
เคยไหมครับ/คะ ได้ยินเพื่อนคุยกันเรื่องลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แล้วงงว่าทำไมมีคำเรียกแปลกๆ เต็มไปหมด? บางคนก็พูดถึง “หุ้น” บางคนก็เน้นว่าต้องเป็น “หุ้นบุริมสิทธิ” อีกคนก็ชวนไปซื้อ “หุ้นกู้” สรุปแล้วไอ้เจ้าพวกนี้มันคืออะไรกันแน่ แล้วมันเหมือนหรือต่างกันตรงไหน? ไม่ต้องปวดหัวครับ/ค่ะ วันนี้เราจะมาคลี่ประเด็นการลงทุนเหล่านี้ให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนข้างบ้านกัน
ลองนึกภาพตามนะครับ/คะ เวลาที่เราอยากเป็นเจ้าของธุรกิจสักอย่าง หรืออยากให้เงินที่เรามีงอกเงย เราก็ต้องหาที่ลงเงินใช่ไหมครับ/คะ ตลาดการเงินก็มี “เครื่องมือ” หลายแบบให้เราเลือกใช้ ซึ่งเจ้า หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นกู้ ที่พูดถึงเนี่ย ก็เป็นเครื่องมือยอดฮิตที่นักลงทุนควรรู้จักไว้เลยครับ
เริ่มต้นที่ตัวแรกที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุด นั่นก็คือ **หุ้นสามัญ** (Common Stocks) ครับ/ค่ะ พูดง่ายๆ มันก็คือการที่เราเอาเงินไปร่วมลงทุนกับบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) แล้วเราก็จะมีสถานะเป็น “เจ้าของ” บริษัทนั้นๆ ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่เราถืออยู่ ลองจินตนาการว่าบริษัทคือบ้านหลังใหญ่ หุ้นสามัญที่คุณถือก็เหมือนโฉนดที่ดินส่วนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ยิ่งถือเยอะก็ยิ่งเป็นเจ้าของเยอะ
ในฐานะเจ้าของ คุณก็มีสิทธิ์มีเสียงในการบริหารจัดการบ้านหลังนี้ด้วยนะ! ใช่แล้วครับ ผู้ถือหุ้นสามัญมี **สิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง** ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อร่วมตัดสินใจเรื่องสำคัญของบริษัท เช่น เลือกกรรมการบริษัท อนุมัตินโยบายใหญ่ๆ หรือเรื่องควบรวมกิจการต่างๆ ที่สำคัญคือ คุณมีสิทธิ์ได้รับ **เงินปันผล** จากผลกำไรของบริษัทด้วย ถ้าบริษัททำกำไรได้ดี ก็อาจจะจ่ายเงินปันผลเยอะ แต่ถ้าปีไหนกำไรน้อย หรือขาดทุน ก็อาจจะไม่ได้เงินปันผลเลย หรือได้น้อยลง อันนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการล้วนๆ ไม่มีการรับประกันนะครับ ที่น่าตื่นเต้นคือ ราคาหุ้นสามัญมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้เยอะมากตามการเติบโตและความสำเร็จของบริษัท เหมือนบ้านที่ราคาที่ดินขึ้นนั่นแหละครับ ยิ่งธุรกิจไปได้สวย ราคาหุ้นก็ยิ่งมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น เราก็ได้กำไรจากส่วนต่างราคาตรงนี้แหละ

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของ ก็มีความเสี่ยงที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกันนะครับ/คะ เพราะถ้าวันหนึ่งบริษัทไปไม่รอด ต้องปิดตัวลง เลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นสามัญจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินที่เหลืออยู่ หลังจากที่เจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นประเภทอื่น (เดี๋ยวจะพูดถึง) ได้รับเงินคืนไปหมดแล้ว ดังนั้น ความเสี่ยงของหุ้นสามัญจึงถือว่า **สูงที่สุด** ในบรรดาเครื่องมือที่เราจะพูดถึงวันนี้ครับ/ค่ะ เหมาะมากๆ สำหรับนักลงทุนที่หัวใจแข็งแกร่ง ยอมรับความผันผวนได้ดี และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว รวมถึงคนที่อยากมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของและกำหนดทิศทางบริษัทครับ
คราวนี้มาดูตัวที่สองครับ นั่นก็คือ **หุ้นบุริมสิทธิ** (Preferred Stocks) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามีคำว่า “บุริมสิทธิ” แปลว่า “สิทธิ์พิเศษ” เจ้าตัวนี้ก็เป็นตราสารทุนเหมือน หุ้นสามัญ นั่นแหละครับ หมายความว่าผู้ถือก็มีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทเหมือนกัน แต่เป็นเจ้าของที่มีสิทธิ์พิเศษบางอย่างเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ ลองนึกภาพว่าเป็นเจ้าของบ้านเหมือนกัน แต่คุณมีข้อตกลงพิเศษกับเจ้าของคนอื่น
สิทธิ์พิเศษที่ว่านั้นคืออะไรบ้าง? หลักๆ เลยคือ คุณมีสิทธิ์ได้รับ **เงินปันผลก่อน** ผู้ถือหุ้นสามัญครับ/ค่ะ แถมเงินปันผลของ หุ้นบุริมสิทธิ มักจะถูกกำหนดไว้เป็นอัตราที่ค่อนข้าง **คงที่และแน่นอน** กว่าหุ้นสามัญ ไม่ค่อยขึ้นลงตามผลประกอบการเท่าไหร่ ทำให้ผู้ถือได้รับรายได้สม่ำเสมอมากกว่า นอกจากนี้ ในกรณีที่บริษัทต้องเลิกกิจการ คุณก็มีสิทธิ์ได้รับเงินคืนทุน **ก่อน** ผู้ถือหุ้นสามัญด้วยครับ เหมือนเป็นเจ้าของที่มีสิทธิ์เรียกร้องเงินที่ลงทุนไปคืนได้เร็วกว่าคนอื่น
แต่แน่นอนว่า การมีสิทธิ์พิเศษก็ต้องแลกกับบางอย่างครับ สิ่งที่ผู้ถือ หุ้นบุริมสิทธิ ส่วนใหญ่ “ไม่มี” ก็คือ **สิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง** ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นนั่นเองครับ ก็เหมือนเป็นเจ้าของบ้านที่มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งรายได้ก่อนใครและได้เงินต้นคืนก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์โหวตว่าจะทาสีบ้านสีอะไร หรือจะต่อเติมห้องเพิ่มไหม คือเน้นที่ผลตอบแทนเป็นหลัก ไม่เน้นการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ นอกจากนี้ ศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าของ หุ้นบุริมสิทธิ ก็มักจะ **จำกัด** กว่าหุ้นสามัญ เพราะเงินปันผลค่อนข้างคงที่ และสภาพคล่องในการซื้อขายในตลาดรองก็มักจะ **ต่ำกว่า** หุ้นสามัญ ด้วย

สรุปแล้ว หุ้นบุริมสิทธิ ก็เหมือนลูกครึ่งครับ มีส่วนผสมของความเป็นเจ้าของ (ตราสารทุน) แต่ก็มีคุณสมบัติคล้ายเจ้าหนี้ (ได้รับเงินปันผลคงที่ ได้คืนทุนก่อน) ความเสี่ยงจะ **ต่ำกว่า** หุ้นสามัญ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการ **รายได้ประจำที่ค่อนข้างแน่นอน** ไม่ได้ต้องการมีส่วนร่วมในการบริหาร และต้องการความเสี่ยงที่ต่ำกว่า หุ้นสามัญ ครับ
มาถึงตัวสุดท้ายครับ **หุ้นกู้** (Corporate Bonds) ตัวนี้ไม่เหมือนสองตัวแรกซะทีเดียวครับ เพราะไม่ใช่ตราสารทุน แต่เป็น **ตราสารหนี้** พูดง่ายๆ คือบริษัทมา “กู้เงิน” จากคุณ แล้วออกเอกสารสัญญาให้ไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งเอกสารนั้นก็คือ “หุ้นกู้” นั่นเองครับ ในฐานะผู้ซื้อหุ้นกู้ คุณก็จะมีสถานะเป็น **”เจ้าหนี้”** ของบริษัท ส่วนบริษัทก็เป็น **”ลูกหนี้”** ของคุณครับ
ในเมื่อเป็นเจ้าหนี้ บริษัทก็มีหน้าที่ต้องจ่าย “ดอกเบี้ย” ให้คุณตามอัตราที่ตกลงกันไว้ และจ่ายอย่างสม่ำเสมอตลอดอายุของ หุ้นกู้ ไม่ว่าปีนั้นบริษัทจะมีกำไรหรือขาดทุนก็ตาม และเมื่อถึงกำหนดอายุของ หุ้นกู้ บริษัทก็จะต้อง **คืนเงินต้น** ให้คุณเต็มจำนวนตามสัญญาครับ ซึ่งแตกต่างจากเงินปันผลของหุ้นสามัญที่ขึ้นอยู่กับกำไร และเงินต้นก็ไม่ได้คืนเป็นก้อน ยกเว้นบริษัทเลิกกิจการ
ที่สำคัญสุดๆ คือ ในกรณีที่บริษัทเกิดปัญหาถึงขั้นต้องเลิกกิจการ เจ้าหนี้อย่างผู้ถือ หุ้นกู้ จะมีสิทธิ์ได้รับเงินคืน **ก่อนใครทั้งหมด** ครับ ได้รับคืนก่อนทั้ง หุ้นบุริมสิทธิ และ หุ้นสามัญ เลย ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง **ต่ำที่สุด** ในสามตัวนี้ (แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการที่บริษัทอาจผิดนัดชำระหนี้ได้นะครับ) ผลตอบแทนของ หุ้นกู้ จะเป็นในรูปของ **ดอกเบี้ยคงที่** ซึ่งมักจะไม่สูงเท่าศักยภาพกำไรของหุ้นสามัญ แต่ก็แลกมาด้วยความแน่นอนและความเสี่ยงที่ต่ำกว่าครับ หุ้นกู้ เหมาะกับนักลงทุนที่ **เน้นความปลอดภัยสูง** ต้องการ **รายได้ที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้** และไม่ชอบความผันผวนของราคาเท่าไหร่
สรุปความแตกต่างแบบชัดๆ อีกทีนะครับ:
* **สถานะ:** หุ้นสามัญ/หุ้นบุริมสิทธิ คือ เจ้าของ | หุ้นกู้ คือ เจ้าหนี้
* **สิทธิ์ออกเสียง:** หุ้นสามัญ มี | หุ้นบุริมสิทธิ ส่วนใหญ่ ไม่มี | หุ้นกู้ ไม่มี
* **ผลตอบแทน:** หุ้นสามัญ เงินปันผล (ไม่แน่นอน) | หุ้นบุริมสิทธิ เงินปันผล (คงที่กว่า, ได้ก่อน) | หุ้นกู้ ดอกเบี้ย (คงที่)
* **ใครได้คืนก่อนตอนเจ๊ง:** หุ้นกู้ -> หุ้นบุริมสิทธิ -> หุ้นสามัญ (ลำดับสุดท้าย)
* **ความเสี่ยง/ผลตอบแทน:** หุ้นสามัญ สูง/สูง | หุ้นบุริมสิทธิ ปานกลาง/ปานกลาง (สม่ำเสมอ) | หุ้นกู้ ต่ำ/คงที่
เห็นไหมครับว่าแค่คำว่า “หุ้น” คำเดียว ก็แตกย่อยออกมาได้หลายแบบ แต่ละแบบก็มีเสน่ห์และความเหมาะสมต่างกันไป การเลือกจะลงทุนใน หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือ หุ้นกู้ จึงไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ ต้องดูที่ **ตัวเราเอง** เป็นหลัก
ลองถามตัวเองดูครับว่า…
* **เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร?** ต้องการสร้างความมั่งคั่งระยะยาวแบบก้าวกระโดด หรือแค่อยากได้รายได้ประจำสม่ำเสมอ หรือแค่อยากเก็บเงินให้งอกเงยแบบปลอดภัย?
* **คุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน?** พร้อมที่จะเห็นเงินลงทุนผันผวนขึ้นลงอย่างรวดเร็วไหม หรือชอบอะไรที่นิ่งๆ หน่อย?
* **คุณอยากมีส่วนร่วมกับบริษัทไหม?** อยากมีสิทธิ์ออกเสียงในการบริหารหรือสนใจแค่ผลตอบแทน?
คำตอบเหล่านี้จะช่วยนำทางให้คุณเลือกว่า หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือ หุ้นกู้ (หรืออาจจะลงทุนผสมผสานกันไป) เป็นเครื่องมือที่ใช่สำหรับคุณครับ
ไม่มีการลงทุนใดปราศจากความเสี่ยง 100% นะครับ/คะ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นสามัญ ที่มีความผันผวนสูง หุ้นบุริมสิทธิ ที่สภาพคล่องอาจไม่สูง หรือ หุ้นกู้ ที่มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนในเครื่องมือใดๆ ก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ **ศึกษาข้อมูล** ของสินทรัพย์นั้นๆ และของบริษัทที่ออกตราสารให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้จริงๆ ครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนนะครับ!
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน