บทนำ: Burry ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่เป็นสัญลักษณ์ของตำนานการลงทุน

เมื่อพูดถึงคำว่า “Burry” หลายคนอาจเกิดความสับสน เพราะมันฟังดูคล้ายกับคำศัพท์ทั่วไปอย่าง “bury” ที่แปลว่าการฝัง หรือ “berry” ที่หมายถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แต่ในวงการการเงินและตลาดทุน ชื่อนี้ไม่ได้เป็นเพียงคำสามัญ แต่คือชื่อของบุคคลที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การลงทุนโลกอย่างสิ้นเชิง — **Michael Burry**
เขาไม่ใช่แค่นักลงทุนทั่วไป แต่คือผู้ชายที่กล้าท้าทายระบบ มองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และคว้าโอกาสจากความพังทลายของตลาด ด้วยวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ที่เปลี่ยนชะตากรรมของโลกการเงิน Burry กลายเป็นชื่อที่ติดอยู่ในความทรงจำของนักลงทุนทั่วโลก เรื่องราวของเขาไม่ได้จบลงเพียงการเดิมพันครั้งใหญ่ แต่ยังคงดำเนินต่อผ่านกลยุทธ์ การวิเคราะห์ลึก และท่าทีที่ไม่ยอมแพ้ให้กับกระแส สิ่งเหล่านี้ทำให้เขายังคงถูกจับตามองในปี 2024 และ 2025 ไม่ว่าจะเป็นการปรับพอร์ต การเตือนภัยเศรษฐกิจ หรือการลงทุนในหุ้นจีนที่ทำให้ตลาดต้องตั้งคำถาม
บทความนี้จะพาคุณเข้าใจทุกมิติของ Michael Burry ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ไม่น่าเชื่อ ปรัชญาการลงทุนที่ล้ำลึก การวิเคราะห์พอร์ตล่าสุด และที่สำคัญที่สุด คือการแปลงบทเรียนของเขาให้เป็นแนวทางที่นักลงทุนไทยสามารถใช้ได้จริงในบริบทของตลาดหุ้นไทย
ตำนาน Michael Burry: จากเส้นทางแพทย์สู่วิกฤตการณ์ “The Big Short”

Michael Burry คือใคร? เบื้องหลังแพทย์ผู้ผันตัวสู่การลงทุน
ไม่มีใครคาดคิดว่าชายคนหนึ่งที่ใช้เวลาเป็นปีในห้องผ่าตัดและห้องแล็บ จะกลายเป็นนักลงทุนที่ท้าทายวอลล์สตรีทได้สำเร็จ Michael Burry เดิมทีเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้าน แต่ความสนใจในตลาดหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นภายหลัง แต่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยังเป็นหมอ
ในช่วงเวลาว่างจากงานหนัก เขาใช้เวลาอ่านงบการเงิน ศึกษาแนวคิดของ Benjamin Graham และ Warren Buffett และเขียนวิเคราะห์ลงในฟอรัมออนไลน์อย่าง Seeking Alpha ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เขาไม่ได้วิเคราะห์ด้วยความคิดของนักลงทุนทั่วไป แต่ใช้ความละเอียดถี่ถ้วนของแพทย์ในการ “วินิจฉัย” บริษัท มองหาจุดบกพร่องที่ซ่อนอยู่ในงบการเงิน หรือโอกาสที่ตลาดยังไม่ทันตระหนัก
ความสามารถนี้ทำให้เขาได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่ จนในที่สุดตัดสินใจออกจากวงการแพทย์อย่างถาวร เพื่อก่อตั้ง Scion Asset Management ในปี 2000 — ก้าวแรกสู่การเป็นตำนานที่ยังคงดำเนินต่อ
ย้อนรอย “The Big Short”: การทำนายวิกฤตการณ์ซับไพรม์

จุดเปลี่ยนของ Michael Burry เกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 2000 เมื่อเขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติในตลาดสินเชื่อบ้านสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มซับไพรม์ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ให้กับผู้กู้ที่มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี หรือไม่มีหลักฐานรายได้ชัดเจน แต่กลับถูกบรรจุอยู่ในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ AAA
Burry ใช้เวลาหลายเดือนในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์โครงสร้างหนี้ และสังเกตพฤติกรรมของผู้ให้กู้ เขาพบว่าความเสี่ยงเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ความซับซ้อนของตราสารอนุพันธ์ และตลาดทั้งหมดกำลังพึ่งพาสมมติฐานที่ผิดว่า “ราคาบ้านจะไม่ตก”
ด้วยความเชื่อมั่นในข้อมูล เขาตัดสินใจ “เดิมพันกับการล่มสลายของตลาด” โดยซื้อ Credit Default Swaps (CDS) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะได้กำไรเมื่อตราสารหนี้เหล่านี้ผิดนัดชำระหนี้ แม้จะถูกนักลงทุนรายใหญ่และเพื่อนร่วมวงการเยาะเย้ย ถูกมองว่า “บ้า” และเผชิญแรงกดดันจากผู้ลงทุนในกองทุน แต่เขาก็ยืนหยัด
เมื่อวิกฤตการเงินโลกปะทุในปี 2008 คำทำนายของเขาเป็นจริงอย่างทุกประการ ตลาดอสังหาริมทรัพย์พังทลาย สถาบันการเงินล้มระนาว และ Scion Asset Management ทำผลตอบแทนได้มากกว่า 489% ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปี การเดิมพันที่ดูบ้าวิกลจริต กลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเงิน
เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดผ่านหนังสือ *The Big Short* โดย Michael Lewis และต่อมาได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อเดียวกัน ซึ่ง Christian Bale รับบทเป็น Burry ด้วยบุคลิกที่เงียบขรึม แต่หนักแน่นในความคิดตัวเอง จนกลายเป็นภาพจำที่ตราตรึงในใจผู้ชม
ปรัชญาการลงทุนหลักของ Michael Burry: คุณค่า สวนกระแส และการวิจัยเชิงลึก
“มองหาสินทรัพย์ที่ราคาผิดเพี้ยน”: ผู้ปฏิบัติการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
แก่นแท้ของปรัชญาการลงทุนของ Michael Burry คือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ซึ่งยึดหลักว่า ราคาตลาดไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์เสมอไป โดยเฉพาะในช่วงที่อารมณ์ของนักลงทุน — ไม่ว่าจะเป็นความกลัวหรือความโลภ — ครอบงำการตัดสินใจ
เขาเชื่อว่า โอกาสทองมาพร้อมกับความผิดปกติของตลาด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ถูกเทขายอย่างไร้เหตุผล หรือเมื่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกลับได้รับการประเมินราคาสูงเกินจริง
Burry ใช้เวลาเป็นเดือนในการเจาะลึกงบการเงิน วิเคราะห์กระแสเงินสด ประเมินค่าบริษัทตามมูลค่ากิจการ (Enterprise Value) และหาสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เช่น หนี้ซ่อนเร้น ปัจจัยเสี่ยงจากกฎระเบียบ หรือแนวโน้มอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลง เขาไม่เชื่อในข่าวลือ ไม่ติดตามกระแสโซเชียลมีเดีย และไม่สนใจ “หุ้นฮ็อต” ที่พุ่งขึ้นเพราะแรงซื้อชั่วคราว
สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่าง คือความลึกของข้อมูลและความมั่นคงของจิตใจ เขาไม่ต้องการผลตอบแทนเร็ว แต่ต้องการความแม่นยำ และความอดทนรอจังหวะที่เหมาะสมที่สุด
ตรงกันข้ามกับฝูงชน: สติปัญญาการลงทุนแบบสวนกระแสของ Michael Burry
หากจะนิยาม Burry ด้วยคำเพียงคำเดียว “สวนกระแส” คงเป็นคำที่ตรงที่สุด
เขาไม่ใช่ผู้ตาม ไม่ใช่ผู้เชื่อในฉันทามติ แต่เป็นผู้ที่กล้าท้าทายสิ่งที่ทั้งโลกเชื่อว่า “แน่นอน” ในวิกฤตซับไพรม์ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าพูดว่า “ตลาดผิด” และเดิมพันกับมันอย่างหนัก
คำพูดที่กลายเป็นตำนานของเขา — *“จงโลภเมื่อผู้อื่นหวาดกลัว และจงหวาดกลัวเมื่อผู้อื่นโลภ”* — ไม่ใช่แค่คำคม แต่คือแนวทางการลงทุนที่เขาปฏิบัติอยู่เสมอ เขาเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ถูกเทขายในช่วงตลาดตกต่ำ และขายออกเมื่อตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะบูมเกินจริง
การเป็นนักลงทุนสวนกระแสไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องแลกมากับความโดดเดี่ยว แรงกดดันจากผู้ลงทุน และความเสี่ยงที่อาจผิดพลาด แต่สำหรับ Burry ความกลัวเหล่านี้ไม่ใช่ตัวหยุดยั้ง เพราะเขามั่นใจในข้อมูลของตัวเอง และเข้าใจว่า ความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่ได้มาจากการทำเหมือนคนอื่น แต่มาจากการคิดต่าง
เจาะลึกพอร์ตการลงทุนล่าสุดของ Scion Asset Management (ปี 2024/2025)
ถอดรหัสรายงาน 13F: การซื้อและขายล่าสุดของ Burry
ทุกไตรมาส Scion Asset Management ต้องยื่นรายงาน 13F ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ซึ่งเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่ถือครองในปริมาณมากกว่า 10,000 หน่วย ข้อมูลนี้กลายเป็น “แผนที่นำทาง” ที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ติดตามการเคลื่อนไหวของ Michael Burry
จากข้อมูล 13F ที่เปิดเผยในเดือนพฤษภาคม 2024 (Q1 2024) พบว่า Burry ได้ปรับพอร์ตอย่างรุนแรง เขาลดการถือครองหุ้นบางตัวที่เคยเป็นที่สนใจในช่วงก่อนหน้า และหันไปเพิ่มตำแหน่งในหุ้นจีนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ Alibaba และ JD.com ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่ราคาหุ้นร่วงลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลเรื่องการควบคุมของรัฐบาลจีนและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ข้อมูลจาก Bloomberg ชี้ให้เห็นว่า การซื้อหุ้นจีนของ Burry อาจสะท้อนมุมมองว่า หุ้นกลุ่มนี้ถูกประเมินค่าต่ำเกินไป และอาจเป็น “โอกาสทอง” ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าเข้าใกล้
ในขณะเดียวกัน เขายังลดการถือครองหุ้นเทคโนโลยีบางตัว เช่น Palantir และลดการลงทุนในทองคำ ซึ่งเคยเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงหลักในพอร์ตของเขา ท่าทีนี้ทำให้หลายคนตีความว่า เขากำลังมองหาโอกาสเติบโตในตลาดที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แทนที่จะยึดติดกับการป้องกันความเสี่ยงเพียงอย่างเดียว
โฟกัสจีน เทคโนโลยี และสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง: การพิจารณาเชิงกลยุทธ์ของ Burry
การเปลี่ยนแปลงในพอร์ตของ Burry ในปี 2024 สะท้อนกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก เขาไม่ยึดติดกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง แต่ประเมินมูลค่าและโอกาสใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
ตลาดจีนกลายเป็นจุดสนใจหลัก เพราะหลังจากเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากนโยบายภายในประเทศและสงครามการค้า หุ้นจีนหลายตัวร่วงลงอย่างรุนแรง แต่บริษัทชั้นนำยังคงมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง รายได้เติบโต และมีส่วนแบ่งตลาดที่สูง Burry อาจมองเห็นว่า นี่คือช่วงเวลาที่ “ราคาไม่สัมพันธ์กับมูลค่า” — โอกาสทองสำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
ในกลุ่มเทคโนโลยี เขายังคงติดตามบริษัทใหญ่ ๆ อย่างใกล้ชิด แต่เลือกเข้า-ออกตามมูลค่าที่ประเมินได้ ไม่ใช่ตามกระแส AI หรือการพุ่งขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีในช่วงปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เขายังคงให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินสด โดยเฉพาะในช่วงที่เขามีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก การมี “สินทรัพย์ปลอดภัย” ไว้ในพอร์ต ทำให้เขาสามารถรอจังหวะที่เหมาะสมในการเดิมพันครั้งใหญ่ครั้งต่อไป
การคาดการณ์ตลาด: เงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และคำเตือนจาก “The Big Short”
Michael Burry ไม่ใช่แค่นักลงทุนที่มองหาผลกำไร แต่ยังเป็น “ผู้เฝ้าระวัง” ที่คอยเตือนภัยตลาดอยู่เสมอ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาแสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะหลังจากรัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19
เขาเตือนว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น คริปโตเคอร์เรนซี และสินทรัพย์อื่น ๆ อาจเป็นเพียง “ฟองสบู่” ที่เกิดจากสภาพคล่องล้นฟอง ไม่ใช่พื้นฐานที่แท้จริง หากสภาวะเหล่านี้ยังไม่ปรับตัว อาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ที่คล้ายกับวิกฤตปี 2008
แม้คำเตือนของเขาจะดูรุนแรง แต่เป้าหมายไม่ใช่การสร้างความหวาดกลัว แต่คือการกระตุ้นให้นักลงทุน “คิด” และ “เตรียมพร้อม” เขาไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะเชื่อตาม แต่ต้องการให้ทุกคนมีทางเลือกที่ดีกว่าการตามกระแส
ข้อมูลเชิงลึกของ Michael Burry กับการนำไปปรับใช้สำหรับนักลงทุนไทย
มองตลาดไทยจากมุมมองโลก: การประยุกต์ปรัชญา Burry ในบริบทท้องถิ่น
แม้ Michael Burry จะดำเนินการในตลาดสหรัฐฯ แต่หลักการของเขาสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้นไทย (SET) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักลงทุนไทยมักถูกชี้นำโดยข่าวลือ ข่าวด่วน หรือแรงซื้อจากนักเก็งกำไร แต่ปรัชญาของ Burry เสนอทางเลือกที่ต่างออกไป: การกลับไปสู่รากฐานของ “การลงทุน” นั่นคือ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างลึกซึ้ง
ในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือเมื่อหุ้นดีถูกลากลงจากรายการลบหรือข่าวเศรษฐกิจไม่ดี นักลงทุนแบบ Burry จะมองว่า นี่คือโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นคุณภาพในราคาถูก เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน หรืออุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบชั่วคราวแต่มีฐานะการเงินแข็งแรง
นอกจากนี้ การเข้าใจบริบทเศรษฐกิจไทย — ที่พึ่งพาการท่องเที่ยว การส่งออก และนโยบายภาครัฐ — จะช่วยให้เราประเมินผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกได้แม่นยำยิ่งขึ้น การไม่ตื่นตระหนกเมื่อตลาดตก และไม่โลภเกินไปเมื่อตลาดพุ่ง คือหัวใจของการลงทุนอย่างมีวินัย
นักลงทุนไทยจะเรียนรู้การบริหารความเสี่ยงและการจัดสรรสินทรัพย์แบบ Burry ได้อย่างไร
Michael Burry ไม่เคยเดิมพันทั้งหมดในคราวเดียว เขาเข้าใจดีว่าแม้การวิเคราะห์จะแม่นยำ แต่ก็ยังมี “ความไม่แน่นอน” ที่ควบคุมไม่ได้
นักลงทุนไทยควรเรียนรู้จากการจัดสรรพอร์ตของเขา:
– ไม่ทุ่มเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว หรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง
– พิจารณาเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เช่น หุ้นปันผล ทองคำ หรือพันธบัตรรัฐบาลไทย
– เก็บเงินสดไว้บางส่วน เพื่อรอโอกาสเมื่อราคาหุ้นตกต่ำอย่างไม่สมเหตุสมผล
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน การมี “แผนสำรอง” และ “แผนป้องกัน” คือกุญแจสำคัญ นักลงทุนควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า “หากเกิดวิกฤตขึ้นจริง พอร์ตของฉันจะอยู่รอดไหม?”
การศึกษา ความอดทน และความกล้าที่จะไม่ตามกระแส คือสิ่งที่ Michael Burry ทิ้งไว้เป็นมรดกให้กับนักลงทุนทั่วโลก — และนักลงทุนไทยก็สามารถรับมันมาเป็นแนวทางได้เช่นกัน
สรุป: คุณค่าที่ยั่งยืนและอนาคตของ Michael Burry
Michael Burry ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ทำกำไรจากวิกฤต แต่คือสัญลักษณ์ของการลงทุนอย่างมีเหตุผล มีวินัย และกล้าคิดต่าง
เขามอบบทเรียนสำคัญว่า ความสำเร็จไม่ได้มาจากการทำตามคนอื่น แต่มาจากการกล้าที่จะ “เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น” และมีความอดทนรอจนกว่าตลาดจะยอมรับความจริงนั้น
แม้คำทำนายของเขาบางครั้งอาจดูรุนแรงหรือเร็วเกินไป แต่สิ่งที่เขาพูดมักจะกลายเป็นจริงในที่สุด โลกการเงินยังคงจับตาทุกการเคลื่อนไหวของเขา เพราะเบื้องหลังทุกการตัดสินใจ คือข้อมูล ความลึก และมุมมองที่แตกต่าง
สำหรับนักลงทุนไทย การเรียนรู้จาก Burry ไม่ใช่การลอกเลียนแบบการซื้อหุ้นของเขา แต่คือการรับเอามรรคผลของ “การคิดอย่างอิสระ” และ “การลงทุนอย่างมีเหตุผล” มาเป็นพื้นฐาน การวิเคราะห์ลึก การไม่ตามกระแส และการเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ คือคุณค่าที่ยังคงทันสมัย ไม่ว่าจะในปี 2025 หรืออีกหลายทศวรรษข้างหน้า
Michael Burry คือใคร และทำไมเขาถึงเป็นที่รู้จักในวงการการลงทุนไทย?
Michael Burry คือนักลงทุนชาวอเมริกันและผู้ก่อตั้ง Scion Asset Management ผู้โด่งดังจากการทำนายวิกฤตการณ์ซับไพรม์ในปี 2008 ซึ่งเรื่องราวของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ “The Big Short” เขาเป็นที่รู้จักในวงการการลงทุนไทยในฐานะนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าและสวนกระแส ผู้ที่มีความสามารถในการมองเห็นโอกาสและความเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
แนวคิด “The Big Short” ของ Michael Burry มีบทเรียนอะไรที่นักลงทุนไทยควรเรียนรู้?
- การวิจัยเชิงลึก: ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนอย่างถ่องแท้
- การคิดอย่างอิสระ: อย่าไหลตามกระแสหรือความคิดของคนส่วนใหญ่เสมอไป
- ความกล้าหาญ: กล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ แม้จะแตกต่างจากตลาด
- การบริหารความเสี่ยง: การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
Michael Burry มีการปรับพอร์ตการลงทุนล่าสุดอย่างไร และสิ่งนี้บอกอะไรกับตลาดหุ้นไทย?
จากการรายงาน 13F ล่าสุด (Q1 2024) เขาได้เพิ่มการลงทุนในหุ้นจีนบางตัว เช่น Alibaba และ JD.com และลดการถือครองหุ้นบางตัว การเคลื่อนไหวนี้บ่งชี้ว่าเขากำลังมองหาโอกาสในตลาดที่อาจถูกประเมินค่าต่ำเกินไป ซึ่งอาจเป็นสัญญาณให้นักลงทุนไทยพิจารณาถึงโอกาสในตลาดเกิดใหม่หรือหุ้นที่เผชิญกับแรงกดดันแต่มีปัจจัยพื้นฐานดี
Michael Burry คาดการณ์เศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ และประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
Michael Burry มักจะส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นได้ การคาดการณ์นี้มีความสำคัญต่อประเทศไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด หากเศรษฐกิจโลกถดถอย อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยได้ นักลงทุนไทยจึงควรเตรียมพร้อมด้วยการกระจายความเสี่ยงและพิจารณาสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
นักลงทุนไทยจะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ Michael Burry มาปรับใช้กับตลาด SET ได้อย่างไร?
นักลงทุนไทยสามารถนำกลยุทธ์ของ Burry มาปรับใช้ได้โดยการ: 1) วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: เจาะลึกข้อมูลบริษัทใน SET เพื่อหามูลค่าที่แท้จริง 2) สวนกระแส: พิจารณาเข้าซื้อหุ้นดีในราคาถูกช่วงที่ตลาดตกใจ หรือขายทำกำไรเมื่อตลาดเกิดภาวะฟองสบู่ 3) บริหารความเสี่ยง: จัดสรรสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายการลงทุน
คำว่า “burry” นอกจาก Michael Burry แล้ว ยังมีความหมายอื่นอีกหรือไม่ และควรระวังความเข้าใจผิดอย่างไร?
ใช่, คำว่า “burry” อาจทำให้เกิดความสับสนกับคำที่สะกดคล้ายกันในภาษาอังกฤษ เช่น “bury” (v. ฝัง, ซ่อน) หรือ “berry” (n. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่) รวมถึงอาจเป็นชื่อแบรนด์หรือบุคคลอื่น ๆ วิธีหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดคือการตรวจสอบบริบทของการใช้งาน หากอยู่ในบริบททางการเงินหรือการลงทุน มักจะหมายถึง Michael Burry
มีนักลงทุนไทยคนใดที่มีปรัชญาการลงทุนคล้าย Michael Burry ที่น่าติดตามบ้าง?
ในประเทศไทย มีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าและสวนกระแสหลายท่านที่น่าติดตาม เช่น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้บุกเบิกการลงทุนแบบ VI (Value Investor) ในไทย หรือนักลงทุนท่านอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของกิจการอย่างลึกซึ้งและไม่ตามกระแสตลาด นักลงทุนควรศึกษาแนวคิดและผลงานของบุคคลเหล่านี้เพื่อเป็นแนวทาง
หาก Michael Burry มองว่าตลาดบางส่วนมีฟองสบู่ นักลงทุนไทยควรเตรียมตัวอย่างไร?
หาก Michael Burry หรือนักลงทุนท่านอื่นส่งสัญญาณเตือนถึงฟองสบู่ในตลาด นักลงทุนไทยควร 1) ประเมินพอร์ต: ตรวจสอบว่าพอร์ตมีการกระจุกตัวในสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินไปหรือไม่ 2) ลดความเสี่ยง: อาจพิจารณาลดสัดส่วนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง 3) ถือเงินสด/สินทรัพย์ปลอดภัย: เตรียมเงินสดหรือลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพื่อรอโอกาสในอนาคต 4) ศึกษาข้อมูล: ทำความเข้าใจว่า “ฟองสบู่” เกิดขึ้นในภาคส่วนใดและมีเหตุผลรองรับหรือไม่