อขายหุ้นบริษัทที่เราสนใจ ผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องเดินทางไปไหน แค่เข้าแอปบนมือถือหรือคอมพิวเตอร์ก็ได้แล้วครับ การลงทุนหุ้นเนี่ย หลักๆ ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนอยู่ 2 แบบ คือ ส่วนต่างกำไร (ซื้อถูก ขายแพง) กับเงินปันผล (เหมือนเราเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ แล้วเค้าแบ่งกำไรมาให้ตามสัดส่วนหุ้นที่เราถือ) การจะซื้อจะขายได้ เราต้องมีตัวกลางที่เรียกว่า ‘บริษัทหลักทรัพย์’ หรือที่เรียกติดปากว่า ‘โบรกเกอร์’ เค้าจะเป็นคนส่งคำสั่งซื้อขายของเราเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้เราครับ ดังนั้น สเต็ปแรกสุดก่อนจะเริ่มเทรดได้ คือการ ‘เปิดพอร์ต’ หรือเปิดบัญชีลงทุนกับโบรกเกอร์ก่อนนั่นเองครับ
พอเข้าใจพื้นฐานแล้ว เห็นไหมครับว่าง่ายขึ้นเยอะ! และที่ง่ายกว่านั้นอีก คือเราสามารถทำทุกอย่างผ่าน ‘แอพเล่นหุ้น’ ได้เลย สะดวก รวดเร็ว เหมือนมีตลาดหุ้นอยู่ในมือ! แต่ทีนี้พอมีแอปให้เลือกเยอะแยะไปหมด แล้ว ‘แอพเล่นหุ้น มือใหม่’ แบบไหนล่ะที่เหมาะกับเรา? ไม่ต้องกังวลครับ เรามีหลักในการเลือกมาฝากกัน เวลาจะเลือก ‘แอพเล่นหุ้น’ สักตัวใช้งานสำหรับ ‘นักลงทุนมือใหม่’ อย่างเราๆ เนี่ย มีหลายอย่างที่ต้องดูกันนิดหน่อยครับ อย่างแรกเลยคือ ‘ฟังก์ชัน’ แอปที่ดีควรจะมีข้อมูลเรียลไทม์ให้เราดูราคาหุ้นได้แบบสดๆ มีกราฟเทคนิคให้ดูแนวโน้ม มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ต่างๆ ที่สำคัญ บางแอปมีระบบคำสั่งอัตโนมัติ เช่น ตั้งราคาซื้อ-ขายไว้ล่วงหน้า หรือระบบดีซีเอ (DCA – Dollar-Cost Averaging คือการทยอยลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กันทุกเดือน/ทุกไตรมาส ช่วยเฉลี่ยต้นทุน) ที่ช่วยให้เราทยอยลงทุนแบบสบายๆ ได้ด้วย
ต่อมาคือเรื่อง ‘ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ’ อันนี้สำคัญมาก ข้อมูลการเงินของเราต้องปลอดภัย ระบบแอปต้องเสถียร กดซื้อกดขายแล้วไม่ค้าง การเช็ครีวิวจากผู้ใช้งานจริงก็ช่วยได้เยอะครับ สุดท้ายคือเรื่อง ‘โบรกเกอร์ที่รองรับและค่าธรรมเนียม’ บางแอปใช้ได้กับโบรกเกอร์ที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์ก็มีค่าธรรมเนียมต่างกันไป บางทีค่าธรรมเนียมสูงหน่อย อาจจะแลกมากับบทวิเคราะห์หรือฟีเจอร์สแกนหุ้นที่เจ๋งขึ้นครับ ต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดี

ทีนี้มาดูกันดีกว่าว่า มี ‘แอพเล่นหุ้น’ ตัวไหนที่เป็นที่นิยมในบ้านเราบ้าง? ตัวแรกที่ต้องรู้จักเลยคือ ‘Streaming’ ครับ อันนี้เรียกได้ว่าเป็นแอปหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ เลย ใช้ได้เกือบทุกโบรกเกอร์ ฟังก์ชันครบครันมาก ทั้งดูข้อมูลเรียลไทม์ กราฟ แจ้งเตือนราคา หรือจะตั้งเวลาซื้อ-ขายอัตโนมัติก็ทำได้ เหมาะกับทั้งมือใหม่และมือเก๋าเลยครับ อีกตัวที่น่าสนใจคือ ‘efin Trade Plus’ ตัวนี้มีจุดเด่นเรื่องเอไอช่วยวิเคราะห์พอร์ตเราได้ มีออโต้เทรด และข่าวสารเรียลไทม์จาก efin Thai ให้ดูด้วย เหมาะกับคนชอบดูกราฟและข่าวสารแบบละเอียด ส่วนใครที่อยากประหยัดค่าใช้จ่าย ‘Liberator’ เค้ามาพร้อมค่าคอมมิชชั่น 0% (แต่ยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตลาดฯ กับภาษีมูลค่าเพิ่มนะ) ช่วยลดต้นทุนได้เยอะ แถมมีเอไอช่วยคัดกรองหุ้นน่าสนใจด้วยนะ
ถ้ามองหาแอปที่เริ่มลงทุนหุ้นต่างประเทศง่ายๆ ‘Dime!’ ก็น่าสนใจครับ เดิมเน้นหุ้นอเมริกา เริ่มแค่ 50 บาท ตอนนี้ก็มีหุ้นไทยให้เทรดแล้ว ค่าธรรมเนียมไม่แพงด้วยครับ เพิ่งเพิ่มสินทรัพย์อย่าง ETF และกองทุนรวมเข้ามาให้เลือกด้วยนะ และยังมี ‘Finansia HERO’ ที่มีฟีเจอร์โซเชียลเทรดดิ้ง ให้เราติดตามกลยุทธ์การลงทุนของคนเก่งๆ ได้ด้วย รวมถึงมีเอไอช่วยวิเคราะห์แนวโน้มตลาดให้เราดูได้ง่ายๆ ครับ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง ‘Mitrade’ หรือ ‘Interactive Broker’ ที่เหมาะกับคนเทรดหุ้นต่างประเทศ หรือพวก CFD ครับ (แต่ Interactive Broker อาจจะซับซ้อนนิดนึงสำหรับมือใหม่จริงๆ)
และที่สำคัญมากๆ สำหรับ ‘นักลงทุนมือใหม่’ เลย คือแอปหรือเครื่องมือที่ช่วยให้เรา ‘ฝึกฝน’ ก่อนลงสนามจริงครับ ตัวที่อยากแนะนำมากๆ คือ ‘Streaming Click2Win’ ครับ อันนี้เหมือนแอป Streaming จริงเป๊ะเลย แต่ใช้เงินจำลองในการเทรด มีเงินให้ลองเล่น 10 ล้านบาท! ใช้ข้อมูลตลาดจริง (แต่ดีเลย์นิดหน่อย) ทำให้เราได้ลองส่งคำสั่ง ลองสร้างพอร์ตจำลอง เรียนรู้เครื่องมือต่างๆ ได้เต็มที่แบบไม่ต้องกลัวเจ็บตัวเลยครับ นอกจากนี้ ‘SET App’ และ ‘Settrade App’ ก็เป็นแหล่งรวมข้อมูลความรู้ดีๆ กิจกรรม และเครื่องมือสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Settrade ที่มือใหม่ทุกคนควรมีติดเครื่องไว้เลยครับ ช่วยปูพื้นฐานความเข้าใจได้ดีมาก ส่วนแอปอย่าง ‘AomWise’ หรือ ‘Happy Money App’ ก็เป็นเครื่องมือเสริมที่ดีในการจัดการเงินออมและบริหารการเงินส่วนบุคคลครับ

เอาล่ะครับ พอรู้เรื่องแอปต่างๆ แล้ว ก่อนจะกดปุ่ม ‘ซื้อ’ จริงๆ มีพื้นฐานสำคัญที่ ‘นักลงทุนมือใหม่’ ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ อย่างแรกคือ ‘ทัศนคติ’ หรือ Mindset เราลงทุนไปทำไม? เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อที่ทำให้เงินเราด้อยค่าลงเรื่อยๆ? เพื่อสร้างรายได้แบบพาสซีฟ (Passive Income คือรายได้ที่เข้ามาสม่ำเสมอโดยที่เราไม่ต้องลงแรงทำงานโดยตรง) หรือเพื่อใช้ประโยชน์จากพลังดอกเบี้ยทบต้น? เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน เราจะรู้ว่าควรลงทุนแบบไหน และที่สำคัญกว่านั้นคือ ‘สิ่งที่ต้องทำก่อนลงทุน’ ครับ! อันนี้สำคัญมากนะ! หนึ่งคือต้อง ‘ออมเงิน’ ส่วนที่จะนำมาลงทุน ต้องเป็นเงินเย็น เงินที่ไม่ได้ใช้ในระยะสั้น สองคือต้องมี ‘เงินสำรองฉุกเฉิน’ สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น 3-6 เดือน เผื่อมีเหตุไม่คาดฝัน สามคือถ้ามี ‘หนี้ดอกเบี้ยสูง’ พวกบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ควรจัดการปิดหนี้พวกนี้ก่อนครับ เพราะดอกเบี้ยมันสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนส่วนใหญ่ และสุดท้ายคือการ ‘ตั้งเป้าหมายการลงทุน’ เราลงทุนเพื่ออะไร? เกษียณ? ซื้อบ้าน? ต่อธุรกิจ? แต่ละเป้าหมายก็เหมาะกับสินทรัพย์ที่ต่างกันไปครับ
พอเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอน ‘เลือกสินทรัพย์ลงทุน’ ครับ นอกจากหุ้นรายตัวแล้ว ยังมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับ ‘แอพเล่นหุ้น มือใหม่’ ด้วยนะ เช่น กองทุนดัชนี หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ที่คล้ายกองทุนรวมแต่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนหุ้น ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี หรือจะเป็นทองคำ, บิตคอยน์, อสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นทางเลือก แต่สำหรับมือใหม่มากๆ ส่วนใหญ่ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้เริ่มจาก กองทุนดัชนี หรือ ETF ที่ติดตามดัชนีใหญ่ๆ เช่น S&P 500 ของอเมริกา หรือ SET50 ของไทย เพื่อลดความเสี่ยงรายตัวครับ และนี่ก็โยงมาถึงเรื่องสำคัญมากๆ นั่นคือ ‘ความเสี่ยง’ ครับ! การลงทุนมีความเสี่ยง ทั้งกำไรและขาดทุน มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพตลาด เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย การจัดการความเสี่ยงที่ง่ายและสำคัญที่สุดคือ ‘การกระจายการลงทุน’ อย่าใส่เงินทั้งหมดไปที่สินทรัพย์เดียว หรือหุ้นตัวเดียวครับ
เมื่อพร้อมแล้ว ก็เริ่มได้เลยครับ! ลองทำความคุ้นเคยกับการส่งคำสั่งผ่าน ‘แอพเล่นหุ้น’ ที่เราเลือกไว้ ทำความเข้าใจเรื่องเวลาทำการของตลาด (ตลาดหุ้นไทย เปิด/ปิดกี่โมง) สำหรับมือใหม่มากๆ การลงทุนแบบ ‘ดีซีเอ’ (DCA) คือทยอยลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กัน ทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ก็เป็นวิธีที่ดีในการเฉลี่ยต้นทุนครับ ช่วยลดความกังวลเรื่องจับจังหวะตลาดได้ และจำได้ไหมครับที่เราพูดถึง ‘Streaming Click2Win’? อันนี้คือสนามซ้อมชั้นดีเลยครับ! ลองฝึกเทรดด้วยบัญชีจำลองไปสักพัก จนเริ่มคุ้นมือ คุ้นเครื่องมือ ก่อนจะใช้เงินจริง อาจจะเริ่มจากเงินลงทุนไม่มากก่อน เช่น เดือนละ 1,000 – 5,000 บาท หรือปีละประมาณ 10% ของเงินได้ทั้งหมดก็ได้ครับ ที่สำคัญ อย่าหยุด ‘เรียนรู้’ นะครับ! ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็มีแหล่งเรียนรู้ดีๆ ฟรีๆ เพียบเลยครับ เช่น e-Learning บนเว็บไซต์เค้า หรือข้อมูลต่างๆ ใน SET App และ Settrade App การมีความรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในตลาดหุ้นครับ และที่สำคัญ อายุขั้นต่ำในการเปิดบัญชีลงทุนส่วนใหญ่คือ 20 ปีนะครับ
เห็นไหมครับว่าการเริ่มต้นลงทุนหุ้นผ่าน ‘แอพเล่นหุ้น มือใหม่’ ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย หัวใจสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อม มีเงินเย็น มีเงินสำรองฉุกเฉิน ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เลือกแอปที่เหมาะกับเรา ฝึกฝนจากบัญชีจำลอง และที่สำคัญที่สุดคือ เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงได้ การลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนเสมอครับ ไม่ใช่ว่าจะกำไรตลอด ดังนั้น ควรลงทุนเฉพาะเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้บางส่วน และอย่าลืม ‘กระจายความเสี่ยง’ ด้วยนะครับ เช่น อาจจะแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นบ้างก็ได้ ขอให้ทุกคนสนุกกับการเดินทางบนเส้นทางการลงทุนครับ!