วิเคราะห์หุ้นโรงพยาบาลปี 2566: ตัวไหนดี? รับมือเศรษฐกิจผันผวน, สังคมสูงวัยบูม! หุ้นโรงพยาบาล ตัวไหนดี 2566

เงินเก็บจะจมไปกับตลาดหุ้นที่ซึมๆ หรือเปล่า? นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนกำลังกังวลใจ โดยเฉพาะช่วงปีสองปีที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยของเราเหมือนจะไม่ค่อยมีแรงวิ่งไปไหน แถมตั้งแต่ต้นปี 2568 มาจนถึงกลางเดือนเมษายน ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมก็ยังติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่สามซะอีก บรรยากาศแบบนี้ทำเอานักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไปกว่าสี่หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว ทั้งเรื่องความเชื่อมั่น ปัญหาภายในบริษัทจดทะเบียน หรือแม้แต่สงครามการค้าที่ดูจะปะทุขึ้นมาใหม่ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ภาพรวมดูหม่นๆ

แต่ท่ามกลางเมฆหมอกเหล่านั้น ก็ยังมีบางกลุ่มธุรกิจที่ยังคงยืนหยัด และน่าสนใจในมุมมองของนักลงทุน นั่นก็คือ “ธุรกิจโรงพยาบาล” ครับ ใครที่กำลังมองหา `หุ้นโรงพยาบาล ตัวไหนดี 2566` หรือกำลังคิดว่ากลุ่มนี้ยังมีอนาคตไหม ลองมาดูกันครับว่าทำไมหุ้นกลุ่มนี้ถึงยังถูกจัดเป็น ‘หุ้นเชิงรับ’ หรือ Defensive Stock ที่นักลงทุนหลายคนมองหาในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน

ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะครับ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ คนเราก็ยังต้องกิน ต้องใช้ และที่สำคัญคือต้องดูแลสุขภาพ เมื่อไม่สบายก็ต้องหาหมอ นี่แหละครับคือเสน่ห์ของธุรกิจโรงพยาบาลที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ทำให้มีรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่เหวี่ยงไปตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก และในสถานการณ์ปัจจุบัน มีหลายปัจจัยมากๆ ที่เข้ามาสนับสนุนให้ธุรกิจนี้ยังคงแข็งแกร่ง

ปัจจัยบวกที่ทำให้หุ้นโรงพยาบาลยังน่าจับตาในปี 2567-2568 นี้ มีเพียบเลยครับ อันดับแรกเลยคือสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ทำให้กำลังซื้อของคนไข้บางส่วนกลับมาดีขึ้น ตามมาด้วยกระแส `สุขภาพ` ที่มาแรงมากๆ คนหันมาใส่ใจดูแลตัวเอง ตรวจสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น ไม่รอให้ป่วยหนักแล้วค่อยไปหาหมอ ซึ่งตรงนี้สร้างรายได้ให้โรงพยาบาลได้เยอะเลยครับ อีกเทรนด์สำคัญที่เราเลี่ยงไม่ได้คือ `สังคมผู้สูงอายุ` ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความต้องการดูแลสุขภาพและมีกำลังจ่ายสูงครับ ยังไม่นับเรื่อง `การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์` (Medical Tourism) ที่กลับมาคึกคัก รัฐบาลเองก็มีมาตรการสนับสนุน ทั้งฟรีวีซ่า หรือการตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ตรงนี้ดึงดูดคนไข้ต่างชาติเข้ามาเยอะ โดยเฉพาะคนไข้ที่มีกำลังจ่ายสูง และอย่าลืมครับว่าโรคระบาดต่างๆ ไม่ได้หายไปไหน โรคระบบทางเดินหายใจ หรือโรคอุบัติใหม่ก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง สร้างดีมานด์ให้โรงพยาบาลตลอดเวลา

นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ตัวโรงพยาบาลเองก็มีกลยุทธ์ในการเติบโต อย่างการ `ขยายสาขา` เพิ่มจำนวนเตียง หรือเปิด `ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง` ใหม่ๆ ซึ่งศูนย์เฉพาะทางเนี่ยแหละครับที่มักจะมีกำไรสูงกว่าการรักษาโรคทั่วไปเยอะเลย แถมยังช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์ด้วย บางแห่งก็ใช้วิธี `ปรับขึ้นค่าบริการ` โดยเฉพาะโรคซับซ้อน หรือได้รับผลบวกเต็มๆ จากการ `ปรับขึ้นค่าหัวประกันสังคม` ด้วย นโยบายรัฐที่สนับสนุน Medical Tourism ก็ถือเป็นตัวเร่งชั้นดีเลยครับ

แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน การลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวังครับ แม้จะเป็นธุรกิจเชิงรับ แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่มากๆ กำลังซื้อโดยรวมก็อาจจะลดลงได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่พึ่งพิงรายได้จากคนไข้ต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงมากๆ อาจได้รับผลกระทบได้ แถมการแข่งขันก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่โรงพยาบาลด้วยกันเอง แต่ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ อย่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มหันมาลงทุนธุรกิจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีหลายสาขาอาจต้องรับมือกับการแข่งขันสูงเป็นพิเศษ และต้องไม่ลืมปัญหาใหญ่ของวงการคือ `การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์` ที่แต่ละโรงพยาบาลต้องแย่งชิงกัน และนโยบายภาครัฐก็มีส่วนสำคัญ ถ้ามีการ `ควบคุมราคายา` หรือค่าบริการบางอย่าง อาจจะส่งผลลบต่อ `รายได้` และ `กำไร` ได้เหมือนกันครับ

ถ้าเราลองมาดูตัวเลขกันบ้าง จากข้อมูล ณ เดือน กุมภาพันธ์ 2568 หุ้นโรงพยาบาลหลายตัวยังคงโชว์ผลตอบแทนที่น่าสนใจ และมี `มาร์เก็ตแคป` (มูลค่าตลาด) ที่สูงปรี๊ด อย่าง `บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)` หรือ BDMS ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดกว่า 3.5 แสนล้านบาท ตามมาด้วย `บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)` หรือ BH ที่มีมูลค่ากว่า 1.3 แสนล้านบาท สองเจ้านี้ถือเป็นพี่ใหญ่ในวงการเลยครับ ถ้ามองย้อนไปดูผลตอบแทนราคาหุ้นในช่วงปี 2565-2566 หุ้น BH ก็ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่า 57% ตามมาด้วย THG และ PR9 ที่ให้ผลตอบแทนกว่า 45%

แล้ว `หุ้นโรงพยาบาล ตัวไหนดี 2566` ในมุมมองของนักวิเคราะห์ล่ะ? นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าภาพรวมกลุ่มนี้ในระยะยาวยังไปได้สวย และมีการเลือกหุ้นเด่นที่น่าสนใจแตกต่างกันไป ลองมาดูตัวอย่างบางส่วนกันครับ

* **BDMS:** พี่ใหญ่สุดในตลาดนี้ มีเครือข่ายโรงพยาบาลเยอะมาก ทั้งในไทยและต่างประเทศ จุดเด่นคือฐานลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งบริษัทประกันและคนไข้ต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง นักวิเคราะห์จาก บล.ยูโอบี เคย์เฮียน มองว่าปี 2567-2568 ผลประกอบการ BDMS จะยังเติบโตต่อเนื่อง คาดกำไรสุทธิปี 68 จะโต 6.05% เทียบปีก่อน ให้ราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 33.00 บาท ขณะที่ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองว่ากำไรจะโตเฉลี่ยปีละ 9% ในช่วงปี 67-69 ครับ BDMS มีสัดส่วนรายได้จากคนไข้ต่างประเทศสูงถึง 67% เลยทีเดียว
* **BH:** อีกหนึ่งโรงพยาบาลระดับท็อปที่เน้นคนไข้ต่างชาติและโรคซับซ้อน ซึ่งมี `ค่าบริการ` สูง ทำให้มี `กำไร` ต่อหัวดีมาก BH เองก็มีแผนปรับราคาและขยายพื้นที่รองรับคนไข้ต่างชาติ สัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยทั่วไปถึง 66.52% นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาดกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี (ปี 67-69)
* **BCH:** หรือ `บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)` เจ้านี้มีโรงพยาบาลในเครือกระจายตัวค่อนข้างเยอะ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แถมยังมีที่ สปป.ลาว ด้วย นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี เพิ่งปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” คาดกำไรสุทธิปี 68 เติบโตถึง 23% ส่วน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน มองว่า BCH จะมีกำไรสุทธิปี 68 โต 14.47% ให้ราคาเหมาะสมปี 68 ที่ 20.00 บาท และ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาดกำไรโตเฉลี่ย 13% ต่อปี (ปี 67-69) ครับ BCH มีรายได้จากคนไข้ในประเทศเป็นหลัก 71%
* **CHG:** หรือ `บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน)` ก็เป็นอีกเจ้าที่เน้น `ขยายสาขา` ในพื้นที่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ สัดส่วนรายได้มาจากผู้ป่วยนอก (OPD) 30.6% ผู้ป่วยใน (IPD) 34.5% และโครงการสวัสดิการภาครัฐถึง 35% บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี (ปี 67-69)
* **NKT:** หรือ `บริษัท นครธน จำกัด (มหาชน)` เป็นอีกตัวที่นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ให้ความสนใจเป็นพิเศษ แนะนำ “ซื้อ” เพราะมีแผนการเติบโตที่ชัดเจน คือการเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยใน (IPD) จาก 150 เตียง เป็น 481 เตียงภายในปี 2570 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 220% เลยทีเดียว แถมยังมีโครงการรองรับ `สังคมผู้สูงอายุ` คือ “Nakornthon Long Life Center” ที่จะเปิดปี 2569 ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว บล.ทรีนีตี้ ให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.20 บาท และมองว่า NKT ซื้อขายที่ Valuation (การประเมินมูลค่าหุ้น) ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มด้วย P/E และ EV/EBITDA ที่ต่ำกว่ามาก

นอกจากตัวเลข `กำไร` `รายได้` และ `มาร์เก็ตแคป` แล้ว การดู `อัตราการครองเตียง` (สัดส่วนผู้ป่วยที่เข้าพักเทียบกับจำนวนเตียงทั้งหมด) ก็สำคัญไม่แพ้กันครับ ถ้าโรงพยาบาลมีอัตราการครองเตียงสูงสม่ำเสมอ แสดงว่ามีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการเยอะ รายได้ก็มั่นคงครับ แม้ว่าบางช่วงที่โรงพยาบาลกำลัง `ขยายอาคาร` ใหม่ อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงและอัตราครองเตียงอาจจะยังไม่เต็มที่ในช่วงแรก แต่โดยปกติแล้ว 2-4 ปีหลังจากขยาย อัตราครองเตียงก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นและเริ่มทำ `กำไร` ได้ดีขึ้นครับ

อีกมุมที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจคือโครงสร้าง `รายได้` ครับ ลองดูว่าโรงพยาบาลนั้นเน้นผู้ป่วยแบบไหน สัดส่วน `ผู้ป่วยเงินสดและผู้ป่วยประกัน` เป็นอย่างไร หรือสัดส่วน `ผู้ป่วยในประเทศและผู้ป่วยต่างชาติ` แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน อย่างถ้าเน้นผู้ป่วยต่างชาติมากๆ เราก็ต้องตามดูทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่คนไข้หลักมาจากตรงนั้นด้วย

สรุปแล้ว `หุ้นโรงพยาบาล ตัวไหนดี 2566` หรือปีต่อๆ ไป ก็ยังเป็นคำถามที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบครับ แม้ว่าธุรกิจนี้จะมีเสน่ห์ในความเป็น `หุ้นเชิงรับ` และมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่ดีจากเทรนด์ `สุขภาพ` `สังคมผู้สูงอายุ` และ `การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์` แต่ก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ `การแข่งขัน` และต้นทุนต่างๆ ที่ต้องจับตาดู

สำหรับนักลงทุนที่สนใจกลุ่มนี้ สิ่งสำคัญคือต้องทำการบ้านต่อครับ ไม่ใช่แค่ดูว่าตัวไหนราคาขึ้นเยอะ หรือนักวิเคราะห์เชียร์ แต่ต้องลงลึกไปดูที่กลยุทธ์ของแต่ละโรงพยาบาล โครงสร้าง `รายได้` `กำไรสุทธิ` หนี้สิน และแผนการในอนาคตด้วยว่าสอดคล้องกับภาพรวมและแนวโน้มที่เรามองเห็นหรือไม่

⚠️ **ข้อควรระวัง:** การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และพิจารณาความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้เสมอ หาก `資金流動性不高` (หมายถึง 資金流動性不高 หรือมีเงินจำกัด) การลงทุนในหุ้นอาจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรประเมินสถานการณ์ของตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่ง หรืออาจพิจารณาแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ครับ อย่าเพิ่งเทหมดหน้าตักไปกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ควรมีการกระจายความเสี่ยงด้วยครับ