เทรดออฟชั่น: 5 สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องรู้ก่อนเริ่มต้นใน TFEX

บทนำ: ทำไมต้องสนใจเทรดออฟชั่นในยุคนี้?

illustration of a person analyzing financial charts with option symbols, showing growth and risk management

ในโลกของการลงทุนที่หมุนเร็วเกินคาด นักลงทุนจำนวนมากเริ่มมองหาเครื่องมือใหม่ที่ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้นแล้วรอขาย แต่เป็นทางเลือกที่สามารถสร้างโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง ออฟชั่นจึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะให้ทั้งความยืดหยุ่นในการลงทุนและเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือมีประสบการณ์ในตลาดมาหลายปี การเข้าใจการเทรดออฟชั่นอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณมองตลาดต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่พื้นฐานจนถึงกลยุทธ์การใช้งานจริง โดยเน้นบริบทของตลาดไทย พร้อมคำแนะนำที่นำไปปฏิบัติได้ทันที เพื่อให้คุณก้าวสู่การเทรดออฟชั่นอย่างมั่นใจและมีวินัย

ออฟชั่นคืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐานฉบับสมบูรณ์

illustration of abstract financial contracts, 'Call' and 'Put' symbols, with upward and downward arrows

ก่อนจะเริ่มซื้อขายออฟชั่นได้จริง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจกลไกพื้นฐานของมันอย่างถ่องแท้ เพราะออฟชั่นไม่ใช่แค่การเดิมพันราคาขึ้น-ลง แต่เป็นสัญญาทางการเงินที่มีโครงสร้างเฉพาะตัวและต้องใช้ความเข้าใจเชิงลึก

นิยามของสัญญาออฟชั่น (Option Contract)

ออฟชั่น หรือสัญญาซื้อขายสิทธิ เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ “สิทธิ” แต่ไม่ใช่ “ภาระผูกพัน” แก่ผู้ถือสัญญาในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า (เรียกว่า ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price) และภายในระยะเวลาที่กำหนด (เรียกว่า Expiration Date) ผู้ซื้อออฟชั่นจะต้องจ่ายเงินเพื่อแลกกับสิทธินี้ ซึ่งเรียกว่า Premium หรือ ค่าสิทธิ ซึ่งต่างจากผู้ขายที่แม้จะได้รับ Premium แต่จะต้องรับภาระผูกพันหากผู้ซื้อตัดสินใจใช้สิทธิ สินทรัพย์อ้างอิงที่นิยมใช้ในออฟชั่นได้แก่ หุ้นรายตัว ดัชนีหลักทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงิน ทำให้มันกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถปรับใช้ได้หลากหลายตามวัตถุประสงค์

Call Option และ Put Option: สองประเภทหลักที่ต้องรู้

ออฟชั่นมีสองประเภทพื้นฐานที่นักลงทุนทุกคนต้องเข้าใจ เพราะมันคือรากฐานของการวางแผนกลยุทธ์ทั้งหมด

  • Call Option (คอลออฟชั่น): สิทธิในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดไว้ ผู้ซื้อ Call Option คาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต โดยมีโอกาสทำกำไรไม่จำกัด แต่ความเสี่ยงสูงสุดคือการสูญเสีย Premium ทั้งหมดที่จ่ายไป ด้านผู้ขาย Call Option มักคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลง และได้รับ Premium เป็นผลตอบแทน แต่ต้องรับความเสี่ยงไม่จำกัดหากราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
  • Put Option (พุทออฟชั่น): สิทธิในการ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด ผู้ซื้อ Put Option เชื่อว่าราคาจะลดลง ทำกำไรได้มากหากตลาดเคลื่อนตัวตามคาด แต่ขาดทุนสูงสุดเท่ากับ Premium ที่จ่ายไป ส่วนผู้ขาย Put Option คาดว่าราคาจะไม่ลงหรืออาจขึ้น และได้รับ Premium เป็นรายได้ แต่ต้องรับความเสี่ยงหากสินทรัพย์อ้างอิงร่วงแรง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ตารางเปรียบเทียบด้านล่างจะสรุปมุมมองของผู้ซื้อทั้งสองประเภท

ตารางเปรียบเทียบ Call Option และ Put Option (มุมมองผู้ซื้อ)

คุณสมบัติ Call Option Put Option
ความคาดหวัง ราคาหุ้นอ้างอิงจะขึ้น ราคาหุ้นอ้างอิงจะลง
สิทธิที่ได้รับ สิทธิในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิง สิทธิในการ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิง
กำไรสูงสุด ไม่จำกัด ราคาใช้สิทธิ – ค่า Premium (ลบด้วยค่าใช้จ่าย)
ขาดทุนสูงสุด เท่ากับค่า Premium ที่จ่ายไป เท่ากับค่า Premium ที่จ่ายไป

ผู้เล่นในตลาดออฟชั่น: ใครคือใครในวงการนี้?

ตลาดออฟชั่นมีผู้เล่นหลัก 4 ประเภท แต่ละคนมีบทบาทและเป้าหมายที่ต่างกัน ทำให้ผลกำไรและขาดทุนของแต่ละฝ่ายมีความสัมพันธ์กันโดยตรง

  1. ผู้ซื้อ Call Option (Long Call): คาดการณ์ราคาหุ้นหรือดัชนีจะเพิ่มขึ้น จ่าย Premium เพื่อซื้อสิทธิในการซื้อในอนาคต
  2. ผู้ขาย Call Option (Short Call): เชื่อว่าราคาจะไม่ขึ้น รับ Premium แต่ต้องยินดีขายหากผู้ซื้อใช้สิทธิ
  3. ผู้ซื้อ Put Option (Long Put): คาดการณ์ทิศทางลง จ่าย Premium เพื่อซื้อสิทธิขายในราคาที่แน่นอน
  4. ผู้ขาย Put Option (Short Put): เชื่อว่าราคาจะทรงตัวหรือขึ้น ได้รับ Premium แต่ต้องยินดีรับซื้อหากตลาดร่วง

ความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่ายจะช่วยให้คุณเลือกกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม และเข้าใจว่าทำไมความเสี่ยงของผู้ขายจึงมีลักษณะต่างจากผู้ซื้อ

กลไกการทำงานของตลาดออฟชั่น: ราคาและปัจจัยที่ส่งผลต่อ Premium

illustration of a balance scale showing 'Intrinsic Value' and 'Time Value' impacting 'Premium', with market factors around

ค่า Premium ของออฟชั่นไม่ได้ตั้งขึ้นโดยพลการ แต่เกิดจากสมการที่ซับซ้อนและปัจจัยหลายด้านที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ การเข้าใจกลไกนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อหรือขายได้แม่นยำขึ้น

ค่า Premium คืออะไร และมีองค์ประกอบใดบ้าง?

Premium คือราคาที่ผู้ซื้อต้องจ่ายเพื่อแลกกับสิทธิในการซื้อหรือขายในอนาคต ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่

  • มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value): คือมูลค่าที่ออฟชั่น “มีอยู่แล้ว” หากใช้สิทธิในวันนี้ทันที
    • สำหรับ Call Option: ราคาหุ้น – ราคาใช้สิทธิ (ถ้ามากกว่า 0)
    • สำหรับ Put Option: ราคาใช้สิทธิ – ราคาหุ้น (ถ้ามากกว่า 0)

    หากออฟชั่นอยู่ในสถานะ At The Money (ATM) หรือ Out of The Money (OTM) มูลค่าที่แท้จริงจะเป็น 0

  • มูลค่าตามเวลา (Time Value): คือค่าที่สะท้อนโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นประโยชน์ก่อนวันหมดอายุ ยิ่งเหลือเวลาหลายเดือน Time Value ก็ยิ่งสูง แต่จะลดลงเรื่อยๆ ทุกวัน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Time Decay หรือ Theta Decay ซึ่งเป็นข้อเสียเปรียบสำหรับผู้ซื้อ แต่เป็นข้อได้เปรียบสำหรับผู้ขาย

ดังนั้น ราคา Premium ของออฟชั่น = มูลค่าที่แท้จริง + มูลค่าตามเวลา

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคา Premium ของออฟชั่น

มีปัจจัยหลัก 5 ประการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ Premium

  • ราคาสินทรัพย์อ้างอิง: ยิ่งราคาหุ้นหรือดัชนีขยับ ราคา Premium ของ Call และ Put จะเปลี่ยนแปลงทันที Call ขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์ขึ้น Put ขึ้นเมื่อราคาลง
  • ราคาใช้สิทธิ: Call Option ที่มีราคาใช้สิทธิต่ำกว่าราคาตลาดจะมี Premium สูงกว่า ในทางกลับกัน Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิสูงกว่าจะมีค่า Premium มากกว่า
  • เวลาจนถึงวันหมดอายุ: ยิ่งมีเวลาเหลือมาก โอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวตามคาดก็สูงขึ้น ทำให้ Premium สูงขึ้นเช่นกัน
  • ความผันผวน (Volatility): ยิ่งสินทรัพย์มีความผันผวนสูง นักลงทุนจะคาดการณ์การเคลื่อนไหวรุนแรงมากขึ้น ทำให้ Premium สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงข่าวเศรษฐกิจหรือผลประกอบการ
  • อัตราดอกเบี้ย: แม้มีผลน้อย แต่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ Call Option มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนการถือครองสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้น

การคำนวณกำไรและขาดทุนเบื้องต้นจากการเทรดออฟชั่น

การวางแผนการเทรดจะไม่สมบูรณ์หากไม่เข้าใจจุดคุ้มทุนและขอบเขตของความเสี่ยง ดังนั้นควรคำนวณให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ

  • ผู้ซื้อ Call Option
    • จุดคุ้มทุน = ราคาใช้สิทธิ + Premium ที่จ่าย
    • กำไรสูงสุด = ไม่จำกัด
    • ขาดทุนสูงสุด = Premium ที่จ่ายทั้งหมด
  • ผู้ซื้อ Put Option
    • จุดคุ้มทุน = ราคาใช้สิทธิ – Premium ที่จ่าย
    • กำไรสูงสุด = ราคาใช้สิทธิ – Premium (ลบค่าธรรมเนียม)
    • ขาดทุนสูงสุด = Premium ที่จ่ายทั้งหมด
  • ผู้ขาย Call Option
    • จุดคุ้มทุน = ราคาใช้สิทธิ + Premium ที่ได้รับ
    • กำไรสูงสุด = Premium ที่ได้รับ
    • ขาดทุนสูงสุด = ไม่จำกัด
  • ผู้ขาย Put Option
    • จุดคุ้มทุน = ราคาใช้สิทธิ – Premium ที่ได้รับ
    • กำไรสูงสุด = Premium ที่ได้รับ
    • ขาดทุนสูงสุด = ราคาใช้สิทธิ – Premium ที่ได้รับ

การมีข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนได้อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่การเดาสุ่ม

เริ่มต้นเทรดออฟชั่นในไทย: แพลตฟอร์มและขั้นตอนการปฏิบัติจริง

สำหรับนักลงทุนในประเทศไทย การเข้าถึงตลาดออฟชั่นทำได้ผ่านโครงสร้างที่ชัดเจนและปลอดภัย แต่ต้องเริ่มต้นอย่างมีขั้นตอน

เลือกโบรกเกอร์เทรดออฟชั่นในไทยอย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะสม?

โบรกเกอร์คือประตูสู่ตลาด ดังนั้นการเลือกให้ดีจึงสำคัญมาก ควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้

  • การกำกับดูแล: ต้องเป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจาก สำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อให้มั่นใจว่าเงินของคุณได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
  • ค่าธรรมเนียมและโครงสร้างค่าคอม: เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมต่อคำสั่งซื้อขาย เพราะต่างกันได้มาก อาจส่งผลต่อผลกำไรในระยะยาว
  • แพลตฟอร์มการซื้อขาย: ควรใช้งานง่าย มีกราฟวิเคราะห์ เครื่องมือดู Greeks และมีความเสถียร ไม่ล่มบ่อย
  • ผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการ: บางโบรกเกอร์เช่น Phillip Securities (หลักทรัพย์ ฟิลลิป) มีความเชี่ยวชาญในตลาดอนุพันธ์และให้บริการซื้อขายออฟชั่นบน TFEX อย่างเต็มรูปแบบ
  • การสนับสนุนลูกค้า: มีทีมงานที่เข้าใจผลิตภัณฑ์และสามารถช่วยเหลือได้เมื่อเกิดปัญหาทางเทคนิคหรือข้อสงสัย

TFEX: ตลาดออฟชั่นหลักของประเทศไทยที่นักลงทุนไทยต้องรู้จัก

สำหรับนักลงทุนชาวไทย ตลาดหลักที่ใช้ซื้อขายออฟชั่นคือ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (TFEX) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทำให้มีความน่าเชื่อถือสูง TFEX เสนอสัญญาออฟชั่นที่อ้างอิงกับ SET50 Index ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นใหญ่ที่สุด 50 ตัวในตลาด การเทรด SET50 Index Options ช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ทิศทางภาพรวมของตลาดหุ้นไทยได้โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TFEX

ขั้นตอนการเปิดบัญชีและเริ่มต้นเทรดออฟชั่นสำหรับมือใหม่ไทย

การเริ่มต้นไม่ยาก หากคุณทำตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ

  1. เลือกโบรกเกอร์: เลือกบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิก TFEX และเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์ได้
  2. เตรียมเอกสาร: สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร และเอกสารแสดงฐานะการเงิน
  3. กรอกแบบฟอร์ม: สมัครเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์ พร้อมทำแบบทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยง
  4. รอการอนุมัติ: ใช้เวลาประมาณ 1-3 วันทำการ
  5. ฝากเงินหลักประกัน: หลังได้รับอนุมัติ ให้ฝาก Initial Margin เข้าบัญชีเพื่อใช้เป็นวงเงินซื้อขาย
  6. เริ่มเทรดได้ทันที: เข้าแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์และเริ่มส่งคำสั่งซื้อขายออฟชั่นได้เลย

กลยุทธ์การเทรดออฟชั่นสำหรับมือใหม่และนักลงทุนไทย

ออฟชั่นมีความยืดหยุ่นสูง แต่สำหรับมือใหม่ควรเริ่มจากกลยุทธ์ที่เข้าใจง่ายและควบคุมความเสี่ยงได้ดี

กลยุทธ์พื้นฐาน: ซื้อ Call และ ซื้อ Put เพื่อคาดการณ์ทิศทาง

กลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นคือการใช้ Long Call และ Long Put เพื่อทำกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางราคา

  • ซื้อ Call Option: ใช้เมื่อคาดว่าดัชนี SET50 จะพุ่งขึ้น เช่น จากข่าวเศรษฐกิจดี หรือเงินบาทแข็งค่าขึ้น หากดัชนีทะลุจุดคุ้มทุน นักลงทุนจะได้กำไรทันที โดยความเสี่ยงจำกัดอยู่ที่ Premium ที่จ่ายไป
  • ซื้อ Put Option: ใช้เมื่อคาดว่าตลาดจะร่วง เช่น จากความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การถือ Put ช่วยให้คุณทำกำไรได้แม้ในช่วงขาลง

ข้อดีคือจำกัดความเสี่ยง และไม่ต้องกังวลกับการขาดทุนไม่จำกัดเหมือนผู้ขาย

กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เบื้องต้นสำหรับพอร์ตลงทุนไทย

อีกหนึ่งประโยชน์สำคัญของออฟชั่นคือการใช้เป็นเกราะป้องกันพอร์ตการลงทุน

  • หากคุณถือหุ้นไทยหลายตัว และกังวลว่าตลาดอาจปรับฐานในระยะสั้น แต่ยังเชื่อมั่นในมูลค่าระยะยาว คุณสามารถ ซื้อ Put Option บน SET50 เพื่อป้องกันความเสี่ยงได้ หากราคาหุ้นตกจริง กำไรจาก Put จะชดเชยการขาดทุนจากหุ้นในพอร์ต ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องขายหุ้นทิ้งเพียงเพราะกลัวตลาดขาลงชั่วคราว

กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณอยู่ในตลาดต่อไปได้ พร้อมกับลดความผันผวนของผลตอบแทน

ข้อควรระวังในการเลือกกลยุทธ์และทำความเข้าใจเป้าหมายการลงทุน

การเลือกกลยุทธ์ต้องเริ่มจากคำถามว่า “คุณต้องการอะไร?” หากต้องการป้องกันความเสี่ยง ก็ควรใช้ Hedging หากต้องการทำกำไรระยะสั้นจากการคาดการณ์ทิศทาง ก็ควรใช้ Long Call/Put หลีกเลี่ยงกลยุทธ์ซับซ้อนเช่น Iron Condor หรือ Butterfly ก่อนที่จะเข้าใจพื้นฐานอย่างมั่นคง ความชัดเจนในเป้าหมายจะช่วยให้คุณมีวินัยในการเทรด

ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการเทรดออฟชั่นสำหรับนักลงทุนไทย

ออฟชั่นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงได้เช่นกัน

ความเสี่ยงหลักที่ต้องเผชิญในการเทรดออฟชั่น

  • สูญเสีย Premium ทั้งหมด: หากออฟชั่นหมดอายุในสถานะ OTM ผู้ซื้อจะสูญเงินทั้งหมดที่จ่ายไป
  • ความเสี่ยงไม่จำกัดสำหรับผู้ขาย: ผู้ขาย Call และ Put มีโอกาสขาดทุนมาก โดยเฉพาะเมื่อตลาดเคลื่อนไหวสวนทางอย่างรุนแรง
  • Time Decay: ยิ่งใกล้วันหมดอายุ ค่า Premium จะลดลงเร็วขึ้น ทำให้ผู้ซื้อเสียเปรียบ
  • ความผันผวนของตลาด: การเปลี่ยนแปลงของ Volatility อาจทำให้ราคา Premium ผันผวนอย่างรวดเร็ว
  • สภาพคล่องต่ำ: ออฟชั่นบางซีรีส์อาจมีผู้ซื้อขายไม่มาก ทำให้ซื้อขายได้ยากหรือต้องยอมรับราคาที่ไม่ดี

การบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด: เทคนิคที่นักลงทุนไทยควรรู้

  • ตั้ง จุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) ชัดเจนและปฏิบัติตาม
  • กระจายความเสี่ยง: อย่าใส่เงินทั้งหมดในออฟชั่นซีรีส์เดียว
  • ใช้ ขนาดตำแหน่งที่เหมาะสม: เทรดด้วยเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้
  • ศึกษาให้ลึก ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

ข้อผิดพลาดที่มือใหม่ไทยมักทำและวิธีหลีกเลี่ยง

  • ใช้เลเวอเรจสูงเกินไป: หวังกำไรเยอะด้วยเงินน้อย แต่ลืมคิดถึงความเสี่ยงที่ทวีคูณ ควรเริ่มจากสัญญาขนาดเล็ก
  • ไม่ใส่ใจเรื่องวันหมดอายุ: ซื้อออฟชั่นใกล้วันหมดอายุโดยไม่เข้าใจ Time Decay ทำให้สูญเงินโดยเปล่าประโยชน์
  • ไล่ตามความโลภ: ขาดการวิเคราะห์ มักจะตัดสินใจผิดพลาด
  • หลงเชื่อคำแนะนำในเว็บบอร์ด: ในชุมชนออนไลน์อย่าง เทรดออฟชั่น pantip มีทั้งข้อมูลดีและข้อมูลเสี่ยง ควรใช้วิจารณญาณและตรวจสอบจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

สรุป: เทรดออฟชั่นอย่างมั่นใจในตลาดไทย ด้วยความรู้และวินัย

การเทรดออฟชั่นไม่ใช่เกมแห่งโชค แต่เป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ทั้งความรู้ วินัย และการวางแผนอย่างมีระบบ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนทั่วไปหรือมือใหม่ ความเข้าใจในพื้นฐาน ออปชัน กลไกตลาด TFEX การเลือก โบรกเกอร์ ที่เหมาะสม รวมถึงการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ คือกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนในตลาดนี้ ขอให้ทุกคนเดินทางในโลกของออฟชั่นด้วยความรู้ ความมั่นใจ และวินัยที่เข้มแข็ง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเทรดออฟชั่น (FAQ)

เทรดออฟชั่นคืออะไร และแตกต่างจากการเทรดหุ้นธรรมดาอย่างไร?

เทรดออฟชั่นคือการซื้อขายสัญญาที่ให้สิทธิ (แต่ไม่ใช่ภาระผูกพัน) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น หรือดัชนี ในราคาและเวลาที่กำหนด ต่างจากการเทรดหุ้นธรรมดาตรงที่ออฟชั่นมีความยืดหยุ่นสูงกว่า มีคุณสมบัติของเลเวอเรจ และสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงได้ด้วย

มือใหม่ควรเริ่มต้นเทรดออฟชั่นในตลาดไทยอย่างไรให้ปลอดภัย?

มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาพื้นฐานให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ของไทย เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนจำนวนน้อย และใช้กลยุทธ์พื้นฐาน เช่น การซื้อ Call หรือ Put เพื่อคาดการณ์ทิศทาง ควรฝึกฝนในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนลงทุนด้วยเงินจริง และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นอันดับแรก

การเทรด Call Option และ Put Option มีหลักการทำงานและการทำกำไร-ขาดทุนอย่างไร?

Call Option: ผู้ซื้อคาดว่าราคาจะขึ้น มีสิทธิซื้อ กำไรไม่จำกัด ขาดทุนสูงสุดเท่าค่า Premium ที่จ่ายไป ผู้ขายคาดว่าราคาจะลงหรือทรงตัว มีภาระผูกพันต้องขาย กำไรสูงสุดเท่าค่า Premium ที่ได้รับ ขาดทุนไม่จำกัด

Put Option: ผู้ซื้อคาดว่าราคาจะลง มีสิทธิขาย กำไรสูงสุดตามส่วนต่างราคาที่ลงมา ขาดทุนสูงสุดเท่าค่า Premium ที่จ่ายไป ผู้ขายคาดว่าราคาจะขึ้นหรือทรงตัว มีภาระผูกพันต้องซื้อ กำไรสูงสุดเท่าค่า Premium ที่ได้รับ ขาดทุนสูงสุดตามส่วนต่างราคาที่ลงมา

โบรกเกอร์ไทยเจ้าไหนบ้างที่ให้บริการเทรดออฟชั่น และมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร?

โบรกเกอร์ในไทยหลายแห่งให้บริการเทรดออฟชั่นบน TFEX เช่น Phillip Securities, Kiatnakin Phatra Securities, KGI Securities เป็นต้น แต่ละโบรกเกอร์มีข้อดีข้อเสียต่างกันไปในเรื่องของค่าธรรมเนียม แพลตฟอร์มการซื้อขาย สินค้าที่ให้บริการ การบริการลูกค้า และเครื่องมือวิเคราะห์ ควรเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่งและเลือกที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

ความเสี่ยงสูงสุดของการเทรดออฟชั่นคืออะไร และมีวิธีบริหารจัดการอย่างไรบ้าง?

ความเสี่ยงสูงสุดสำหรับผู้ซื้อออฟชั่นคือการสูญเสียค่า Premium ที่จ่ายไปทั้งหมด หากออฟชั่นหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า สำหรับผู้ขายออฟชั่น โดยเฉพาะ Short Call/Put ความเสี่ยงสูงสุดอาจไม่จำกัดหากราคาเคลื่อนไหวผิดทางอย่างรุนแรง การบริหารความเสี่ยงทำได้โดยการกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) การใช้กลยุทธ์ที่จำกัดความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยง และการลงทุนในขนาดที่เหมาะสมกับเงินทุน

การเทรดออฟชั่นใน TFEX มีความพิเศษอย่างไร และเหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?

การเทรดออฟชั่นใน TFEX ส่วนใหญ่เป็นการซื้อขาย SET50 Index Options ซึ่งอ้างอิงกับดัชนี SET50 ทำให้สามารถคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นไทยโดยรวมได้โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้เครื่องมือที่มีเลเวอเรจในการทำกำไรจากทิศทางตลาด หรือใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นที่มีอยู่ และมีความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงและ Time Decay

เทรดออฟชั่นแล้วต้องเสียภาษีกำไรอย่างไรตามกฎหมายไทย?

ตามกฎหมายไทย กำไรจากการซื้อขายอนุพันธ์ใน TFEX (รวมถึงออฟชั่น) จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ของกำไรสุทธิ และถือเป็นเงินได้ประเภท 40(4) ซึ่งไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี (Final Tax) ในกรณีที่ไม่มีกำไรหรือขาดทุน จะไม่มีการหักภาษี สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีได้จากเว็บไซต์ของ กรมสรรพากร