
โอเคครับ ในฐานะคอลัมนิสต์การเงินที่ชอบเล่าเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อน วันนี้เรามาดูกันว่า “เล่นหุ้น 10 บาท” เนี่ย มันน่าสนใจจริง หรือแค่กับดักสำหรับมือใหม่กันแน่
ลองนึกภาพตามนะ… เราไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเหมือนนักลงทุนระดับเศรษฐีหมื่นล้าน แต่ก็อยากให้เงินที่เราอุตส่าห์หามาทำงานแทนเราบ้าง พอเปิดแอปฯ ดูหุ้นในตลาด โอ้โห! บางตัวราคาหลักร้อย หลักพัน เราคงต้องเก็บเงินอีกนานกว่าจะได้ซื้อสักร้อยหุ้นตามเกณฑ์ขั้นต่ำใช่ไหม? แต่พอเลื่อนๆ ดู อ้าว มีหุ้นบางตัวราคาแค่ไม่กี่บาทเองนี่นา! บางตัวไม่ถึงสิบบาทด้วยซ้ำ แค่มีเงินหลักพันก็อาจจะได้เป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ แล้ว นี่แหละคือเสน่ห์ของคำว่า “เล่นหุ้น 10 บาท” หรือหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท ที่ดึงดูดนักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ ท่านๆ
หุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาท ส่วนใหญ่มักจะเป็นหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก หรือบางทีก็เป็นบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู หรือมีเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้ราคาลงมา ซึ่งธรรมชาติของหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ “คึกคักมาก” การซื้อขายเปลี่ยนมือกันไวสุดๆ เหมือนตลาดสดตอนเช้า คือถ้ามีข่าวดีหน่อย ราคาก็พร้อมจะวิ่งขึ้นพรวดพราด นักลงทุนที่ชอบ “เล่นหุ้น 10 บาท” แบบเก็งกำไรระยะสั้นก็พร้อมจะขายทำกำไรทันที แล้วก็ไปหาหุ้นตัวอื่นที่ราคายังถูกๆ และมีแววจะวิ่งต่อ เรียกว่าเน้นทำกำไรจาก “ส่วนต่างราคา” (Capital Gain) เป็นหลัก และการตัดสินใจซื้อขายส่วนใหญ่ก็มักจะอิงกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดูกราฟ ดูแนวโน้มราคามากกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
แต่เดี๋ยวก่อน… ใช่ว่าหุ้นราคาต่ำทุกตัวจะเป็นแค่เครื่องมือเก็งกำไรเสมอไปนะ! ข้อมูลที่ผมได้รวบรวมมาบอกว่า จริงๆ แล้ว หุ้นราคาต่ำหลายตัวมี “ปัจจัยพื้นฐาน” ที่แข็งแกร่งเอาเรื่องเลยก็มี แนวโน้มธุรกิจสดใส ทำกำไรได้ดีต่อเนื่องแบบเงียบๆ ต่างหาก หุ้นพวกนี้แหละที่ถ้าเราเจอแล้วศึกษาดีๆ อาจจะกลายเป็นขุมทรัพย์สำหรับการลงทุนระยะยาวได้เลย แต่คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าตัวไหนคือเพชรในตม ตัวไหนคือแค่หินกรวดธรรมดา?
นี่แหละครับที่การวิเคราะห์ “ปัจจัยพื้นฐาน” ของบริษัทเข้ามามีบทบาทสำคัญมากๆ ต่อให้เราอยาก “เล่นหุ้น 10 บาท” แบบหวังรวยเร็วแค่ไหน แต่ถ้าอยากอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้น การเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็น เหมือนการเลือกคู่ชีวิต ที่ไม่ได้ดูแค่หน้าตา (ราคาหุ้น) แต่ต้องดูนิสัยใจคอ ดูพื้นฐานครอบครัวด้วย

ปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนระยะยาวให้ความสำคัญอันดับต้นๆ เลยก็คือ “กำไรสุทธิ” (Net Profit) ของบริษัทนี่แหละ ต้องดูว่าบริษัททำกำไรได้ต่อเนื่องไหม? กำไรที่ได้มามาจากธุรกิจหลักจริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่ได้มาจากการขายสินทรัพย์เก่าๆ ทิ้งไป หรือได้จากการควบรวมกิจการชั่วครั้งชั่วคราว เพราะ “กำไร” นี่แหละคือเครื่องยนต์หลักที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นในระยะยาว พูดง่ายๆ ถ้าบริษัทกำไรดี หุ้นก็มีแนวโน้มขึ้น ถ้ากำไรหด หุ้นก็มีแนวโน้มลง
นอกจากกำไรสุทธิแล้ว ก็ยังมีตัวชี้วัดอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น “อัตรากำไรสุทธิ” (Net Profit Margin) ตัวนี้จะบอกเราว่าบริษัทเก่งแค่ไหนในการแปลง “ยอดขาย” ให้กลายเป็น “กำไรสุทธิ” คำนวณง่ายๆ คือ เอา กำไรสุทธิ หารด้วย ยอดขาย แล้วคูณ 100 ถ้าตัวเลขนี้สูง แสดงว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานดี ควบคุมต้นทุนเก่ง หรือสินค้า/บริการมีคุณภาพจนตั้งราคาสูงได้ ถ้าตัวเลขต่ำ อาจจะกำลังเจอคู่แข่งเยอะ ต้องลดราคาลง หรือมีปัญหาเรื่องต้นทุนก็ได้ เวลาดูตัวนี้ เราควรเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันนะ ถึงจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น
อีกตัวที่สำคัญมากๆ คือ “อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น” หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ROE (Return on Equity) ตัวนี้บอกว่า เงินลงทุนที่ผู้ถือหุ้นลงไปในบริษัท สามารถสร้าง “กำไร” กลับมาให้ได้ดีแค่ไหน อารมณ์ประมาณว่า บริษัทนี้เป็น “เครื่องจักรทำเงิน” ที่เก่งแค่ไหน ถ้า ROE สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็แสดงว่าผู้บริหารเก่ง จัดการเงินทุนของผู้ถือหุ้นได้มีประสิทธิภาพ แต่ถ้า ROE ลดลง ก็อาจจะสะท้อนว่าประสิทธิภาพในการบริหารเงินลงทุนของบริษัทกำลังถดถอยลงไป
แล้วอีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ “เงินปันผล” (Dividend) สำหรับนักลงทุนที่เน้นรายได้สม่ำเสมอ การที่บริษัทจ่ายเงินปันผลให้เราในฐานะผู้ถือหุ้นก็เหมือนได้ดอกเบี้ย หรือได้ค่าเช่าจากการเป็นเจ้าของนั่นแหละครับ การดูว่าบริษัทจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอแค่ไหน และจ่ายในอัตราเท่าไหร่ หรือที่เรียกว่า “อัตราเงินปันผลตอบแทน” (Dividend Yield) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจ โดยดูจากประวัติการจ่ายปันผลในอดีตเพื่อคาดการณ์ในอนาคต
มาถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ที่ข้อมูลบอกว่า “ยังคงมีความผันผวนสูง” แต่ในความผันผวนนั้น หุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาท ก็ยังเป็นที่นิยมและมีความคึกคักอยู่เสมอ และจากข้อมูล ณ ต้นปี 2567 (อ้างอิงจากแหล่งข่าวอย่าง กรุงเทพธุรกิจ และ เดอะ สแตนดาร์ด เวลธ์) ก็มีภาพรวมที่น่าสนใจ อย่างเช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารดูมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาฯ ที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบาย “ฟรีวีซ่าจีน” ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อจากต่างชาติได้ ส่วนกลุ่มสื่อสารเองก็ยังเป็นธุรกิจพื้นฐานที่จำเป็น มีคู่แข่งน้อย ทำให้มีศักยภาพในการทำกำไรและจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง
แล้วถ้าดูตัวเลขการคัดกรองหุ้นราคาต่ำที่น่าสนใจล่ะ? ข้อมูลจากปี 2565 (อ้างอิง เดอะ สแตนดาร์ด เวลธ์) เคยมีการคัดกรองหุ้นราคาต่ำที่เข้าเกณฑ์น่าลงทุน เช่น อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ต่ำกว่า 15 เท่า, อัตราเงินปันผลตอบแทนเกิน 4.00% ในปีนั้น, และราคาหุ้นในรอบปีเป็นบวก ซึ่งก็มีหลายบริษัทที่ติดโผ เช่น UVAN, TRUBB, SC, CHG, SENA, PRM, EP, ASW, LALIN, QH โดยมีอัตราผลตอบแทนด้านราคาที่แตกต่างกันไป
พอมาดูข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 3 มกราคม 2567 (อ้างอิง กรุงเทพธุรกิจ) ที่เน้นหุ้นปันผลสูงและราคายังเป็นบวกในรอบ 1 ปี ก็มีรายชื่อน่าสนใจหลายตัวที่อัตราเงินปันผลสูงกว่า 4% เช่น TIPCO ให้ปันผลสูงถึง 9.83%, SIRI 7.87%, SUSCO 6.84%, PT 6.67%, TTW 6.56%, DRT 6.13%, ASW 5.92%, RPH 5.47%, NYT 4.93%, และ TTB 4.35% นี่ก็เป็นตัวอย่างที่บอกว่า หุ้นราคาไม่ถึง 10 บาท หลายๆ ตัว หรือถึงแล้วแต่ยังจัดเป็นกลุ่มที่ราคาไม่สูงมาก ก็มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากเงินปันผลได้ดีจริงๆ
ผู้เชี่ยวชาญอย่าง คุณวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา จาก บล.ฟินันเซีย ไซรัส ก็ให้ความเห็นไว้ว่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ปรับขึ้นมา การมองหาหุ้นปันผลที่ให้อัตราผลตอบแทน (Yield) 6% ขึ้นไป ก็ถือเป็นระดับที่เหมาะสมและน่าสนใจในการพิจารณาลงทุน

พอซื้อหุ้นมาแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การขาย” ครับ การตัดสินใจขายให้ถูกจังหวะมีหลักการช่วยให้เรา “ทำกำไร” หรือ “ตัดขาดทุน” ได้อย่างมีวินัย ลองฟังหลักการง่ายๆ ของนักลงทุนระดับโลกอย่าง วิลเลี่ยม เจ โอนีล ดูสิครับ เขาบอกว่า ถ้าหุ้นที่เราซื้อราคาขึ้นไป 20% – 50% ก็ควรพิจารณาขายทำกำไรได้แล้ว แต่ในทางกลับกัน ถ้าหุ้นราคาตกลงมา 7% – 8% จากที่เราซื้อ ให้ “ขายตัดขาดทุน” ทันที อย่าปล่อยให้ขาดทุนบานปลาย ซึ่งถ้าตลาดเข้าสู่ช่วง “ตลาดหมี” (Bear Market) หรือช่วงที่ตลาดหุ้นซบเซามากๆ อาจจะต้องลดเป้าทำกำไรลง (เช่น เหลือ 10% – 15%) และตั้งจุดขายตัดขาดทุนให้เร็วขึ้นอีก (เช่น แค่ 3%) เพื่อจำกัดความเสียหายให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ สัญญาณที่บอกว่าควรขายหุ้น ก็เช่น ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรืออุตสาหกรรมเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ผลประกอบการขาดทุน หรือความสามารถในการจ่ายปันผลลดลง หรือถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นเร็วเกินไปโดยไม่มีข่าวดีหรือปัจจัยพื้นฐานอะไรรองรับเลย ส่วนใหญ่มักจะตามมาด้วยการปรับฐานลงอย่างรวดเร็ว สุดท้าย ถ้าบริษัทเริ่มไม่โปร่งใส มีข่าวผู้บริหารตกแต่งบัญชี หรือความน่าเชื่อถือลดลง นี่ก็เป็นสัญญาณอันตรายที่บอกว่าควรขายทิ้ง
สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มสนใจ “เล่นหุ้น 10 บาท” หรือหุ้นทั่วไป สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ปัจจุบันการซื้อขายง่ายมากๆ แค่มีแอปพลิเคชันซื้อขายหุ้นบนมือถือก็ทำได้แล้ว เช่น แอปฯ Streaming ค่าธรรมเนียมซื้อขายก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด ส่วนใหญ่ประมาณ 0.08% – 0.25% ซึ่งจะรวมอยู่ในต้นทุนหุ้นที่เราเห็นนั่นแหละครับ และถึงจะไม่มีเงินขั้นต่ำในการเปิดบัญชี แต่เวลาจะซื้อหุ้นจริงๆ ส่วนใหญ่ต้องซื้อขั้นต่ำ 100 หุ้น หรือที่เรียกว่า 1 Board lot ยกเว้นหุ้นที่มีราคาสูงมากๆ อาจจะซื้อน้อยกว่านั้นได้
ราคาหุ้นที่เห็นในตลาด ขึ้นอยู่กับแรงซื้อแรงขาย และแนวโน้มกำไรของบริษัทในอนาคตเป็นหลัก ถ้ามีคนอยากซื้อเยอะกว่าอยากขาย ราคาก็ขึ้น ถ้าอยากขายเยอะกว่าอยากซื้อ ราคาก็ลง และจำไว้ว่า “เล่นหุ้น 10 บาท” หรือหุ้นตัวไหนก็ตาม ไม่ใช่การพนันนะครับ มันคือการเป็นเจ้าของกิจการส่วนหนึ่ง ดังนั้นก่อนลงทุน ต้องศึกษาให้ดี
สำหรับมือใหม่มากๆ ที่ยังไม่กล้าใช้เงินจริง ลองหาโปรแกรมจำลองการซื้อขายหุ้นมาลองฝึกดูก่อนก็ได้ครับ เช่น โปรแกรม Click2Win ของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะได้ลองสนามจริงโดยไม่เจ็บตัว
เช็กลิสต์ง่ายๆ สำหรับมือใหม่ก่อนจะเริ่ม “เล่นหุ้น 10 บาท” หรือหุ้นตัวไหนก็ตาม คือ:
1. **รู้เป้าหมายตัวเอง:** เราลงทุนเพื่ออะไร? เก็งกำไรระยะสั้น? เก็บเงินออม? วางแผนเกษียณ? หรืออยากสร้างธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมบริษัท? เป้าหมายที่ชัดเจนจะนำไปสู่การเลือกหุ้นและกลยุทธ์ที่เหมาะสม
2. **ศึกษาหุ้นและตลาด:** ทำความเข้าใจว่าหุ้นคืออะไร มีกี่ประเภท ตลาดหุ้นทำงานยังไง วิธีซื้อขายเบื้องต้นเป็นยังไง
3. **เข้าใจความเสี่ยง:** ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง หรือสถานการณ์ของบริษัทเอง อย่าลืมกระจายความเสี่ยง อย่าใส่เงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว หรือกลุ่มเดียว
4. **กำหนดงบประมาณ:** มีเงินเท่าไหร่ที่เราพร้อมจะลงทุน โดยที่ถ้าเสียไปทั้งหมดก็ไม่เดือดร้อน เริ่มต้นจากน้อยๆ ก่อนก็ได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มเมื่อเรามีความรู้และประสบการณ์มากขึ้น
สรุปแล้ว การ “เล่นหุ้น 10 บาท” มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงในตัวเองครับ มันไม่ใช่แค่การสุ่มสี่สุ่มห้าซื้อตามข่าวลือ หรือซื้อเพราะเห็นราคามันถูกดี แต่เป็นการมองหาบริษัทดีๆ ที่ราคาอาจจะยังไม่แพง หรือมีศักยภาพในการเติบโต หรือจ่ายปันผลได้ดีซ่อนอยู่ต่างหาก การใช้หลักการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงที่ดี จะช่วยให้การลงทุนในหุ้นราคาต่ำของเรามีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้นครับ
⚠️ **ข้อควรระวัง:** การลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหุ้นราคาต่ำ มีความผันผวนและมีความเสี่ยงสูง อาจทำให้เงินลงทุนหายไปทั้งหมดได้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หากเงินทุนที่เราจะนำมาลงทุนเป็นเงินที่ต้องใช้ในระยะเวลาอันสั้น หรือเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน ควรพิจารณาให้รอบคอบมากๆ ก่อนนำมาลงทุนในหุ้นนะครับ