มาร์จิ้น Forex คืออะไร? – คำจำกัดความและแนวคิดพื้นฐาน

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Forex เป็นหนึ่งในช่องทางการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ด้วยศักยภาพในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความนิยมนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย โดยเฉพาะในเรื่องของเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนอย่าง “มาร์จิ้น” ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสับสนสำหรับเทรดเดอร์จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นที่เพิ่งก้าวเข้ามาในวงการ
มาร์จิ้น หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “เงินประกัน” ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมหรือต้นทุนที่ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ แต่เป็นจำนวนเงินที่ถูกกันไว้ชั่วคราวจากบัญชีของคุณ เพื่อใช้เปิดและรักษาสถานะการเทรดที่ใช้เลเวอเรจ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เงินทุนส่วนหนึ่งที่ถูก “ล็อก” ไว้เพื่อรับประกันว่าคุณมีศักยภาพในการรองรับความเสี่ยงจากตำแหน่งที่เปิดอยู่ หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม โบรกเกอร์จะใช้เงินส่วนนี้เป็นหลักประกัน เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกินกว่าเงินทุนของคุณ
ความสัมพันธ์ระหว่างมาร์จิ้นกับเลเวอเรจเป็นหัวใจสำคัญของกลไกการเทรดในฟอเรกซ์ เลเวอเรจทำให้คุณสามารถควบคุมมูลค่าการเทรดที่ใหญ่กว่าเงินทุนจริงได้หลายเท่า เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า ด้วยเงินเพียง 1,000 ดอลลาร์ คุณสามารถเทรดในมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ได้ แต่เงิน 1,000 ดอลลาร์นั้นก็คือมาร์จิ้นที่ต้องวางไว้ ดังนั้น มาร์จิ้นจึงเป็นกลไกที่ทำให้เลเวอเรจทำงานได้ ขณะเดียวกันก็เป็นแนวทางป้องกันความเสี่ยงให้ทั้งโบรกเกอร์และตัวเทรดเดอร์เอง
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในกลุ่มผู้เริ่มต้นในไทยคือ การมองว่ามาร์จิ้นเป็นค่าใช้จ่ายเหมือนค่าคอมมิชชั่น หรือค่าสเปรด ซึ่งไม่ถูกต้องแต่อย่างใด เงินมาร์จิ้นไม่หายไปไหน มันยังคงอยู่ในบัญชีของคุณในรูปแบบที่ถูกจองไว้ และจะกลับมาเป็นเงินที่ใช้ได้ทันทีเมื่อคุณปิดสถานะการเทรดทั้งหมด
รู้จักประเภทของมาร์จิ้น Forex ที่สำคัญ

การบริหารบัญชีเทรดอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มจากการเข้าใจสถานะต่างๆ ของมาร์จิ้นในบัญชีของคุณ ซึ่งมีหลายรูปแบบที่แสดงถึงสถานะการเงินและการใช้งานเงินทุนที่แตกต่างกัน ความรู้ในจุดนี้ช่วยให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุน
Required Margin (มาร์จิ้นที่ต้องใช้)
นี่คือยอดขั้นต่ำที่คุณจำเป็นต้องมีในบัญชี เพื่อเปิดสถานะการเทรดใหม่ 1 ตำแหน่ง โดยยอดนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดล็อต คู่สกุลเงินที่เทรด และอัตราเลเวอเรจที่โบรกเกอร์กำหนด ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเปิดสถานะซื้อ EUR/USD จำนวน 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 หน่วย) ด้วยเลเวอเรจ 1:500 คุณจะต้องใช้มาร์จิ้นเพียง 200 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่า โบรกเกอร์ต้องการหลักประกันเพียง 0.2% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมด
Used Margin (มาร์จิ้นที่ถูกใช้ไปแล้ว)
เมื่อคุณเปิดสถานะการเทรด ยอดมาร์จิ้นที่ใช้ไปในแต่ละรายการจะถูกรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็น Used Margin ซึ่งแสดงถึงเงินทุนทั้งหมดที่ถูกล็อกไว้ในขณะนั้น ยิ่งคุณมีสถานะเปิดหลายตำแหน่ง มาร์จิ้นที่ถูกใช้ก็ยิ่งสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อความยืดหยุ่นของบัญชี และอาจจำกัดความสามารถในการเปิดสถานะใหม่ในอนาคต
Free Margin (ฟรีมาร์จิ้น) – เงินทุนที่พร้อมใช้
ฟรีมาร์จิ้นคือเงินที่เหลืออยู่ในบัญชีของคุณ หลังจากหักมาร์จิ้นที่ถูกใช้ไปแล้ว และยังสามารถใช้เปิดสถานะใหม่ หรือรองรับการขาดทุนจากการเคลื่อนไหวของตลาดในสถานะที่ยังเปิดอยู่ คำนวณได้จากสูตร:
ฟรีมาร์จิ้น = Equity - Used Margin
ในแพลตฟอร์มอย่าง MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 คุณสามารถเห็นค่าฟรีมาร์จิ้นได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นเครื่องมือชี้วัดที่สำคัญในการประเมินว่าบัญชีของคุณยังมี “พื้นที่หายใจ” มากน้อยเพียงใด หากฟรีมาร์จิ้นลดลงใกล้ศูนย์ แสดงว่าบัญชีของคุณอยู่ในภาวะเสี่ยงสูง
Margin Level (ระดับมาร์จิ้น) – สัญญาณเตือนที่ต้องจับตา
ระดับมาร์จิ้นเป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงสุขภาพทางการเงินของบัญชี คำนวณจาก:
ระดับมาร์จิ้น = (Equity / Used Margin) x 100%
ยิ่งระดับมาร์จิ้นสูง ยิ่งแสดงว่าบัญชีของคุณมีเสถียรภาพและปลอดภัย แต่หากตัวเลขนี้ลดลงเรื่อยๆ จนใกล้เกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น 100% หรือ 50% ก็จะเข้าสู่ช่วงเตือนภัย ซึ่งอาจนำไปสู่ Margin Call หรือ Stop Out ได้ ดังนั้น ควรติดตามค่านี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวน
การคำนวณมาร์จิ้น Forex อย่างไร? (พร้อมตัวอย่าง)

การเข้าใจวิธีการคำนวณมาร์จิ้นช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การเทรดได้แม่นยำขึ้น ทั้งในแง่ของขนาดตำแหน่งและความเสี่ยงที่รับได้ โดยทั่วไปมาร์จิ้นจะคำนวณจากขนาดล็อต เลเวอเรจ และราคาเปิดของคู่สกุลเงิน
สูตรการคำนวณมาร์จิ้น:
มาร์จิ้นที่ใช้ = (ขนาดล็อต × ขนาดสัญญา × ราคาเปิด) / เลเวอเรจ
โดยที่:
- ขนาดล็อต: 1 ล็อตมาตรฐาน = 100,000 หน่วย, มินิล็อต = 10,000, ไมโครล็อต = 1,000
- ขนาดสัญญา: จำนวนหน่วยสกุลเงินพื้นฐาน (Base Currency) ที่ซื้อขายต่อ 1 ล็อต
- ราคาเปิด: ราคาตลาดปัจจุบันของคู่สกุลเงิน
- เลเวอเรจ: อัตราส่วนที่โบรกเกอร์ให้ เช่น 1:100, 1:500
ตัวอย่างการคำนวณ (สำหรับนักเทรดไทย)
สมมติว่าคุณมีบัญชีเป็นดอลลาร์สหรัฐ และต้องการเทรด EUR/USD ที่ราคา 1.1000 โดยใช้เลเวอเรจ 1:500
กรณีที่ 1: เปิด 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 EUR)
(100,000 × 1.1000) / 500 = 110,000 / 500 = 220 USD
กรณีที่ 2: เปิด 0.1 ล็อต (10,000 EUR)
(10,000 × 1.1000) / 500 = 11,000 / 500 = 22 USD
หากบัญชีของคุณเป็นเงินบาท (THB) คุณจำเป็นต้องแปลงยอดเป็นบาทด้วยอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน เช่น 1 USD = 35 THB ดังนั้น 220 USD จะเท่ากับ 7,700 บาท
ตารางเปรียบเทียบมาร์จิ้นที่ใช้สำหรับขนาดล็อตและเลเวอเรจที่ต่างกัน (คู่ EUR/USD @ 1.1000)
ขนาดล็อต | เลเวอเรจ 1:100 (1% มาร์จิ้น) | เลเวอเรจ 1:500 (0.2% มาร์จิ้น) | เลเวอเรจ 1:1000 (0.1% มาร์จิ้น) |
---|---|---|---|
1 Standard Lot (100,000 EUR) | 1,100 USD | 220 USD | 110 USD |
0.1 Standard Lot (10,000 EUR) | 110 USD | 22 USD | 11 USD |
0.01 Standard Lot (1,000 EUR) | 11 USD | 2.2 USD | 1.1 USD |
จากตาราง จะเห็นได้ชัดว่าเลเวอเรจที่สูงขึ้น ทำให้มาร์จิ้นที่ต้องใช้น้อยลง ซึ่งอาจดูน่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะหากไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม
Margin Call และ Stop Out/ล้างพอร์ต คืออะไร? – จุดวิกฤตที่ต้องระวัง
สองคำที่นักเทรดทุกคนควรรู้และพยายามหลีกเลี่ยง คือ Margin Call และ Stop Out เพราะทั้งสองสถานการณ์เป็นสัญญาณว่าบัญชีของคุณอยู่ในภาวะเสี่ยงสูง และอาจสูญเสียเงินทุนได้ในเวลาไม่กี่วินาที
Margin Call (มาร์จิ้นคอล)
เกิดขึ้นเมื่อระดับมาร์จิ้นของคุณลดลงถึงเกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น 100% หรือ 50% ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์ นี่คือการเตือนว่าเงินทุนของคุณใกล้จะไม่เพียงพอที่จะรองรับตำแหน่งที่ยังเปิดอยู่แล้ว หากคุณไม่ดำเนินการใดๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนด โบรกเกอร์อาจดำเนินการต่อไปสู่ขั้นตอนที่รุนแรงกว่า
เมื่อเกิดมาร์จิ้นคอล คุณมีทางเลือกอยู่สองทาง: ฝากเงินเพิ่มเข้าบัญชีเพื่อยกระดับมาร์จิ้น หรือปิดสถานะบางส่วนเพื่อลด Used Margin ซึ่งจะช่วยเพิ่มฟรีมาร์จิ้นกลับคืนมา
Stop Out/ล้างพอร์ต
นี่คือจุดวิกฤตสุดท้ายที่โบรกเกอร์จะเริ่มปิดสถานะการเทรดของคุณโดยอัตโนมัติ โดยปกติจะเกิดเมื่อระดับมาร์จิ้นลดลงถึง 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ โบรกเกอร์จะเริ่มปิดตำแหน่งที่ขาดทุนมากที่สุดก่อน ทีละรายการ จนกว่าบัญชีจะกลับมาอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย หรือจนกว่าจะไม่มีสถานะใดเหลืออยู่
แม้ว่า ก.ล.ต. จะไม่ได้กำกับดูแลโบรกเกอร์ฟอเรกซ์โดยตรง แต่ก็เน้นย้ำถึงความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจสูง และแนะนำให้ผู้ลงทุนเลือกโบรกเกอร์ที่มีระบบป้องกันยอดติดลบ (Negative Balance Protection) เพื่อลดความเสียหายรุนแรง
สำหรับนักเทรดไทย การเผชิญกับการล้างพอร์ตมักมาพร้อมกับอารมณ์เชิงลบอย่างความเสียใจหรือความโกรธ แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ และปรับปรุงการบริหารจัดการมาร์จิ้นให้ดีขึ้นในอนาคต
กลยุทธ์การบริหารมาร์จิ้น Forex อย่างมีประสิทธิภาพ (เพื่อเทรดเดอร์ไทย)
การบริหารมาร์จิ้นไม่ใช่แค่การคำนวณตัวเลข แต่เป็นศิลปะในการควบคุมความเสี่ยงและรักษาความมั่นคงของบัญชี โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนอย่างในช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ
การตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม
การใช้คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit คือพื้นฐานของการจัดการความเสี่ยง Stop Loss ช่วยจำกัดการขาดทุนในแต่ละครั้ง ไม่ให้กินฟรีมาร์จิ้นของคุณจนหมด ส่วน Take Profit ช่วยล็อกกำไรได้ตามเป้าหมาย ก่อนที่ตลาดจะกลับตัว
การพิจารณาขนาด Position Size อย่างรอบคอบ
การเลือกขนาดล็อตควรสัมพันธ์กับเงินทุนและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ หลักการที่ดีคือ อย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดต่อการเทรด 1 ครั้ง วิธีนี้ช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดได้นานขึ้น แม้จะมีการขาดทุนติดต่อกัน
การติดตามระดับมาร์จิ้นอย่างสม่ำเสมอ
อย่าละเลยการตรวจสอบสถานะบัญชี โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรง ระดับมาร์จิ้นที่ลดลงอย่างรวดเร็วอาจเป็นสัญญาณเตือนให้คุณตัดสินใจปิดสถานะ หรือเพิ่มเงินทุนก่อนที่จะสายเกินไป
หลีกเลี่ยงการ Over-Leverage ที่เกินตัว
เลเวอเรจสูงอาจดูดึงดูดใจ แต่ก็เป็นดาบสองคม ยิ่งเลเวอเรจสูง ยิ่งทำให้บัญชีของคุณไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อย นักเทรดไทยหลายคนที่ใช้เลเวอเรจ 1:1000 หรือสูงกว่า มักล้มเหลวภายในไม่กี่วัน เพราะขาดการวางแผนและบริหารความเสี่ยง ควรใช้เลเวอเรจที่สอดคล้องกับประสบการณ์และแนวทางการเทรดของคุณ
สรุป: มาร์จิ้น Forex ไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจและบริหารเป็น
มาร์จิ้นเป็นหนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่ทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดฟอเรกซ์จำเป็นต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มันไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นกลไกที่ทำให้การเทรดด้วยเลเวอเรจเป็นไปได้ และยังเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงให้ทั้งโบรกเกอร์และเทรดเดอร์เอง
การเข้าใจประเภทของมาร์จิ้น การคำนวณ และการติดตามระดับมาร์จิ้นอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้คุณควบคุมบัญชีได้ดีขึ้น การใช้กลยุทธ์เช่น การตั้งจุดตัดขาดทุน การเลือกขนาดล็อตที่เหมาะสม และการหลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูงเกินไป จะช่วยปกป้องเงินทุนของคุณ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน
จำไว้ว่า การเทรดฟอเรกซ์ไม่ใช่การเดินทางสู่ความร่ำรวยในข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ การปรับตัว และการจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจและบริหารมาร์จิ้นอย่างชาญฉลาด คือก้าวแรกที่สำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดที่ท้าทายนี้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมาร์จิ้น Forex (FAQ)
มาร์จิ้น Forex คืออะไร และแตกต่างจากค่าธรรมเนียมการเทรดอย่างไร?
มาร์จิ้น Forex คือเงินประกันหรือหลักประกันที่เทรดเดอร์ต้องวางไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิดและรักษาสถานะการเทรดที่มีเลเวอเรจ ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมการเทรด เงินส่วนนี้จะถูกกันไว้ชั่วคราวและจะคืนกลับมาเมื่อปิดสถานะ ในทางกลับกัน ค่าธรรมเนียมการเทรด (เช่น ค่าสเปรดหรือคอมมิชชั่น) คือค่าใช้จ่ายจริงที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากการทำธุรกรรม
ระดับมาร์จิ้นเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย และควรระวังช่วงไหนเป็นพิเศษ?
โดยทั่วไป ระดับมาร์จิ้นที่สูงกว่า 500% ถือว่าปลอดภัย เนื่องจากมีฟรีมาร์จิ้นเพียงพอที่จะรองรับการขาดทุนจำนวนมากได้ คุณควรระวังเป็นพิเศษเมื่อระดับมาร์จิ้นเริ่มลดลงต่ำกว่า 200-300% และยิ่งต้องระวังอย่างมากเมื่อใกล้ถึงเกณฑ์ Margin Call หรือ Stop Out ของโบรกเกอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง หรือมีข่าวเศรษฐกิจสำคัญประกาศ
ทำไมบัญชี Forex ของฉันถึงโดน Margin Call และจะป้องกันได้อย่างไร?
บัญชีของคุณจะโดน Margin Call เมื่อการขาดทุนจากสถานะเปิดทำให้ Equity (เงินทุนคงเหลือ) ลดลงจนระดับมาร์จิ้นถึงเกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนด (เช่น 100%) วิธีป้องกันคือ:
- ตั้ง Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน
- เลือกขนาดล็อตที่เหมาะสมกับเงินทุนของคุณ
- หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป
- ติดตามระดับมาร์จิ้นอยู่เสมอ
- เพิ่มเงินทุนในบัญชีหากจำเป็น
ฟรีมาร์จิ้นคืออะไร และมีความสำคัญต่อการเทรดของมือใหม่อย่างไร?
ฟรีมาร์จิ้นคือเงินทุนส่วนที่เหลืออยู่ในบัญชีของคุณที่ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักประกัน (Used Margin) และสามารถใช้เพื่อเปิดสถานะใหม่หรือรองรับการขาดทุนได้ทันที สำหรับมือใหม่ ฟรีมาร์จิ้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันบ่งบอกถึงความยืดหยุ่นของบัญชีและเป็นเกราะป้องกันการเกิด Margin Call ยิ่งมีฟรีมาร์จิ้นมากเท่าไหร่ บัญชีของคุณก็จะปลอดภัยจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่คาดคิดมากขึ้นเท่านั้น
โบรกเกอร์ Forex แต่ละรายมีข้อกำหนดมาร์จิ้นเหมือนกันหรือไม่?
ไม่เหมือนกัน โบรกเกอร์ Forex แต่ละรายอาจมีข้อกำหนดมาร์จิ้นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับนโยบายของโบรกเกอร์ อัตราเลเวอเรจที่เสนอ ประเภทบัญชี และแม้กระทั่งคู่สกุลเงินที่เทรด รวมถึงช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญ คุณควรตรวจสอบตารางมาร์จิ้นและเงื่อนไขของโบรกเกอร์ที่คุณเลือกใช้บริการอย่างละเอียด
ถ้าฉันโดนล้างพอร์ต (Stop Out) เงินลงทุนทั้งหมดจะหายไปเลยไหม?
โดยปกติแล้ว เมื่อเกิด Stop Out โบรกเกอร์จะปิดสถานะการเทรดของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดเงินในบัญชีติดลบ ทำให้คุณสูญเสียเงินลงทุนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่อยู่ในบัญชี ณ เวลานั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะกับโบรกเกอร์ที่มีการป้องกันยอดคงเหลือติดลบ หรือ Negative Balance Protection) ยอดเงินในบัญชีจะไม่ติดลบไปมากกว่าศูนย์ แม้ว่าเงินลงทุนส่วนใหญ่จะหายไปแล้วก็ตาม
มีกลยุทธ์ใดบ้างที่ช่วยให้บริหารมาร์จิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดผันผวนของไทย?
ในตลาดที่ผันผวนของไทย กลยุทธ์ที่สำคัญคือ:
- **ลดขนาดล็อต:** ลดขนาดการเทรดลงเพื่อให้ใช้มาร์จิ้นน้อยลงและมีฟรีมาร์จิ้นมากขึ้น
- **ใช้ Stop Loss ที่แคบ:** กำหนดจุด Stop Loss ให้ใกล้กับราคาเปิดมากขึ้น เพื่อจำกัดการขาดทุนอย่างรวดเร็ว
- **ติดตามข่าวสาร:** เฝ้าระวังข่าวเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อสกุลเงินที่คุณเทรด
- **หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าว:** หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากการประกาศข่าวสำคัญ
- **ฝากเงินเพิ่ม:** หากจำเป็น ให้เติมเงินทุนเข้าบัญชีเพื่อเพิ่ม Equity และระดับมาร์จิ้น
การใช้เลเวอเรจสูงสัมพันธ์กับมาร์จิ้นอย่างไร และมีความเสี่ยงแค่ไหน?
การใช้เลเวอเรจสูงหมายถึงโบรกเกอร์ต้องการมาร์จิ้นที่ใช้น้อยลงในการเปิดสถานะขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถควบคุมมูลค่าการเทรดที่สูงกว่าเงินทุนจริงได้มาก อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจสูงก็มาพร้อมกับความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยในทิศทางตรงกันข้ามก็สามารถทำให้คุณขาดทุนอย่างหนักจนถึงขั้น Margin Call หรือ Stop Out ได้อย่างรวดเร็ว
ฉันสามารถเพิ่มมาร์จิ้นในบัญชีได้อย่างไรเมื่อเกิด Margin Call?
เมื่อเกิด Margin Call คุณสามารถเพิ่มมาร์จิ้นในบัญชีได้ 2 วิธีหลักๆ คือ:
- **ฝากเงินเพิ่ม:** การเติมเงินทุนเข้าไปในบัญชีของคุณโดยตรง ซึ่งจะเพิ่ม Equity และยกระดับมาร์จิ้นให้สูงขึ้น
- **ปิดสถานะบางส่วน:** การปิดสถานะการเทรดที่ขาดทุนบางส่วนหรือทั้งหมด จะช่วยลด Used Margin ทำให้ฟรีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น และยกระดับมาร์จิ้นของคุณขึ้นได้
ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีมาร์จิ้นแบบไหนถึงจะเหมาะกับสไตล์การเทรดของฉัน?
การเลือกโบรกเกอร์ที่มีข้อกำหนดมาร์จิ้นและเลเวอเรจที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ หากคุณเป็นมือใหม่หรือเน้นการเทรดแบบอนุรักษ์นิยม ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ให้เลเวอเรจปานกลาง เพื่อลดความเสี่ยง แต่ถ้าคุณเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ดี อาจเลือกโบรกเกอร์ที่ให้เลเวอเรจสูงขึ้นได้ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจข้อกำหนดมาร์จิ้นของโบรกเกอร์นั้นๆ และมั่นใจว่าคุณสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ.