SWIFT คืออะไร? ทำความรู้จักระบบการเงินระดับโลก พร้อมวิธีค้นหา SWIFT Code ธนาคารไทย

SWIFT คืออะไร? ทำความรู้จักกับระบบการเงินระดับโลก

ภาพประกอบระบบการเงินโลกที่เชื่อมโยงกัน แสดงบทบาทของ SWIFT ในการส่งเงินข้ามประเทศ

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น การโอนเงินข้ามประเทศกลายเป็นเรื่องปกติทั้งสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้คือระบบ SWIFT ซึ่งแม้หลายคนจะเคยได้ยินชื่อ แต่ยังคงสับสนว่ามันคืออะไร และทำงานอย่างไร บทความนี้จะพาคุณเข้าใจระบบ SWIFT อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ความหมาย โครงสร้างของรหัส บทบาทในระบบการเงินโลก ไปจนถึงการประยุกต์ใช้งานจริง โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้บริการธนาคารในประเทศไทย

SWIFT ย่อมาจากอะไรและมีบทบาทอย่างไร?

ภาพประกอบระบบการสื่อสารทางการเงินแบบดิจิทัลที่ปลอดภัย คล้ายไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับธนาคารทั่วโลก

SWIFT เป็นชื่อย่อของ **Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication** หรือที่รู้จักกันในชื่อ “องค์กรเพื่อการสื่อสารทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก” ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร และไม่ได้เคลื่อนย้ายเงินโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นเครือข่ายที่ช่วยให้สถาบันการเงินทั่วโลกสามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และส่งคำสั่งโอนเงินได้อย่างปลอดภัยและเป็นมาตรฐาน

ระบบดังกล่าวทำหน้าที่คล้าย “ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทางสำหรับธนาคาร” โดยใช้รหัสมาตรฐานในการส่งข้อความ เช่น คำสั่งโอนเงิน ข้อมูลการรับชำระ หรือการยืนยันธุรกรรม ข้อดีคือทุกข้อความที่ส่งผ่านเครือข่ายนี้จะถูกเข้ารหัสอย่างเข้มงวด ลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ปัจจุบันมีธนาคารและสถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่งจากกว่า 200 ประเทศทั่วโลกเชื่อมต่อกับระบบ SWIFT เพื่อให้การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ตรวจสอบได้ และมีความน่าเชื่อถือสูง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหน้าที่และโครงสร้างขององค์กร สามารถเข้าดูได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ SWIFT

ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของ SWIFT

ภาพประกอบแนวคิดวิวัฒนาการของ SWIFT ตั้งแต่ยุคเทเล็กซ์ จนถึงเครือข่ายดิจิทัลยุคปัจจุบัน

ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 การสื่อสารระหว่างธนาคารในต่างประเทศยังพึ่งพาระบบเทเล็กซ์ ซึ่งช้า ไม่ปลอดภัย และมีข้อผิดพลาดบ่อย ธนาคารจำนวน 239 แห่งจากยุโรปและอเมริกาเหนือจึงร่วมมือกันก่อตั้ง SWIFT ในปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) เพื่อสร้างทางเลือกที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า

ระบบ SWIFT เริ่มดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) โดยมีเป้าหมายเพื่อแทนที่ระบบการสื่อสารที่ล้าสมัยด้วยเครือข่ายดิจิทัลที่สามารถส่งข้อมูลทางการเงินอย่างถูกต้องและรวดเร็ว ความสำเร็จของ SWIFT ส่งผลให้รหัสที่ใช้ระบุธนาคาร—หรือที่รู้จักกันในชื่อ SWIFT Code—กลายเป็นมาตรฐานสากลภายใต้มาตรฐาน ISO 9362

ตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษ SWIFT ไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ แต่พัฒนาต่อยอดอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเร็วในการส่งข้อความ การรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นทุกปี หรือการยกระดับมาตรการความปลอดภัยหลังจากเหตุการณ์การแฮกบางครั้งที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินปลายทาง ทำให้วันนี้ SWIFT ยังคงเป็นเส้นเลือดหลักของการเงินข้ามพรมแดนทั่วโลก

ทำความเข้าใจ SWIFT Code (BIC): โครงสร้างและส่วนประกอบ

เมื่อพูดถึงการโอนเงินระหว่างประเทศ SWIFT Code ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ รหัสนี้ทำหน้าที่เหมือน “รหัสไปรษณีย์” สำหรับธนาคาร ช่วยให้เงินเดินทางถึงปลายทางได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย โดยมีโครงสร้างที่เป็นระบบและสามารถตีความได้ทุกส่วน

SWIFT Code และ BIC เหมือนกันหรือไม่?

คำว่า SWIFT Code และ BIC เป็นสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่สิ่งแยกจากกัน BIC ย่อมาจาก **Bank Identifier Code** ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการตามมาตรฐานสากล ในขณะที่ SWIFT Code เป็นชื่อที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากชื่อขององค์กรที่ดูแลระบบนี้คือ SWIFT ดังนั้นไม่ว่าคุณจะใช้คำว่า SWIFT Code หรือ BIC สถาบันการเงินก็จะเข้าใจตรงกัน

ส่วนประกอบของ SWIFT Code: 8 หรือ 11 ตัวอักษร

SWIFT Code ประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลข 8 หรือ 11 หลัก โดยแต่ละชุดมีความหมายเฉพาะ ซึ่งสามารถแยกออกได้เป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้

– **4 ตัวแรก: รหัสธนาคาร (Bank Code)**
เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ 4 ตัวที่ใช้ระบุชื่อธนาคาร เช่น KASI สำหรับธนาคารกสิกรไทย หรือ SCBT สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์

– **2 ตัวถัดไป: รหัสประเทศ (Country Code)**
ใช้ตัวอักษร 2 ตัวตามมาตรฐาน ISO 3166-1 alpha-2 สำหรับระบุประเทศที่ธนาคารตั้งอยู่ เช่น TH สำหรับประเทศไทย, US สำหรับสหรัฐอเมริกา หรือ DE สำหรับเยอรมนี

– **2 ตัวถัดไป: รหัสเมืองหรือสถานที่ตั้ง (Location Code)**
ประกอบด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข 2 ตัวที่บ่งบอกถึงเมืองหรือสำนักงานใหญ่ของธนาคารในประเทศนั้น ตัวอย่างเช่น BK สำหรับกรุงเทพฯ, NY สำหรับนิวยอร์ก

– **3 ตัวสุดท้าย (ไม่จำเป็น): รหัสสาขา (Branch Code)**
หากมี 3 ตัวสุดท้ายจะใช้ระบุสาขาเฉพาะของธนาคาร แต่ถ้าไม่มีการระบุสาขา หรือหมายถึงสำนักงานใหญ่ จะใช้ค่า “XXX” แทน หรือบางครั้งไม่ใส่ก็ได้ ทำให้รหัสมีความยาวเพียง 8 ตัวอักษร

ตัวอย่าง: KASITHBKXXX หมายถึง ธนาคารกสิกรไทย (KASI) ตั้งอยู่ในประเทศไทย (TH) ที่กรุงเทพฯ (BK) โดย XXX บ่งบอกว่าเป็นรหัสสำนักงานใหญ่หรือไม่ได้เจาะจงสาขาใด

ภาพประกอบการแยกส่วน SWIFT Code ความยาว 8-11 ตัวอักษร พร้อมคำอธิบายแต่ละส่วน

SWIFT Code มีความสำคัญอย่างไรกับการโอนเงินระหว่างประเทศ?

การโอนเงินระหว่างประเทศไม่ใช่แค่การส่งเงินจากบัญชีหนึ่งไปยังอีกบัญชีหนึ่งโดยตรง หากไม่มีระบบระบุเส้นทางที่ชัดเจน เงินอาจหลงทางหรือตกค้างในขั้นตอนกลาง ซึ่ง SWIFT Code คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างแม่นยำและมีระเบียบ

บทบาทของ SWIFT ในการระบุตัวตนธนาคารผู้รับ

เมื่อคุณต้องการส่งเงินไปยังต่างประเทศ คุณจะต้องระบุไม่เพียงแค่ชื่อผู้รับและเลขบัญชีเท่านั้น แต่ยังต้องให้ SWIFT Code ของธนาคารผู้รับด้วย รหัสนี้ทำหน้าที่เป็น “ที่อยู่ของธนาคาร” ที่ช่วยให้ธนาคารของคุณรู้ว่าจะส่งคำสั่งไปที่ใด การไม่ระบุ SWIFT Code หรือใส่รหัสผิด อาจทำให้เงินถูกส่งไปยังธนาคารที่ไม่ถูกต้อง หรือต้องผ่านการตรวจสอบเพิ่มเติมจนทำให้การโอนล่าช้า บางกรณีอาจต้องเสียค่าธรรมเนียมในการแก้ไข ดังนั้นการตรวจสอบ SWIFT Code ให้ถูกต้องก่อนยืนยันคำสั่งโอนจึงเป็นขั้นตอนที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบ SWIFT

หนึ่งในเหตุผลที่ SWIFT ยังคงเป็นที่นิยมแม้จะมีบริการใหม่ๆ เกิดขึ้นคือ “ความปลอดภัย” ระบบ SWIFT ใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลขั้นสูง และมีการตรวจสอบความถูกต้องหลายชั้น (multi-layer authentication) เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อความทางการเงินถูกดัดแปลงหรือเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทุกข้อความที่ส่งผ่านเครือข่ายจะมีลายเซ็นดิจิทัล (digital signature) เพื่อยืนยันตัวตนผู้ส่ง และตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล

นอกจากนี้ สถาบันการเงินทั่วโลกยังมีความเชื่อมั่นในมาตรฐานของ SWIFT เพราะมีการควบคุมและดูแลอย่างเข้มงวดจากองค์กรที่เป็นกลาง ทำให้ระบบกลายเป็นมาตรฐานสากลที่มีความน่าเชื่อถือสูง แม้จะเคยมีเหตุการณ์แฮกบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่เกิดจากช่องโหว่ที่ปลายทาง ไม่ใช่ที่ตัวระบบ SWIFT โดยตรง

SWIFT Code แตกต่างจาก IBAN อย่างไร?

หลายคนมักสับสนระหว่าง SWIFT Code กับ IBAN เพราะทั้งคู่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินระหว่างประเทศ แต่ทั้งสองมีวัตถุประสงค์และรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

IBAN คืออะไรและใช้ที่ไหน?

IBAN หรือ **International Bank Account Number** เป็นรหัสสากลที่ใช้ระบุ “หมายเลขบัญชีเฉพาะ” ของผู้รับเงิน โดยมีโครงสร้างยาวกว่า SWIFT Code ตั้งแต่ 15 ถึง 34 ตัวอักษร ขึ้นอยู่กับประเทศ ตัวอย่างเช่น IBAN ของเยอรมนีจะเริ่มต้นด้วย DE ตามด้วยตัวเลขตรวจสอบ รหัสธนาคาร และหมายเลขบัญชี

IBAN ถูกใช้เป็นหลักในประเทศแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และประเทศในยูโรโซนอื่นๆ เพื่อลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูลบัญชี และช่วยให้ระบบตรวจสอบได้ว่าข้อมูลที่กรอกถูกต้องหรือไม่ ทำให้การโอนเงินภายในภูมิภาคนั้นรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

ข้อแตกต่างสำคัญระหว่าง SWIFT Code และ IBAN

เพื่อให้เข้าใจชัดเจน ด้านล่างนี้คือตารางเปรียบเทียบระหว่าง SWIFT Code กับ IBAN

| คุณสมบัติ | SWIFT Code (BIC) | IBAN (International Bank Account Number) |
| :————- | :————————————————- | :————————————————————- |
| **วัตถุประสงค์** | ระบุตัวตน “ธนาคาร” ที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรม | ระบุตัวตน “บัญชีธนาคาร” เฉพาะของผู้รับเงิน |
| **โครงสร้าง** | 8 หรือ 11 ตัวอักษรและตัวเลข (รหัสธนาคาร, ประเทศ, ที่ตั้ง, สาขา) | ยาวกว่า (ประมาณ 15-34 ตัวอักษรและตัวเลข) (รหัสประเทศ, ตรวจสอบ, ธนาคาร, บัญชี) |
| **การใช้งาน** | ใช้ทั่วโลก สำหรับการโอนเงินระหว่างธนาคาร | ใช้เป็นหลักในยุโรปและบางประเทศ เพื่อระบุบัญชีผู้รับ |
| **ความจำเป็น** | จำเป็นสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่ | จำเป็นเมื่อโอนเงินไปยังหรือจากประเทศที่ใช้ IBAN |

กล่าวง่ายๆ คือ SWIFT Code ช่วยตอบคำถามว่า “เงินจะไปที่ธนาคารไหน” ส่วน IBAN ช่วยตอบว่า “เงินจะเข้าบัญชีใครในธนาคารนั้น” หากคุณโอนเงินไปยังประเทศในยุโรป คุณอาจต้องให้ทั้ง SWIFT Code และ IBAN เพื่อให้เงินไปถึงมือผู้รับได้อย่างถูกต้อง

วิธีค้นหา SWIFT Code ของธนาคารในประเทศไทย

ไม่ว่าคุณจะต้องการส่งหรือรับเงินจากต่างประเทศ การมี SWIFT Code ที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็น โชคดีที่การค้นหารหัสนี้สำหรับธนาคารในไทยสามารถทำได้ง่ายด้วยหลายช่องทาง

ค้นหา SWIFT Code ของคุณเอง

หากคุณต้องการทราบ SWIFT Code ของธนาคารที่คุณใช้งานอยู่ สามารถหาได้จากวิธีต่อไปนี้

– **เว็บไซต์ทางการของธนาคาร:** ธนาคารชั้นนำทุกแห่งมักจะระบุ SWIFT Code ไว้ในส่วน “บริการโอนเงินระหว่างประเทศ” หรือ “คำถามที่พบบ่อย (FAQ)”

– **แอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้งหรืออินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง:** เมื่อคุณเข้าสู่ระบบ ให้มองหาเมนูเกี่ยวกับการโอนเงินไปต่างประเทศ ข้อมูล SWIFT Code มักจะแสดงอยู่ในหน้าการกรอกข้อมูลผู้รับ

– **ติดต่อธนาคารโดยตรง:** คุณสามารถโทรสอบถามจากศูนย์บริการลูกค้า หรือไปที่สาขาเพื่อขอข้อมูล ซึ่งอาจต้องระบุว่าต้องการ SWIFT Code ของสำนักงานใหญ่หรือสาขาใดเป็นพิเศษ

– **เอกสารจากธนาคาร:** บางครั้ง SWIFT Code อาจพิมพ์อยู่บนสมุดบัญชี (Passbook) หรือเอกสารเปิดบัญชี แม้จะไม่ค่อยพบบ่อยนัก แต่ก็ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลหนึ่ง

ตาราง SWIFT Code ของธนาคารชั้นนำในประเทศไทย

เพื่อความสะดวก เราได้รวบรวม SWIFT Code ของธนาคารในประเทศไทยที่ใช้บ่อยที่สุด ดังนี้

| ธนาคาร | ชื่อภาษาอังกฤษ | SWIFT Code (BIC) |
| :————————— | :————————– | :————— |
| **ธนาคารกสิกรไทย** | Kasikornbank | KASITHBK |
| **ธนาคารกรุงไทย** | Krungthai Bank | KRTHTHBK |
| **ธนาคารกรุงเทพ** | Bangkok Bank | BBLATHBK |
| **ธนาคารกรุงศรีอยุธยา** | Krungsri Bank | AYUDTHBK |
| **ธนาคารออมสิน** | Government Savings Bank | GSBATHBK |
| **ธนาคารไทยพาณิชย์** | Siam Commercial Bank | SICOTHBK |
| **ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)** | TMBThanachart Bank | TMBKTHBK |

**หมายเหตุ:** รหัสในตารางด้านบนคือรหัสของสำนักงานใหญ่ หากคุณต้องการโอนเงินไปยังสาขาเฉพาะ ควรยืนยันรหัสกับธนาคารผู้รับโดยตรง เพราะบางสาขาอาจมีรหัสเฉพาะของตนเอง

ข้อควรพิจารณาเมื่อใช้ SWIFT สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ

แม้ SWIFT จะเป็นระบบมาตรฐานที่มีความน่าเชื่อถือสูง แต่ผู้ใช้บริการควรตระหนักถึงข้อจำกัดบางประการที่อาจส่งผลต่อต้นทุน ความเร็ว และประสบการณ์การใช้งาน

ค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยน

การโอนเงินผ่าน SWIFT มักมีค่าใช้จ่ายหลายส่วน ซึ่งอาจรวมถึง:

– **ค่าธรรมเนียมจากธนาคารผู้ส่ง:** ธนาคารที่คุณใช้บริการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการเริ่มต้นธุรกรรม
– **ค่าธรรมเนียมจากธนาคารตัวกลาง:** เงินอาจต้องผ่านธนาคารกลาง (Correspondent Bank) 1-3 แห่งก่อนถึงธนาคารปลายทาง แต่ละแห่งอาจหักค่าธรรมเนียม
– **ค่าธรรมเนียมจากธนาคารผู้รับ:** ธนาคารในประเทศปลายทางอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการรับเงิน

นอกจากค่าธรรมเนียมแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารใช้ก็อาจไม่ใช่อัตราตลาดกลาง (Mid-market rate) โดยธนาคารมักจะบวกส่วนต่างเล็กน้อย ทำให้เงินที่ผู้รับได้รับน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

ดังนั้น ผู้ใช้ควรตรวจสอบรายละเอียดค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้ากับธนาคาร เช่น ข้อมูลจากหน้าการโอนเงินระหว่างประเทศของ ธนาคารกสิกรไทย เพื่อประเมินต้นทุนโดยรวมและเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น

ระยะเวลาการโอนเงิน

โดยทั่วไป การโอนเงินผ่าน SWIFT ใช้เวลา 1 ถึง 5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

– **ประเทศปลายทาง:** บางประเทศมีระบบประมวลผลที่ช้าหรือต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
– **เวลาทำการของธนาคาร:** การทำธุรกรรมในวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดราชการจะถูกเลื่อนไปวันทำการถัดไป
– **ความแตกต่างของเขตเวลา:** อาจทำให้กระบวนการต้องรอจนกว่าธนาคารปลายทางจะเปิดทำการ
– **การตรวจสอบเพิ่มเติม:** ธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง หรือเข้าข่ายความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน อาจต้องผ่านการตรวจสอบเพิ่มเติม ทำให้ใช้เวลานานขึ้น

ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นและวิธีแก้ไข

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการป้อนข้อมูลผิด เช่น ใส่ SWIFT Code ผิด หรือพิมพ์เลขบัญชีไม่ครบ ซึ่งอาจทำให้เงินไม่ถึงผู้รับ หรือต้องส่งกลับมาผ่านขั้นตอนยุ่งยาก ทั้งนี้ หากเกิดข้อผิดพลาด

– ให้ติดต่อธนาคารทันทีที่คุณส่งเงิน
– แจ้งรายละเอียดการโอน เช่น เลขที่อ้างอิง วันเวลา และจำนวนเงิน
– ธนาคารจะช่วยติดตามและประสานงานกับธนาคารตัวกลางหรือปลายทาง

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขอาจใช้เวลาหลายวัน และมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ดังนั้น “การตรวจสอบข้อมูลก่อนส่ง” จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

ทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก SWIFT สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศในไทย

ในยุคดิจิทัล บริการโอนเงินระหว่างประเทศมีทางเลือกใหม่ๆ ที่แข่งขันกับระบบดั้งเดิมของธนาคาร ด้วยความเร็ว ค่าบริการที่ต่ำกว่า และประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่า

เปรียบเทียบ SWIFT กับบริการ Fintech ยอดนิยม

บริษัท Fintech หลายแห่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดการโอนเงินระหว่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้การโอนรวดเร็วและโปร่งใสกว่า เช่น

– **Wise (เดิมคือ TransferWise):** ใช้อัตราแลกเปลี่ยนจริง (Mid-market rate) และค่าธรรมเนียมที่ชัดเจน ไม่มี hidden fees โอนเงินไปหลายประเทศได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
– **Remitly:** เหมาะสำหรับการส่งเงินไปยังประเทศในเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา มีตัวเลือกการรับเงินทั้งเข้าบัญชี รับเป็นเงินสด หรือเติมกระเป๋าเงินดิจิทัล

**ข้อดีของ Fintech:**
– ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าและโปร่งใสมากกว่า
– ความเร็วในการโอนสูง บางครั้งภายในไม่กี่นาที
– ใช้งานง่ายผ่านแอป ไม่ต้องไปธนาคาร

อย่างไรก็ตาม บริการเหล่านี้อาจมีข้อจำกัด เช่น วงเงินโอนต่อครั้ง หรือประเทศปลายทางที่รองรับไม่ครบทุกประเทศ ดังนั้นควรศึกษาให้ดีก่อนใช้

PromptPay: ระบบการชำระเงินในประเทศที่แตกต่างจาก SWIFT

PromptPay เป็นระบบที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยให้การโอนเงินภายในประเทศเป็นเรื่องง่าย โดยผูกกับหมายเลขบัตรประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์ อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่า **PromptPay ไม่สามารถใช้โอนเงินไปต่างประเทศได้** และไม่เกี่ยวข้องกับระบบ SWIFT

– **PromptPay:** ใช้สำหรับโอนเงินใน **ประเทศไทยเท่านั้น**
– **SWIFT:** ใช้สำหรับโอนเงิน **ระหว่างประเทศเท่านั้น**

ดังนั้น หากคุณต้องการส่งเงินไปต่างประเทศ คุณจะต้องใช้ระบบ SWIFT หรือบริการ Fintech ที่รองรับการโอนข้ามประเทศ ไม่สามารถใช้ PromptPay ได้

สรุป: SWIFT Code กุญแจสำคัญสู่การเงินไร้พรมแดน

SWIFT ไม่ใช่แค่ระบบการสื่อสาร แต่คือโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ระบบการเงินระหว่างประเทศทำงานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย SWIFT Code หรือ BIC เป็นรหัสที่ช่วยระบุตัวตนธนาคารอย่างแม่นยำ ทำให้การส่งเงินข้ามประเทศเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว

สำหรับผู้ใช้งานในประเทศไทย การเข้าใจวิธีใช้ SWIFT Code ไม่เพียงช่วยให้คุณส่งหรือรับเงินจากต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้คุณเปรียบเทียบทางเลือกต่างๆ อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการผ่านธนาคารแบบดั้งเดิม หรือเลือกใช้ Fintech ที่เน้นความเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ การใช้รหัส SWIFT อย่างถูกต้องจึงเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้ไว้ในโลกการเงินยุคใหม่ที่ไร้พรมแดน

SWIFT Code ของธนาคารชั้นนำในประเทศไทยมีอะไรบ้าง?

ธนาคารชั้นนำในประเทศไทยแต่ละแห่งมี SWIFT Code เป็นของตัวเอง ตัวอย่างเช่น

  • ธนาคารกสิกรไทย: KASITHBK
  • ธนาคารกรุงไทย: KRTHTHBK
  • ธนาคารกรุงเทพ: BBLATHBK
  • ธนาคารไทยพาณิชย์: SICOTHBK

คุณสามารถดูรายการเพิ่มเติมได้ในส่วน “ตาราง SWIFT Code ของธนาคารชั้นนำในประเทศไทย” ของบทความนี้ หรือตรวจสอบจากเว็บไซต์ทางการของธนาคารที่คุณใช้บริการ

ถ้าฉันไม่มี SWIFT Code สามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้หรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว

คุณไม่สามารถโอนเงินระหว่างประเทศผ่านธนาคารโดยตรงได้หากไม่มี SWIFT Code

เนื่องจาก SWIFT Code เป็นรหัสที่ใช้ระบุธนาคารผู้รับปลายทาง การไม่มีรหัสนี้จะทำให้ธนาคารผู้ส่งไม่สามารถระบุเส้นทางการเงินได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มีทางเลือกอื่น เช่น การใช้บริการโอนเงินผ่านแพลตฟอร์ม Fintech บางแห่งที่อาจไม่ต้องการ SWIFT Code ในบางกรณี แต่โดยพื้นฐานแล้ว SWIFT Code เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่

ค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่าน SWIFT ในไทยแพงกว่าบริการอื่น เช่น Wise หรือไม่?

โดยส่วนใหญ่แล้ว

ค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่าน SWIFT ของธนาคารในประเทศไทยมักจะสูงกว่าบริการโอนเงินผ่านแพลตฟอร์ม Fintech เช่น Wise (TransferWise)

เนื่องจากระบบ SWIFT อาจมีค่าธรรมเนียมจากธนาคารตัวกลางหลายแห่ง รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจไม่ใช่อัตราตลาดกลาง ในขณะที่บริการ Fintech มักจะเน้นความโปร่งใสของค่าธรรมเนียมและใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับธนาคาร ปริมาณเงิน และประเทศปลายทาง คุณควรเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ แหล่งก่อนตัดสินใจโอนเงิน

ฉันควรทำอย่างไรหากโอนเงินผ่าน SWIFT ไปแล้ว แต่ผู้รับยังไม่ได้รับเงิน?

หากผู้รับยังไม่ได้รับเงินหลังจากการโอนผ่าน SWIFT เกินระยะเวลาที่คาดไว้ (โดยปกติ 1-5 วันทำการ) สิ่งที่คุณควรทำคือ:

  1. ตรวจสอบข้อมูลการโอนเงินอีกครั้ง: ตรวจสอบว่า SWIFT Code, หมายเลขบัญชี, ชื่อผู้รับ และจำนวนเงินถูกต้องหรือไม่
  2. ติดต่อธนาคารที่คุณส่งเงิน: แจ้งให้ธนาคารทราบถึงปัญหา พร้อมหลักฐานการโอนเงิน (เช่น ใบเสร็จ หรือเอกสารยืนยัน) ธนาคารจะช่วยตรวจสอบสถานะการโอนและประสานงานกับธนาคารตัวกลางหรือธนาคารผู้รับ
  3. รอการดำเนินการจากธนาคาร: การติดตามเงินที่โอนไปแล้วอาจใช้เวลาพอสมควร ธนาคารจะแจ้งความคืบหน้าให้คุณทราบ

SWIFT Code แตกต่างจาก PromptPay อย่างไร และควรใช้เมื่อไหร่?

SWIFT Code และ PromptPay มีวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง:

  • SWIFT Code: ใช้สำหรับการโอนเงิน

    ระหว่างประเทศเท่านั้น

    เพื่อระบุธนาคารปลายทาง

  • PromptPay: เป็นระบบการชำระเงิน

    ภายในประเทศไทยเท่านั้น

    ใช้สำหรับโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารในประเทศ โดยผูกกับหมายเลขบัตรประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์

ดังนั้น คุณควรใช้ SWIFT Code เมื่อต้องการส่งหรือรับเงินจากต่างประเทศ และใช้ PromptPay เมื่อต้องการโอนเงินภายในประเทศไทย

จำเป็นต้องใช้ SWIFT Code เมื่อรับเงินจากต่างประเทศเข้าบัญชีธนาคารไทยหรือไม่?

ใช่

คุณจำเป็นต้องให้ SWIFT Code ของธนาคารที่คุณมีบัญชีในประเทศไทยแก่ผู้ส่งเงินจากต่างประเทศ

เพื่อให้เงินถูกส่งมายังธนาคารของคุณได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ผู้ส่งเงินจะใช้ SWIFT Code นี้ในการระบุธนาคารที่คุณต้องการให้เงินเข้า

ฉันจะหา SWIFT Code ของธนาคารกรุงไทย (Krungthai Bank) ได้จากที่ไหน?

SWIFT Code ของธนาคารกรุงไทยคือ

KRTHTHBK

คุณสามารถหาข้อมูลนี้ได้จาก:

  • เว็บไซต์ทางการของธนาคารกรุงไทย ในส่วนบริการโอนเงินระหว่างประเทศ
  • แอปพลิเคชัน Mobile Banking ของธนาคารกรุงไทย
  • สอบถามจากเจ้าหน้าที่ธนาคารโดยตรง
  • สมุดบัญชีธนาคาร

การโอนเงินผ่าน SWIFT มีความปลอดภัยมากแค่ไหนในปัจจุบัน?

ระบบ SWIFT ได้รับการออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูง

โดยมีการใช้การเข้ารหัสข้อมูลที่ซับซ้อนและโปรโตคอลการตรวจสอบความถูกต้องหลายชั้น

เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและรับรองความถูกต้องของข้อความทางการเงินที่ส่งผ่านเครือข่าย ธนาคารทั่วโลกเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือของ SWIFT ในฐานะมาตรฐานสากลสำหรับการสื่อสารทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของธุรกรรมยังขึ้นอยู่กับความระมัดระวังของผู้ใช้งานในการตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนการโอนเงิน