บทนำ: ทำไมการเรียนเทรดหุ้นจึงสำคัญสำหรับนักลงทุนไทย?

การลงทุนในตลาดหุ้นไทยถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความผันผวนและความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้ามได้ หลายต่อหลายคนที่เริ่มต้นด้วยความคาดหวังสูง แต่กลับต้องเผชิญกับความสูญเสียเพราะขาดความรู้พื้นฐานในการวิเคราะห์ หรือไม่เข้าใจกลไกของตลาดอย่างแท้จริง การลงทุนโดยไม่มีการเตรียมตัวจึงเหมือนการเดินทางโดยไม่มีแผนที่ ย่อมเสี่ยงต่อการหลงทางในที่สุด
การเรียนรู้เรื่องการเทรดหุ้นจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มสนใจ หรือเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์แต่ต้องการพัฒนาทักษะให้ล้ำลึกยิ่งขึ้น ความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณเข้าใจกลไกของตลาด ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล บริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีวินัย ที่สำคัญที่สุดคือ ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่นักลงทุนมือใหม่มักก้าวเข้าไป ความสำเร็จในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นผลจากกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการฝึกฝนอย่างมีระบบ
แหล่งเรียนเทรดหุ้นยอดนิยมในประเทศไทย: เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย

ในยุคที่ข้อมูลการลงทุนเข้าถึงได้ง่าย นักลงทุนชาวไทยมีทางเลือกในการเรียนรู้การเทรดหุ้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายและเสียเงิน แต่ละช่องทางมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจจุดเด่นของแต่ละแหล่งจะช่วยให้คุณเลือกเส้นทางการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสไตล์การเรียนรู้ งบประมาณ และเป้าหมายการลงทุนของตัวเองได้อย่างแม่นยำ
1. เรียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET e-Learning)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือเป็นแหล่งความรู้ทางการเงินที่ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดในประเทศ แพลตฟอร์ม SET e-Learning ให้บริการคอร์สออนไลน์ฟรีที่ครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐานการลงทุน ไปจนถึงการวิเคราะห์ขั้นสูง การวางแผนการเงินส่วนบุคคล และข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย
- ข้อดี:
- ความน่าเชื่อถือระดับสูง: เนื้อหาได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนโดยตรง
- เข้าถึงได้ฟรี: ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมเปิดกว้างสำหรับผู้เริ่มต้นทุกคน
- เนื้อหาครอบคลุม: เหมาะสำหรับการสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ตั้งแต่คำศัพท์พื้นฐานไปจนถึงการอ่านงบการเงิน
- อัปเดตสม่ำเสมอ: ข้อมูลทันสมัยและสอดคล้องกับกฎระเบียบล่าสุด
- ข้อเสีย:
- เน้นทฤษฎี: อาจขาดการฝึกปฏิบัติจริง เช่น การจำลองการซื้อขาย
- ไม่มีผู้สอนเฉพาะตัว: การเรียนรู้เป็นแบบอิสระ หากมีข้อสงสัยต้องค้นหาเพิ่มเอง
2. คอร์สจากโบรกเกอร์และสถาบันการเงิน
บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งในประเทศไทย เช่น บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด หรือโบรกเกอร์อื่นๆ มักจัดสัมมนา วิทยากรพิเศษ และเวิร์กช็อปให้กับลูกค้าและบุคคลทั่วไป โดยเนื้อหามักเน้นการใช้งานแพลตฟอร์มซื้อขาย เครื่องมือวิเคราะห์ และการตีความข้อมูลตลาดจริงที่โบรกเกอร์นั้นๆ จัดทำขึ้น
- ข้อดี:
- เน้นการใช้งานจริง: สามารถนำไปปรับใช้กับการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มได้ทันที
- ผู้สอนมีประสบการณ์: มักเป็นนักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญจากภายในองค์กร
- เครื่องมือสนับสนุนครบ: ได้รับการแนะนำบทวิเคราะห์ เครื่องมือกราฟ และระบบแจ้งเตือน
- เข้าถึงได้ง่าย: หลายกิจกรรมจัดฟรีสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชี
- ข้อเสีย:
- อาจมีค่าใช้จ่าย: คอร์สระดับสูงหรือสัมมนาพิเศษอาจต้องเสียเงิน
- มีจุดประสงค์ทางธุรกิจ: อาจมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการของโบรกเกอร์เข้ามา
- เนื้อหาจำกัด: อาจไม่ลึกหรือกว้างเท่าสถาบันสอนเทรดเฉพาะทาง
3. สถาบันสอนเทรดหุ้นและเทรดคริปโต (Private Trading Academies)
สถาบันการสอนเทรดหุ้นเอกชน เช่น Elysium Trader, Supertrader Republic หรือผู้เชี่ยวชาญรายบุคคลที่เปิดสอน มักเน้นการถ่ายทอดกลยุทธ์ลึกซึ้งทั้งด้านเทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน และจิตวิทยาการลงทุน พร้อมการฝึกปฏิบัติจริงในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับตลาดจริง
- ข้อดี:
- เนื้อหาล้ำลึก: เจาะลึกเรื่องกลยุทธ์การซื้อขาย เทคนิคการจัดการพอร์ต
- ผู้สอนมีประสบการณ์จริง: มักเป็นเทรดเดอร์ที่ผ่านสนามจริงและมีผลงานชัดเจน
- การฝึกปฏิบัติ: มีการทำแบบฝึกหัด จำลองการเทรด และกิจกรรมกลุ่ม
- เครือข่ายการเรียนรู้: มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เรียนคนอื่นๆ
- ข้อเสีย:
- ราคาสูง: ค่าเรียนมักอยู่ในระดับหลักหมื่นขึ้นไป
- คุณภาพไม่เท่ากัน: ต้องเลือกอย่างรอบคอบจากชื่อเสียงและรีวิวจริง
- ผลลัพธ์ไม่แน่นอน: ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการนำไปปฏิบัติของผู้เรียนเอง
4. คอร์สเรียนออนไลน์แบบเสียเงินและฟรี (Udemy, SkillLane, YouTube)
แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Udemy, SkillLane หรือช่องทางบน YouTube กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ยอดนิยม เพราะความสะดวกและหลากหลาย นักเรียนสามารถเลือกเรียนจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและราคาที่เอื้อมถึงได้
- ข้อดี:
- ยืดหยุ่นสูง: เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามจังหวะของตัวเอง
- เนื้อหาหลากหลาย: มีตั้งแต่คอร์สพื้นฐานจนถึงระดับมืออาชีพ
- เข้าถึงง่าย: แค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถเริ่มเรียนได้ทันที
- คุ้มค่า: คอร์สเสียเงินมักมีราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับคุณภาพ
- ข้อเสีย:
- คุณภาพไม่สม่ำเสมอ: ต้องกรองผู้สอนและเนื้อหาอย่างละเอียด
- การโต้ตอบจำกัด: ไม่สามารถถามคำถามแบบเรียลไทม์ได้ทุกกรณี
- ต้องมีวินัยส่วนตัว: การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้เรียน
5. หลักสูตรการลงทุนในระดับมหาวิทยาลัย
สำหรับผู้ที่ต้องการความรู้เชิงวิชาการและระบบอย่างลึกซึ้ง หลักสูตรบริหารธุรกิจ การเงิน หรือเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาตรีหรือโท ถือเป็นทางเลือกที่ให้พื้นฐานทางทฤษฎีที่แข็งแรง เช่น ทฤษฎีพอร์ตการลงทุน หรือการวิเคราะห์ตลาดเงิน
- ข้อดี:
- ความรู้เป็นระบบ: ได้รับความรู้ทั้งเชิงทฤษฎีและประยุกต์
- วุฒิการศึกษา: ได้รับประกาศนียบัตรที่ได้รับการยอมรับ
- สร้างเครือข่าย: ได้พบเพื่อนร่วมชั้น อาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญในสาขา
- ข้อเสีย:
- ใช้เวลานาน: ต้องใช้เวลาหลายปีในการศึกษา
- ค่าใช้จ่ายสูง: ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายรายเดือนเป็นภาระสำคัญ
- ขาดการปฏิบัติ: อาจไม่ได้ฝึกเทรดจริง ต้องหาประสบการณ์เพิ่มเอง
เลือกที่เรียนเทรดหุ้นอย่างไรให้ “ใช่” และไม่ถูกหลอก?

การลงทุนในความรู้เป็นก้าวสำคัญ แต่ในตลาดที่มีผู้ให้บริการการศึกษาจำนวนมากก็มีความเสี่ยงที่คุณอาจเลือกผิด หรือแม้แต่ตกเป็นเหยื่อของคอร์สที่โฆษณาเกินจริงโดยอ้างว่าจะทำให้คุณรวยในไม่กี่วัน การเลือกอย่างมีวิจารณญาณจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
1. ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของสถาบัน/ผู้สอน
อย่าตัดสินใจจากแค่โฆษณาหรือรูปภาพสวยๆ เริ่มจากการตรวจสอบประวัติผู้สอน ว่าเคยมีประสบการณ์จริงในการเทรดหรือไม่ มีผลงานการลงทุนที่สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ ค้นหาข้อมูลจากกลุ่มพูดคุย เช่น Pantip หรือเพจลงทุนต่างๆ เพื่อดูรีวิวจากผู้ที่เคยเรียนจริง ความโปร่งใสคือเครื่องหมายของความน่าเชื่อถือ
2. พิจารณาเนื้อหาหลักสูตรและความเหมาะสมกับระดับของคุณ
หลักสูตรที่ดีควรครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์พื้นฐาน การวิเคราะห์เทคนิค การบริหารความเสี่ยง และจิตวิทยาการเทรด ตรวจสอบว่าคอร์สนั้นเหมาะกับระดับของคุณหรือไม่ หากเป็นมือใหม่ ควรเลือกที่เริ่มจากพื้นฐาน หากมีประสบการณ์แล้ว ควรเลือกที่เจาะลึกในกลยุทธ์เฉพาะด้าน
3. ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนที่คาดหวัง (ความคุ้มค่า)
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า คอร์สนี้คุ้มค่ากับราคาหรือไม่ อย่าหลงกลคำโฆษณาเช่น “รับประกันผลตอบแทน” หรือ “รวยเร็วภายใน 30 วัน” เพราะตลาดหุ้นมีความเสี่ยง และไม่มีใครสามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ การลงทุนในความรู้ที่คุ้มค่าคือการที่คุณได้รับความเข้าใจ ทักษะ และเครื่องมือที่นำไปใช้ได้จริงในระยะยาว
4. การสนับสนุนหลังการเรียนและชุมชนผู้เรียน
คอร์สที่มีคุณภาพมักมีการสนับสนุนต่อเนื่อง เช่น กลุ่มไลน์สำหรับถาม-ตอบ การให้คำปรึกษาส่วนตัว หรือการจัดกิจกรรมพิเศษให้กับผู้เรียนเก่า ชุมชนผู้เรียนยังเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่มีค่ามาก อีกทั้งควรตรวจสอบว่าสถาบันนั้นจดทะเบียนถูกต้องและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยทางการเงินและข้อมูลส่วนตัวของคุณ
เส้นทางการเรียนรู้เทรดหุ้นสำหรับนักลงทุนไทย: จากเริ่มต้นสู่ความยั่งยืน

การเรียนรู้การเทรดหุ้นไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งเดียวจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความอดทน วินัย และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ผ่านบทเรียน ความล้มเหลว และการปรับปรุงตัว
1. ขั้นเริ่มต้น: สร้างฐานความรู้และทำความเข้าใจตลาด
สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเน้นการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงก่อน แนะนำให้ใช้ทรัพยากรฟรีที่น่าเชื่อถือ เช่น SET e-Learning เพื่อเรียนรู้แนวคิดพื้นฐาน เช่น หุ้นคืออะไร การทำงานของตลาดหลักทรัพย์ วิธีเปิดบัญชี คำศัพท์สำคัญ และการอ่านกราฟเบื้องต้น ความเข้าใจในโครงสร้างและกฎระเบียบของตลาดหุ้นไทยจะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นคง
2. ขั้นกลาง: ฝึกฝนกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยง
เมื่อเข้าใจพื้นฐานแล้ว ให้ก้าวสู่การเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค การเลือกหุ้นจากงบการเงิน หรือการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Moving Average หรือ RSI สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเรียนรู้การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมอารมณ์ แนะนำให้เริ่มจากบัญชีจำลอง (Paper Trading) เพื่อทดสอบกลยุทธ์โดยไม่ต้องใช้เงินจริง
3. ขั้นสูง: ปรับปรุงกลยุทธ์และเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
เมื่อคุณเริ่มเทรดด้วยเงินจริงแล้ว การเรียนรู้ยังไม่สิ้นสุด ควรเข้าร่วมกลุ่มนักลงทุน อ่านบทวิเคราะห์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และทบทวนผลการเทรดผ่านสมุดบันทึก (Trading Journal) เพื่อวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง การลงทุนในคอร์สเฉพาะทาง เช่น การลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ หรือการใช้กลยุทธ์ Swing Trading อาจช่วยให้คุณก้าวสู่ระดับมืออาชีพได้เร็วขึ้น
สรุป: การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในความรู้
ไม่ว่าคุณจะเลือกเรียนกับ SET โบรกเกอร์ สถาบันเอกชน หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกอย่างมีเหตุผลและรอบคอบ หลีกเลี่ยงคำโฆษณาเกินจริง แล้วมุ่งเน้นที่คุณภาพของเนื้อหา การสนับสนุน และความโปร่งใสของผู้สอน
ความสำเร็จในตลาดหุ้นไม่ใช่ผลจากโชค แต่เกิดจากการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การฝึกฝนอย่างมีวินัย และความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ การลงทุนในความรู้จึงเป็นต้นทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ไม่เพียงแต่ในรูปของกำไร แต่ยังรวมถึงความมั่นใจ ความเข้าใจ และอิสระทางการเงินที่ยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
เรียนเทรดหุ้นฟรีมีที่ไหนบ้าง และน่าเชื่อถือแค่ไหน?
แหล่งเรียนเทรดหุ้นฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุดคือ SET e-Learning จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีคอร์สครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐาน นอกจากนี้ โบรกเกอร์หลายแห่งก็มีสัมมนาฟรีสำหรับลูกค้า และมีช่อง YouTube ที่ให้ความรู้ฟรีมากมาย แต่ควรเลือกช่องที่มีผู้เชี่ยวชาญจริงและมีชื่อเสียง
เรียนเทรดหุ้นออนไลน์กับเรียนแบบเจอตัว ต่างกันอย่างไร?
การเรียนออนไลน์ให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา และมักมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่การโต้ตอบกับผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นอาจจำกัด ส่วนการเรียนแบบเจอตัว (ออฟไลน์) จะได้เปรียบเรื่องการซักถามแบบตัวต่อตัว การฝึกปฏิบัติจริง และการสร้างเครือข่าย แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องเวลา สถานที่ และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า
มือใหม่ควรเริ่มเรียนเทรดหุ้นจากอะไรก่อนดี?
มือใหม่ควรเริ่มจากการสร้างความรู้พื้นฐานที่แข็งแกร่งก่อน เช่น:
- ทำความเข้าใจว่าหุ้นคืออะไร ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร
- เรียนรู้คำศัพท์สำคัญในการลงทุน
- วิธีการเปิดบัญชีหลักทรัพย์
- การอ่านงบการเงินและกราฟเบื้องต้น
- ความรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยง
แนะนำให้เริ่มต้นจาก SET e-Learning เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน
เรียนเทรดหุ้นที่ไหนดี Pantip มีคนแนะนำอะไรบ้าง?
ใน Pantip มักมีการแนะนำหลากหลาย โดยส่วนใหญ่จะกล่าวถึง:
- SET e-Learning: สำหรับมือใหม่และผู้ที่ต้องการความรู้พื้นฐานที่น่าเชื่อถือ
- คอร์สจากโบรกเกอร์: เน้นการใช้งานจริงและเครื่องมือของโบรกเกอร์นั้นๆ
- สถาบันสอนเทรดเอกชน: สำหรับผู้ที่ต้องการกลยุทธ์และเทคนิคเชิงลึก แต่ต้องพิจารณาชื่อเสียงและรีวิวให้ดี
- YouTube/คอร์สออนไลน์: เป็นแหล่งความรู้เสริมที่เข้าถึงง่าย
ควรนำข้อมูลจาก Pantip มาประกอบการตัดสินใจและตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม
หลังเรียนจบคอร์สแล้ว ควรทำอย่างไรต่อเพื่อให้เทรดได้จริง?
การเรียนรู้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลังจบคอร์สควร:
- ฝึกฝนด้วยบัญชีจำลอง (Paper Trading): ทดสอบกลยุทธ์ที่เรียนมาโดยไม่มีความเสี่ยง
- เริ่มเทรดด้วยเงินจำนวนน้อย: เพื่อเรียนรู้สถานการณ์จริงและบริหารจัดการอารมณ์
- จดบันทึกการเทรด (Trading Journal): เพื่อทบทวนและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
- ศึกษาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง: ติดตามข่าวสาร, บทวิเคราะห์, และเรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ๆ
- เข้าร่วมชุมชนนักลงทุน: เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์
การเลือกโบรกเกอร์มีผลต่อการเรียนรู้และการเทรดหุ้นอย่างไร?
การเลือกโบรกเกอร์มีความสำคัญมาก โบรกเกอร์ที่ดีจะมีแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานง่าย, มีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ครบครัน, บทวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือ, และมีการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่ลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อความสะดวกในการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะการเทรดของคุณ
มีคอร์สเรียนเทรดหุ้นที่สอนเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะหรือไม่?
มีแน่นอนครับ โดยเฉพาะคอร์สจาก SET e-Learning และคอร์สจาก โบรกเกอร์ในประเทศไทย มักจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทยโดยตรง รวมถึงกฎระเบียบ, ข้อมูลบริษัทจดทะเบียน, และปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อตลาดไทยโดยเฉพาะ
การลงทุนในความรู้ด้านการเทรดหุ้นคุ้มค่าจริงหรือ?
คุ้มค่าอย่างยิ่งครับ! ความรู้ด้านการเทรดหุ้นจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผล ลดความเสี่ยงในการขาดทุน และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรในระยะยาว ถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด เพราะเป็นทักษะที่ติดตัวและสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต
ควรระวังอะไรบ้างในการเลือกสถาบันสอนเทรดหุ้นในไทย?
สิ่งที่ควรระวังได้แก่:
- คำโฆษณาเกินจริง: เช่น การรับประกันผลตอบแทนสูง, รวยเร็ว, หรือเทคนิคพิสดารที่ไม่มีอยู่จริง
- ประวัติผู้สอนไม่ชัดเจน: ผู้สอนควรมีประสบการณ์จริงและโปร่งใส
- ค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป: เมื่อเทียบกับเนื้อหาและระยะเวลาเรียน
- ไม่มีการสนับสนุนหลังการเรียน: คอร์สที่ดีควรมีช่องทางให้สอบถามและปรึกษาหลังเรียนจบ
- ไม่มีรีวิวหรือรีวิวที่ไม่น่าเชื่อถือ: ตรวจสอบรีวิวจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจ
ถ้าไม่มีพื้นฐานด้านการเงินเลย จะเรียนเทรดหุ้นได้ไหม?
ได้แน่นอนครับ! คอร์สเรียนเทรดหุ้นจำนวนมากออกแบบมาสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการเงินเลย โดยจะเริ่มต้นจากคำศัพท์และแนวคิดพื้นฐานที่สุด สิ่งสำคัญคือความตั้งใจที่จะเรียนรู้และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณสามารถเริ่มต้นจากแหล่งเรียนรู้ฟรีอย่าง SET e-Learning ก่อนได้