บทนำ: ทำความเข้าใจ “แนวต้าน” หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่มีพลังและถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่นักเทรดและนักลงทุนคือ “แนวต้าน” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ไม่ว่าคุณจะทำกำไรจากหุ้นไทย ซื้อขายทองคำ หรือเก็งกำไรในตลาด Forex การอ่านกราฟอย่างเข้าใจและจับจุดที่ราคาอาจหยุดขึ้นหรือกลับตัวลงได้ ย่อมเปิดโอกาสให้คุณวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจแนวต้านในมิติลึก เริ่มตั้งแต่ความหมาย วิธีระบุ กลยุทธ์การใช้งานจริงในตลาดไทย ไปจนถึงข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้คุณก้าวข้ามการคาดเดา กลายเป็นผู้เล่นที่มีข้อมูลและวินัยเหนือกว่า
แนวต้านคืออะไร? นิยามและหลักการพื้นฐานที่ต้องรู้

คำจำกัดความของแนวต้าน
แนวต้านคือบริเวณหรือระดับราคาบนกราฟ ที่เมื่อราคาขยับเข้าใกล้ มักจะเกิดแรงขายออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาชะลอตัวหรือกลับตัวลง แนวคิดเบื้องหลังคือ เมื่อสินทรัพย์มีราคาขยับขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง ผู้ที่เคยซื้อไว้ในราคาที่ต่ำกว่าจะเริ่มพิจารณาขายทำกำไร ในขณะเดียวกัน ผู้ที่เคยขาดทุนหรือซื้อในราคาสูงก่อนหน้าก็อาจต้องการขายออกเพื่อลดความเสี่ยง สิ่งเหล่านี้รวมกันกลายเป็นอุปทานที่มากกว่าอุปสงค์ ส่งผลให้ราคาไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น แนวต้านจึงถูกมองว่าเป็น “เพดาน” ที่จำกัดการเคลื่อนไหวขึ้นของราคา
แนวต้านกับแนวรับ: สองขั้วที่ขาดกันไม่ได้
หากแนวต้านคือ “เพดาน” ที่กันไม่ให้ราคาขึ้นต่อ แนวรับก็คือ “พื้น” ที่ช่วยพยุงไม่ให้ราคาลงลึก ทั้งสองแนวคิดนี้ทำงานร่วมกันอย่างแยกไม่ออกและเป็นหัวใจของการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา แนวรับเกิดจากแรงซื้อสะสมที่เข้ามารับราคาไว้เมื่อตลาดเริ่มอ่อนตัว ทำให้ราคาหยุดลงและมีโอกาสเด้งกลับขึ้นได้ การต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายที่สะท้อนผ่านแนวรับและแนวต้านนี้ คือพลวัตที่ทำให้กราฟราคาไม่ใช่แค่เส้นเดินเรื่อย ๆ แต่เป็นภาพสะท้อนของจิตวิทยาตลาดที่ลึกซึ้ง
คุณสมบัติ | แนวต้าน (Resistance) | แนวรับ (Support) |
---|---|---|
ความหมาย | ระดับราคาที่แรงขายมีอำนาจเหนือกว่าแรงซื้อ | ระดับราคาที่แรงซื้อมีอำนาจเหนือกว่าแรงขาย |
ผลกระทบต่อราคา | ราคาที่ปรับขึ้นมีแนวโน้มที่จะหยุดหรือกลับตัวลง | ราคาที่ปรับลงมีแนวโน้มที่จะหยุดหรือกลับตัวขึ้น |
บทบาท | เปรียบเสมือน “เพดาน” | เปรียบเสมือน “พื้น” |
การก่อตัว | เกิดจากผู้ขายทำกำไรหรือผู้ที่ติดดอยต้องการขายออก | เกิดจากผู้ซื้อต้องการซื้อหรือผู้ที่ช้อนซื้อเพื่อเก็งกำไร |
การเทรด | ใช้เป็นจุดทำกำไร, จุดขาย, หรือจุดเปิดสถานะ Short | ใช้เป็นจุดเข้าซื้อ, จุดทำกำไร, หรือจุดเปิดสถานะ Long |
วิธีการหาและระบุแนวต้านบนกราฟอย่างแม่นยำ

การใช้จุดสูงสุดในอดีต (Historical Highs)
หนึ่งในวิธีที่ง่ายและแม่นยำที่สุดในการหาแนวต้านคือการย้อนกลับไปดูจุดสูงสุดในอดีตบนกราฟแท่งเทียน เมื่อราคาเคยขึ้นไปถึงระดับหนึ่งแล้วถูกผลักกลับลงมาหลายครั้ง บริเวณนั้นจะถูกจารึกในความทรงจำของนักลงทุน กลายเป็นจุดที่หลายคนรอขายเมื่อราคาขยับกลับมาอีกครั้ง ยิ่งมีการทดสอบระดับนี้หลายครั้งโดยไม่สามารถปิดเหนือได้ ความแข็งแกร่งของแนวต้านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น การใช้จุดสูงสุดซ้ำ ๆ เหล่านี้ช่วยให้คุณวางตำแหน่งได้แม่นยำและตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล
การใช้เส้นแนวโน้ม (Trendlines) และช่องราคา (Channels)
ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เส้นแนวโน้มเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับแนวโน้มขาขึ้น คุณสามารถลากเส้นจากจุดสูงสุดย่อย ๆ ที่ราคาพยายามขึ้นไปแต่ถูกผลักกลับลงมาได้ ซึ่งเส้นนี้จะทำหน้าที่เป็นแนวต้านแบบไดนามิก หรือเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา หากต่อเนื่องกันจนเกิดเป็นช่องราคา (Price Channel) เส้นด้านบนของช่องนี้ก็จะกลายเป็นแนวต้านหลักที่สามารถใช้คาดการณ์ขอบเขตบนของการเคลื่อนไหวราคาในอนาคตได้อย่างชัดเจน
แนวต้านทางจิตวิทยาและตัวเลขกลมๆ (Psychological & Round Numbers)
ไม่ใช่แค่จุดสูงสุดในอดีตเท่านั้นที่สร้างแรงต้าน ตัวเลขกลม ๆ เช่น 100, 500 หรือ 1,000 บาท สำหรับหุ้นไทย หรือ 1,800 ดอลลาร์สำหรับทองคำ มักกลายเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาที่ทรงพลัง นักลงทุนหลายคนมีพฤติกรรมร่วมกันในการตัดสินใจขายหรือซื้อเมื่อราคาแตะระดับเหล่านี้ ทำให้เกิดแรงซื้อหรือแรงขายที่กระจุกตัว แม้จะไม่มีเหตุผลด้านพื้นฐานหรือเทคนิคที่ชัดเจน แต่พลังของจิตวิทยารวมกลุ่มก็ทำให้ตัวเลขเหล่านี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
แนวต้านเคลื่อนที่ (Dynamic Resistance) ด้วยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
แนวต้านไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นแนวนอนที่ตายตัวเสมอไป แนวต้านเคลื่อนที่ (Dynamic Resistance) เป็นแนวคิดที่ช่วยให้การวิเคราะห์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น SMA หรือ EMA มักทำหน้าที่เป็นแนวต้านในช่วงแนวโน้มขาลง เมื่อราคาพยายามดีดตัวขึ้น มักจะชนกับเส้นค่าเฉลี่ยแล้วถูกกดกลับลงมา การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยให้คุณติดตามแนวต้านที่ปรับตัวตามตลาดได้แบบเรียลไทม์
กลยุทธ์การเทรดด้วยแนวต้าน: ทำกำไรและบริหารความเสี่ยง
การเข้าซื้อและขายทำกำไร (Entry & Take Profit)
แนวต้านไม่ใช่แค่จุดสิ้นสุดของการขึ้น แต่เป็นจุดที่ควรตั้งเป้าหมายทำกำไร นักเทรดหลายรายจะเริ่มทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านที่แข็งแกร่ง เพราะความเสี่ยงที่ราคาจะกลับตัวลงมีสูง อย่างไรก็ตาม หากแนวต้านถูกทะลุอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะมีปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่สูงร่วมด้วย จุดนั้นอาจกลายเป็นโอกาสในการเข้าซื้อตามเทรนด์ เพราะแนวต้านที่ถูกเจาะทะลุมักจะเปลี่ยนบทบาทกลายเป็นแนวรับใหม่ในอนาคต
การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) อย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารความเสี่ยงคือกุญแจสำคัญของความอยู่รอดในตลาด การใช้แนวต้านช่วยในการวางจุดตัดขาดทุนได้อย่างมีเหตุผล ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดสถานะขาย (Short) ที่แนวต้าน ควรตั้งจุด Stop-Loss ไว้เหนือแนวต้านเล็กน้อย เพื่อป้องกันกรณีที่ราคาทะลุขึ้นไปผิดคาด ในทางกลับกัน หากคุณเข้าซื้อหลังจากแนวต้านถูกทะลุ สามารถใช้แนวต้านเดิมที่กลายเป็นแนวรับเป็นจุด Stop-Loss ได้ทันที วิธีนี้ช่วยให้คุณจำกัดความเสียหายและรักษาเงินทุนเอาไว้ได้อย่างมีวินัย
เมื่อแนวต้านกลายเป็นแนวรับ: S/R Flip Strategy
ปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองที่สุดอย่างหนึ่งในเทคนิคอลคือ “S/R Flip” หรือการพลิกบทบาทจากแนวต้านเป็นแนวรับ เมื่อราคาสามารถปิดเหนือแนวต้านเดิมได้อย่างมั่นคง มันแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสมดุลของตลาด แรงซื้อได้เอาชนะแรงขาย และจุดเดิมที่เคยเป็นอุปสรรค กลับกลายเป็นจุดที่นักลงทุนใหม่เข้ามารับซื้อ นักเทรดมืออาชีพมักใช้กลยุทธ์นี้ในการหาจุดเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับใหม่ที่เดิมเป็นแนวต้าน
เจาะลึกแนวต้านในตลาดเฉพาะทางของไทย
แนวต้านในตลาดหุ้นไทย (SET): กรณีศึกษา
ในตลาดหุ้นไทย แนวต้านมีบทบาทชัดเจนทั้งในระดับหุ้นรายตัวและดัชนี SET ตัวอย่างเช่น ดัชนี SET Index มักเจอแรงขายเมื่อเข้าใกล้ระดับ 1,500 หรือ 1,600 จุด ซึ่งเป็นตัวเลขทางจิตวิทยาที่นักลงทุนให้ความสำคัญ สำหรับหุ้นกลุ่มใหญ่ เช่น PTT, SCB หรือ AOT แนวต้านมักเกิดจากจุดสูงสุดในอดีตที่ผ่านมาหลายครั้ง แต่ไม่สามารถยืนเหนือได้ การศึกษากราฟย้อนหลังจะช่วยให้เห็นรูปแบบการถูกผลักกลับอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ระยะกลางถึงยาว
แนวต้านในการเทรดทองคำและ Forex สำหรับคนไทย
นักเทรดไทยที่เข้าสู่ตลาดทองคำหรือ Forex ควรตระหนักว่าแนวต้านมีบทบาทไม่แพ้กัน แม้ตลาดเหล่านี้จะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยโลก แต่ระดับราคาที่เคยถูกทดสอบและถูกผลักกลับ เช่น ราคาทองคำที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคู่เงิน USD/THB ที่ระดับ 36.50 มักกลายเป็นแนวต้านที่ชัดเจน เนื่องจากมีนักเทรดทั่วโลกเฝ้าติดตาม การใช้แนวต้านร่วมกับการติดตามข่าวเศรษฐกิจโลกและดัชนีเศรษฐกิจจะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์ได้ดีขึ้น สำหรับข้อมูลการเทรดทองคำเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จาก ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่งมีเนื้อหาที่เข้าใจง่ายและตรงกับบริบทไทย
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้แนวต้านและวิธีหลีกเลี่ยง
การยึดติดกับแนวต้านเส้นเดียว (Over-reliance on Single Lines)
หนึ่งในความผิดพลาดที่พบมากที่สุดคือการมองแนวต้านเป็นเส้นแนวนอนเดี่ยวที่ตายตัว ในความเป็นจริง แนวต้านควรถูกมองเป็น “โซน” หรือ “พื้นที่” ที่มีแรงขายสะสมอยู่ ราคาอาจทะลุขึ้นไปเล็กน้อยก่อนกลับตัว หรือกลับตัวก่อนถึงเส้นเล็กน้อย การมองเป็นโซนแทนที่จะเป็นจุดช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นและลดโอกาสที่จะถูก Stop-Loss โดยไม่จำเป็น
การเพิกเฉยต่อปัจจัยพื้นฐานและข่าวสาร (Ignoring Fundamentals & News)
การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ควรแยกขาดจากปัจจัยพื้นฐานและข่าวสาร ข่าวเศรษฐกิจ ผลประกอบการ หรือความตึงเครียดทางการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมราคาได้ในชั่วข้ามคืน แม้แนวต้านจะดูแข็งแกร่งเพียงใด ก็อาจถูกทำลายได้ด้วยแรงซื้อจากข่าวดี ดังนั้น ควรใช้การวิเคราะห์เทคนิคร่วมกับการติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ สำหรับข้อมูลข่าวสารที่เชื่อถือได้ในตลาดหุ้นไทย สามารถเข้าถึงได้จาก เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
สรุป: แนวต้าน เครื่องมือสำคัญสู่การเป็นนักเทรดที่เหนือกว่า
แนวต้านไม่ใช่แค่แนวคิดพื้นฐาน แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ช่วยให้คุณอ่านกราฟได้ลึกขึ้นและตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น การฝึกฝนการระบุแนวต้านอย่างแม่นยำ รู้จักกลยุทธ์การใช้งาน และเข้าใจข้อจำกัดและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น จะทำให้คุณมีความได้เปรียบเหนือนักเทรดทั่วไป ไม่ว่าคุณจะลงทุนในหุ้นไทย ทองคำ หรือ Forex การใช้แนวต้านร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ และวินัยในการบริหารความเสี่ยง จะเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว อย่าหยุดเรียนรู้ เพราะความรู้คือสินทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดค่า
1. แนวต้านคืออะไรในภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด และทำไมต้องรู้?
แนวต้านคือระดับราคาที่สินทรัพย์เคยขึ้นไปถึงแล้วถูกขายกลับลงมาซ้ำๆ เหมือนเป็น “กำแพง” หรือ “เพดาน” ที่ขวางไม่ให้ราคาขึ้นไปสูงกว่านั้นได้ง่ายๆ ครับ เราต้องรู้แนวต้านเพราะมันช่วยให้เราคาดเดาได้ว่าราคาอาจจะชะลอตัวหรือกลับตัวลงเมื่อมาถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการวางแผนขายทำกำไรหรือชะลอการซื้อครับ
2. แนวต้านกับแนวรับต่างกันอย่างไร และทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไรในการเทรด?
แนวต้านคือระดับราคาที่แรงขายมีมากกว่าแรงซื้อ ทำให้ราคาที่ขึ้นไปมักจะถูกกดลงมา ส่วนแนวรับคือระดับราคาที่แรงซื้อมีมากกว่าแรงขาย ทำให้ราคาที่ลงมามักจะถูกดันขึ้นไป ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันเหมือนพื้นกับเพดานของราคาในแต่ละช่วง และเมื่อแนวต้านถูกทะลุขึ้นไปได้ มันมักจะพลิกบทบาทกลายเป็นแนวรับใหม่ในอนาคต ทำให้เป็นจุดสำคัญในการตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายครับ
3. เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแนวต้านที่เราเห็นนั้น “แข็งแกร่ง” หรือ “อ่อนแอ”?
- แนวต้านแข็งแกร่ง: ราคาเคยทดสอบหลายครั้งแล้วไม่ผ่าน, มีปริมาณการซื้อขายสูงเมื่อถึงระดับนั้น, เป็นจุดสูงสุดในอดีตที่สำคัญมากๆ, หรือเป็นแนวต้านทางจิตวิทยา (เช่น ตัวเลขกลมๆ) ที่นักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้
- แนวต้านอ่อนแอ: ราคาเคยทดสอบมาไม่กี่ครั้ง, หรือเป็นแนวต้านที่เกิดจากจุดสูงสุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญมากนัก มีโอกาสที่ราคาจะทะลุผ่านได้ง่ายกว่า
4. ถ้าแนวต้านถูกทะลุขึ้นไปแล้ว ราคาหุ้นไทยหรือทองคำจะไปทางไหนต่อ?
หากแนวต้านที่แข็งแกร่งถูกทะลุขึ้นไปได้ด้วยแรงซื้อที่มากพอ (มักจะมาพร้อมวอลุ่มที่สูง) นี่คือสัญญาณที่เรียกว่า “Breakout” ซึ่งบ่งชี้ว่าราคามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีกครับ และแนวต้านที่ถูกทะลุนั้นมักจะเปลี่ยนบทบาทกลายเป็นแนวรับใหม่ที่แข็งแกร่งในอนาคตเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบ
5. มีเครื่องมือหรืออินดิเคเตอร์ไหนที่สามารถนำมาใช้ร่วมกับแนวต้าน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรดได้บ้าง?
แน่นอนครับ เครื่องมือที่นิยมใช้ร่วมกับแนวต้านเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ได้แก่:
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages): ใช้เป็นแนวต้านเคลื่อนที่หรือยืนยันแนวโน้ม
- ปริมาณการซื้อขาย (Volume): วอลุ่มที่สูงเมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านอาจบ่งชี้ถึงการต่อสู้ที่รุนแรง
- RSI หรือ MACD: ใช้ดูสัญญาณ Overbought/Oversold หรือ Divergence ที่อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวใกล้แนวต้าน
- Fibonacci Retracement: ใช้หาแนวต้านที่เป็นไปได้ตามสัดส่วนฟีโบนักชี
6. แนวต้านสามารถใช้ได้กับตลาดหุ้นไทย, Forex, และทองคำเหมือนกันหมดหรือไม่ หรือมีข้อควรระวังต่างกัน?
หลักการของแนวต้านสามารถใช้ได้กับทุกตลาดสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย, Forex, ทองคำ, หรือแม้แต่คริปโตเคอร์เรนซีครับ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังที่ต่างกัน:
- ตลาดหุ้นไทย: อาจได้รับอิทธิพลจากข่าวเฉพาะหุ้น, ผลประกอบการ, และปัจจัยภายในประเทศ
- Forex/ทองคำ: ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากข่าวเศรษฐกิจมหภาค, อัตราดอกเบี้ย, และเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้มีความผันผวนสูง
ดังนั้น ควรปรับการใช้และพิจารณาปัจจัยเฉพาะของแต่ละตลาดร่วมด้วยเสมอ
7. ข้อผิดพลาดอะไรที่นักลงทุนไทยมักทำบ่อยๆ ในการใช้แนวต้าน และมีวิธีหลีกเลี่ยงอย่างไร?
- ยึดติดกับเส้นเดียว: ควรพิจารณาแนวต้านเป็น “โซน” แทนที่จะเป็นเส้นที่ตายตัว
- ไม่ดูวอลุ่ม: การทะลุแนวต้านที่ไม่มีวอลุ่มรองรับมักเป็นสัญญาณหลอก
- เพิกเฉยข่าวสาร: ข่าวสำคัญสามารถทำลายแนวต้านที่แข็งแกร่งได้
- ไม่ตั้ง Stop-Loss: การไม่จำกัดความเสี่ยงเมื่อแนวต้านถูกทะลุอาจทำให้ขาดทุนหนัก
วิธีหลีกเลี่ยงคือการใช้เครื่องมือหลายอย่างประกอบกัน, ติดตามข่าวสาร, และบริหารความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop-Loss เสมอ
8. หากต้องการเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องแนวต้าน ควรมีพื้นฐานอะไรมาก่อน และแหล่งข้อมูลภาษาไทยที่ดีในการศึกษาเพิ่มเติมมีที่ไหนบ้าง?
ผู้เริ่มต้นควรมีพื้นฐานความเข้าใจเรื่องกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) และแนวโน้มราคา (Trend) มาก่อน แหล่งข้อมูลภาษาไทยที่ดีในการศึกษาเพิ่มเติม ได้แก่:
- เว็บไซต์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีบทความและคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี
- เว็บไซต์ของโบรกเกอร์ต่างๆ ที่มักจะมีบทความความรู้ด้านการลงทุน
- ช่อง YouTube หรือเพจ Facebook ของนักวิเคราะห์ไทยที่น่าเชื่อถือ
- หนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคภาษาไทย
9. “แนวต้านเคลื่อนที่” (Dynamic Resistance) คืออะไร และแตกต่างจากแนวต้านปกติที่เราวาดเส้นอย่างไร?
แนวต้านปกติที่เราวาดเส้นมักจะเป็น “แนวต้านคงที่” ที่เกิดจากจุดสูงสุดในอดีต ซึ่งระดับราคาจะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน “แนวต้านเคลื่อนที่” (Dynamic Resistance) เป็นแนวต้านที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนไหวของราคา มักใช้เครื่องมือเช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้จะปรับขึ้นลงตามราคาและทำหน้าที่เป็นแนวต้านในแนวโน้มขาลง ทำให้การวิเคราะห์มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับแนวโน้มปัจจุบันมากขึ้นครับ
10. การใช้แนวต้านช่วยในการวางแผน Stop-Loss และ Take Profit ในการเทรดหุ้น/คริปโตในไทยได้อย่างไร?
แนวต้านมีบทบาทสำคัญในการวางแผน Stop-Loss และ Take Profit:
- Take Profit: เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน นักเทรดสามารถพิจารณาขายทำกำไรได้ เพราะมีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลง
- Stop-Loss: หากคุณเปิดสถานะ Short โดยคาดว่าราคาจะลงจากแนวต้าน คุณสามารถตั้ง Stop-Loss ไว้เหนือแนวต้านเล็กน้อย เพื่อจำกัดการขาดทุนหากราคาผิดทาง และหากคุณเปิดสถานะ Long และราคาเกิดการทะลุแนวต้านไปได้ คุณอาจเลื่อน Stop-Loss ขึ้นมาที่ระดับแนวต้านเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นแนวรับแล้ว เพื่อล็อกกำไรครับ