Current Ratio คืออะไร? 5 สิ่งที่นักลงทุนและ SME ไทยต้องรู้เพื่อประเมินสภาพคล่อง

Current Ratio คืออะไร? ทำความเข้าใจอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน

ภาพประกอบแนวคิด Current Ratio กับการวัดสภาพคล่องทางการเงิน

อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Current Ratio เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินศักยภาพของบริษัทในการจัดการภาระหนี้สินในระยะสั้น ซึ่งสะท้อนถึงระดับ “สภาพคล่อง” หรือความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์ให้กลายเป็นเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดนี้จึงถูกใช้บ่อยโดยนักลงทุน ผู้บริหาร และสถาบันการเงิน เพื่อดูว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ภายใน 12 เดือนเพียงพอต่อการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดในช่วงเวลาเดียวกันหรือไม่ การเข้าใจหลักการพื้นฐานของ Current Ratio จึงไม่ใช่เพียงแค่ทักษะด้านบัญชี แต่เป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตัดสินใจทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

การประเมินสภาพคล่องคือหัวใจของการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน

ภาพประกอบงบดุลกับสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียน

แม้บริษัทจะมีกำไรในงบกำไรขาดทุน แต่หากขาดสภาพคล่องก็ยังอาจเผชิญกับปัญหาการดำเนินงาน เช่น ไม่สามารถจ่ายค่าแรงพนักงานหรือค่าซื้อวัตถุดิบได้ทันเวลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคู่ค้าและลูกค้าได้อย่างรุนแรง ดังนั้น การบริหารสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียนให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญอยู่เสมอ Current Ratio จึงทำหน้าที่เหมือนสัญญาณไฟเตือนล่วงหน้า ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจจับความผิดปกติในระบบการเงินได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม พร้อมทั้งปรับแผนการเงินและดำเนินการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินขององค์กรในระยะยาว

สูตรคำนวณ Current Ratio และองค์ประกอบสำคัญ

ภาพประกอบเข็มทิศการเงินที่ชี้ไปยังค่า Current Ratio เพื่อแสดงเสถียรภาพ

การคำนวณ Current Ratio ใช้ข้อมูลโดยตรงจากงบดุล ซึ่งเป็นรายงานทางการเงินที่แสดงฐานะการเงินของบริษัท ณ ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง สูตรที่ใช้มีความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ดังนี้:

**Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน**

เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เราต้องวิเคราะห์ทั้งสองส่วนหลักที่เกี่ยวข้อง:

* **สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets)**
หมายถึง สินทรัพย์ที่คาดว่าจะถูกแปลงเป็นเงินสด ขาย หรือใช้ไปภายในรอบระยะเวลาดำเนินงานปกติ หรือภายในหนึ่งปี โดยส่วนประกอบหลักได้แก่:
* **เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด:** รวมถึงเงินสดในมือ เงินฝากกระแสรายวัน และเครื่องมือการเงินที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันที
* **เงินลงทุนระยะสั้น:** เช่น หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่สามารถขายคืนได้ภายในเวลาไม่นาน
* **ลูกหนี้การค้า:** เงินที่ลูกค้าค้างชำระจากสินค้าหรือบริการที่บริษัทได้ส่งมอบไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชำระ
* **สินค้าคงเหลือ:** รวมทั้งวัตถุดิบ สินค้าระหว่างการผลิต และสินค้าสำเร็จรูปที่ยังไม่ได้ขาย
* **สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ๆ:** ได้แก่ ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า เช่น ค่าประกันภัย หรือรายได้ค้างรับที่ยังไม่ได้รับ

* **หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities)**
หมายถึง หนี้สินที่บริษัทมีภาระต้องชำระภายในหนึ่งปี ซึ่งได้แก่:
* **เจ้าหนี้การค้า:** เงินที่บริษัทค้างชำระแก่ซัพพลายเออร์จากวัตถุดิบหรือบริการที่ได้รับมาแล้ว
* **เงินกู้ยืมระยะสั้น:** สินเชื่อที่มีกำหนดชำระคืนภายใน 12 เดือน
* **ภาษีเงินได้ค้างจ่าย:** ภาษีที่คำนวณไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ชำระให้กรมสรรพากร
* **หนี้สินหมุนเวียนอื่น ๆ:** รวมถึงเงินปันผลที่ประกาศแล้วแต่ยังไม่จ่าย รายได้รับล่วงหน้า หรือค่าใช้จ่ายค้างจ่าย

**ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:**
สมมติว่า บริษัทแห่งหนึ่งมีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 2,000,000 บาท และหนี้สินหมุนเวียนรวม 1,000,000 บาท
เมื่อนำมาคำนวณตามสูตร:
Current Ratio = 2,000,000 / 1,000,000 = 2.0
ผลลัพธ์ที่ได้คือ 2.0 เท่า ซึ่งแสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียนถึงสองเท่า ถือเป็นสัญญาณที่ดีในด้านสภาพคล่อง แม้ว่าจะต้องพิจารณาประกอบกับบริบทของอุตสาหกรรมและคุณภาพของสินทรัพย์ด้วย

เหตุผลที่ Current Ratio มีความสำคัญต่อธุรกิจและนักลงทุน

Current Ratio ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่แสดงในรายงานทางการเงิน แต่เป็นเครื่องมือที่สะท้อนสุขภาพการเงินขององค์กรในมุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก

**ประโยชน์ต่อผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจ**
* **ประเมินสภาพคล่องในภาพรวม:** ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นจุดยืนของบริษัท ว่ามีทรัพยากรเพียงพอต่อการดำเนินงานประจำวันและชำระหนี้ระยะสั้นหรือไม่
* **ลดความเสี่ยงทางการเงิน:** การมีค่า Current Ratio ที่เหมาะสมช่วยลดโอกาสการเผชิญกับวิกฤตสภาพคล่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของสายการผลิตหรือการให้บริการ
* **สนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์:** ข้อมูลนี้มีประโยชน์ต่อการวางแผนการใช้เงินทุนหมุนเวียน การลงทุนขยายกิจการ หรือการควบรวมกิจการ
* **เพิ่มพลังในการเจรจา:** บริษัทที่มีอัตราส่วนการเงินแข็งแกร่งมีแนวโน้มจะได้รับเงื่อนไขการค้าที่ดีกว่า เช่น ระยะเวลาเครดิตที่ยาวขึ้นจากซัพพลายเออร์ หรือความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า

**ประโยชน์ต่อนักลงทุน**
* **ประเมินความมั่นคงของบริษัท:** เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดแรกที่นักลงทุนใช้พิจารณาความเสี่ยง บริษัทที่มี Current Ratio ต่ำอาจมีความเสี่ยงล้มละลายในระยะสั้นสูงกว่า
* **เปรียบเทียบศักยภาพของธุรกิจ:** ใช้เปรียบเทียบบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อดูว่าใครมีการบริหารเงินทุนหมุนเวียนได้ดีกว่า
* **มั่นใจในความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่อง:** นักลงทุนต้องการเห็นว่าบริษัทสามารถรักษาการดำเนินงานได้แม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย ซึ่งอัตราส่วนนี้เป็นตัวบ่งชี้หนึ่งที่สะท้อนความสามารถดังกล่าว

ค่า Current Ratio เท่าไหร่ถือว่าดี? การตีความและเกณฑ์อ้างอิง

การประเมินว่าค่า Current Ratio “ดี” หรือไม่ ต้องพิจารณาในบริบทที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ดูจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว

**การตีความเบื้องต้น**
* **ต่ำกว่า 1:** บ่งชี้ว่าหนี้สินระยะสั้นมากกว่าสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ในเร็ววัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
* **เท่ากับ 1:** หมายความว่า สินทรัพย์หมุนเวียนพอดีกับหนี้สินหมุนเวียน แต่ไม่มีส่วนเผื่อหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ลูกหนี้ผิดนัดชำระ
* **สูงกว่า 1:** โดยทั่วไปถือว่าดี แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น

**เกณฑ์ทั่วไปและบริบทของอุตสาหกรรม**
โดยทั่วไป ค่าที่ถือว่าเหมาะสมอยู่ที่ประมาณ **1.5 ถึง 2.0 เท่า** อย่างไรก็ตาม ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ:
* **ธุรกิจค้าปลีกและบริการ:** มักมีการหมุนเวียนสินค้าเร็ว จึงอาจถือว่าค่า 1.2 ถึง 1.5 เท่าก็เพียงพอ
* **อุตสาหกรรมการผลิต:** เนื่องจากมีสินค้าคงเหลือจำนวนมากและรอบการผลิตยาว จึงมักต้องการค่าสูงกว่า เช่น 1.5 ถึง 2.5 เท่า
* **ธุรกิจที่มีต้นทุนสูงในสินทรัพย์ถาวร:** อาจมีค่าต่ำกว่าเนื่องจากใช้หนี้ระยะยาวมากกว่า

**มุมมองในประเทศไทย**
ในบริบทของประเทศไทย แนวโน้มการตีความค่า Current Ratio คล้ายกับมาตรฐานสากล แต่สำหรับผู้ประกอบการ SME แล้ว การพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเฉพาะทางจะให้ภาพที่แม่นยำกว่า รายงานจาก Krungthai COMPASS ชี้ให้เห็นว่าแม้ในช่วงเศรษฐกิจที่ผันผวน การรักษาสภาพคล่องยังคงเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มักเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้จำกัดเมื่อเทียบกับบริษัทใหญ่ ที่มา

**ข้อควรระวังเพิ่มเติม**
* **ค่าสูงเกินไป:** หากค่า Current Ratio สูงมาก เช่น เกิน 3.0 เท่า อาจสะท้อนว่าบริษัทไม่ได้ใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เงินสดจำนวนมากที่ไม่ได้นำไปลงทุน หรือสินค้าคงเหลือค้างสต็อกที่ขายยาก
* **คุณภาพของสินทรัพย์:** ควรตรวจสอบองค์ประกอบของสินทรัพย์หมุนเวียนด้วย หากมีลูกหนี้ที่เก็บเงินยากหรือสินค้าที่ล้าสมัย ค่า Current Ratio ที่ดูดีก็อาจเป็นเพียงภาพลวงตา

ข้อจำกัดของ Current Ratio ที่ผู้ใช้ควรเข้าใจ

แม้จะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีประโยชน์ แต่ Current Ratio ก็มีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณาเพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิดพลาด

1. **ไม่แสดงคุณภาพของสินทรัพย์:** ตัวเลขไม่ได้บอกว่าลูกหนี้ที่มีอยู่นั้นเก็บเงินได้ง่ายหรือไม่ หรือสินค้าคงเหลือมีมูลค่าตามราคาต้นทุนหรือไม่
2. **ไม่ระบุระยะเวลาการแปลงเป็นเงินสด:** สินทรัพย์แต่ละประเภทใช้เวลาต่างกันในการแปลงเป็นเงินสด แต่สูตรไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้
3. **อิทธิพลของสินค้าคงเหลือ:** หากสินค้าคงเหลือมีสัดส่วนมากและขายยาก อาจทำให้ค่า Current Ratio ดูดีเกินจริง
4. **ความผันผวนตามฤดูกาล:** ธุรกิจที่มีฤดูกาลชัดเจน เช่น ร้านขายของขวัญ อาจมีค่า Current Ratio ต่ำในบางช่วง ซึ่งไม่สะท้อนภาพรวมที่แท้จริง
5. **ไม่แสดงกระแสเงินสด:** เป็นการวัด ณ จุดเวลาหนึ่ง ไม่ได้บ่งชี้ถึงการไหลเวียนของเงินสดในระยะยาว ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินงาน
6. **ไม่เหมาะกับการเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรม:** เกณฑ์ที่ดีในอุตสาหกรรมหนึ่งอาจไม่ดีในอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง การเปรียบเทียบควรทำในกลุ่มธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน

เปรียบเทียบ Current Ratio กับ Quick Ratio: ความแตกต่างที่ควรรู้

อีกหนึ่งอัตราส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาพคล่องคือ Quick Ratio หรือที่รู้จักกันในชื่อ Acid-Test Ratio ซึ่งมีเป้าหมายคล้ายกันแต่เข้มงวดกว่า

**Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) / หนี้สินหมุนเวียน**

| ลักษณะ | Current Ratio | Quick Ratio |
|——–|—————|————-|
| **สูตร** | สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน | (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) / หนี้สินหมุนเวียน |
| **สินทรัพย์ที่ใช้** | ทั้งหมด | หักสินค้าคงเหลือออก |
| **จุดเน้น** | สภาพคล่องโดยรวม | สภาพคล่องเร่งด่วน หรือสภาพคล่องที่แท้จริง |
| **ข้อดี** | วิเคราะห์ภาพรวมได้ดี | แม่นยำกว่าในกรณีที่สินค้าคงเหลือมีความเสี่ยงสูง |
| **เหมาะกับ** | การวิเคราะห์เบื้องต้น | ธุรกิจที่มีสินค้าคงเหลือมาก เช่น เทคโนโลยี แฟชั่น หรืออาหาร |

**เมื่อควรใช้ Quick Ratio มากกว่า?**
ในกรณีที่สินค้าคงเหลือมีมูลค่าสูงหรือมีความเสี่ยงที่จะเสื่อมสภาพหรือล้าสมัย เช่น ร้านขายมือถือหรือเสื้อผ้าแฟชั่น การใช้ Quick Ratio จะให้ภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเน้นเฉพาะสินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินสดได้เร็ว เช่น เงินสดและลูกหนี้ ดังนั้น การใช้ทั้งสองอัตราส่วนร่วมกันจะให้มุมมองที่รอบด้านและมีความแม่นยำสูงขึ้น

กลยุทธ์ปรับปรุง Current Ratio สำหรับธุรกิจไทย

การบริหาร Current Ratio ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยวินัยทางการเงินและการวางแผนอย่างมีระบบ โดยเฉพาะสำหรับ SME ที่ต้องบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

1. **จัดการลูกหนี้การค้าอย่างมีประสิทธิภาพ**
* กำหนดนโยบายเครดิตที่ชัดเจน แยกตามกลุ่มลูกค้า
* ติดตามการชำระเงินอย่างสม่ำเสมอ และส่งใบแจ้งหนี้ตรงเวลา
* ใช้แรงจูงใจ เช่น ส่วนลด 2% หากชำระภายใน 10 วัน (2/10, net 30)
* พิจารณาบริการซื้อลูกหนี้ (Factoring) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทันที

2. **บริหารจัดการสินค้าคงเหลือ**
* ใช้ระบบควบคุมสต็อกที่ทันสมัย เช่น ระบบ ERP หรือ POS
* วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและแนวโน้มตลาด เพื่อสต็อกสินค้าให้ตรงกับความต้องการ
* เจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อขอเงื่อนไขการส่งของแบบ Just-in-Time

3. **บริหารเจ้าหนี้การค้าอย่างชาญฉลาด**
* เจรจาขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ โดยรักษาความสัมพันธ์ที่ดี
* ใช้บัตรเครดิตธุรกิจอย่างระมัดระวัง เพื่อยืดระยะเวลาการชำระโดยไม่เสียเครดิต
* วางแผนชำระหนี้ให้ตรงเวลา แต่ไม่ต้องชำระล่วงหน้าหากไม่มีประโยชน์

4. **บริหารเงินสดและเงินลงทุน**
* รักษาระดับเงินสดสำรองให้เพียงพอต่อการดำเนินงาน 3-6 เดือน
* นำเงินส่วนเกินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น กองทุนตลาดเงิน

5. **ใช้แหล่งเงินทุนระยะสั้นอย่างเหมาะสม**
* ขอวงเงินเบิกเกินบัญชี (OD) จากธนาคารชั้นนำ เช่น กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ หรือกรุงเทพ
* ศึกษาสินเชื่อ SME ดอกเบี้ยต่ำจากภาครัฐ เช่น ผ่าน SME D Bank

บทสรุป: Current Ratio กุญแจสู่ความมั่นคงทางการเงิน

อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเวียน หรือ Current Ratio เป็นตัวชี้วัดพื้นฐานที่สะท้อนความสามารถของบริษัทในการจัดการหนี้สินระยะสั้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการประเมินสุขภาพการเงินของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร นักลงทุน หรือสถาบันการเงิน การเข้าใจวิธีคำนวณ การตีความผล และรับรู้ข้อจำกัดของอัตราส่วนนี้ จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เพียงแค่ Current Ratio อาจไม่เพียงพอ ควรใช้ร่วมกับอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ เช่น Quick Ratio, Debt-to-Equity, และอัตราส่วนกำไร เพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วนและแม่นยำยิ่งขึ้น

ในท้ายที่สุด การบริหาร Current Ratio อย่างมีกลยุทธ์ ไม่ว่าจะผ่านการควบคุมลูกหนี้ เจ้าหนี้ สินค้าคงเหลือ หรือการวางแผนเงินสด ไม่เพียงแต่ช่วยให้ตัวเลขดูดี แต่ยังสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแรง นำไปสู่ความมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว

Current Ratio มีค่าเท่ากับ 1.5 หมายความว่าอย่างไร และถือว่าดีหรือไม่สำหรับธุรกิจในประเทศไทย?

ค่า Current Ratio ที่ 1.5 แสดงว่า บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน 1.5 เท่า ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและสามารถรองรับภาระหนี้ระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของอุตสาหกรรม ธุรกิจค้าปลีกอาจถือว่า 1.5 ถึง 1.2 ก็เพียงพอ ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตอาจต้องการค่าสูงกว่า

ถ้า Current Ratio ต่ำกว่า 1 ธุรกิจควรทำอย่างไรเพื่อปรับปรุงสภาพคล่องในระยะสั้น?

หากค่าต่ำกว่า 1 ควรดำเนินการทันที เช่น เร่งการเก็บลูกหนี้ ลดสต็อกสินค้าที่ไม่จำเป็น ขอขยายระยะเวลาชำระหนี้จากซัพพลายเออร์ พิจารณาขอวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน หรือชะลอการลงทุนที่ไม่เร่งด่วนเพื่อรักษาเงินสด

Current Ratio กับ Quick Ratio แตกต่างกันอย่างไร และควรใช้ตัวไหนในการประเมินสภาพคล่องธุรกิจไทย?

Current Ratio ใช้สินทรัพย์หมุนเวียนทั้งหมด ขณะที่ Quick Ratio หักสินค้าคงเหลือออกก่อน ทำให้เป็นการวัดสภาพคล่องที่เข้มงวดกว่า ควรใช้ทั้งสองตัวร่วมกัน โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีสินค้าคงเหลือมาก ซึ่ง Quick Ratio จะให้ภาพที่ใกล้เคียงความจริงมากกว่า

ธนาคารไทยพิจารณา Current Ratio อย่างไรในการอนุมัติสินเชื่อสำหรับ SME?

ธนาคารในไทย เช่น KBank, SCB หรือ BBL มักใช้ Current Ratio เป็นหนึ่งในเกณฑ์หลัก โดยทั่วไปต้องการค่ามากกว่า 1.0 และมักมองหาที่ระดับ 1.2 ถึง 1.5 เท่าขึ้นไป ขึ้นอยู่กับนโยบายและอุตสาหกรรม หากค่าต่ำเกินไป อาจถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง ทำให้การขอสินเชื่อยากขึ้น

ธุรกิจประเภทใดที่ Current Ratio สูงๆ อาจไม่ดีเสมอไป และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง?

ธุรกิจที่มีค่า Current Ratio สูงมาก เช่น เกิน 3.0 เท่า อาจบ่งชี้ถึงการบริหารเงินทุนไม่ดี เช่น เงินสดจมอยู่โดยไม่ได้ใช้ หรือสินค้าคงเหลือค้างสต็อกจำนวนมาก ข้อควรระวังคือการตรวจสอบว่าสินทรัพย์เหล่านั้นมีคุณภาพดีและสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจหรือไม่

มีกลยุทธ์อะไรบ้างที่ธุรกิจไทยสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่ม Current Ratio อย่างมีประสิทธิภาพ?

กลยุทธ์ที่ได้ผล ได้แก่ การเร่งการเก็บลูกหนี้ ลดสต็อกสินค้าไม่จำเป็น บริหารเจ้าหนี้ให้ขยายระยะเวลาชำระ ลดการกู้ยืมระยะสั้น และเพิ่มประสิทธิภาพการรับเงินสด เช่น การใช้ PromptPay หรือระบบชำระเงินดิจิทัล

การจัดการลูกหนี้และเจ้าหนี้ช่วยให้ Current Ratio ดีขึ้นได้อย่างไรในบริบทการค้าของประเทศไทย?

การเก็บลูกหนี้เร็วขึ้นจะเพิ่มเงินสดและลดลูกหนี้ ทำให้สินทรัพย์หมุนเวียนมีคุณภาพดีขึ้น ส่วนการเจรจาขยายเวลาชำระหนี้จะช่วยให้หนี้สินหมุนเวียนคงอยู่ได้นานขึ้น ซึ่งช่วยให้ค่า Current Ratio สูงขึ้นในระยะสั้น การใช้ระบบดิจิทัลและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าจึงเป็นกุญแจสำคัญในบริบทไทย

Current Ratio สามารถใช้คาดการณ์การล้มละลายของธุรกิจได้หรือไม่ และควรพิจารณาร่วมกับอัตราส่วนใดอีกบ้าง?

Current Ratio ช่วยชี้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องระยะสั้นได้ แต่ไม่สามารถใช้พยากรณ์การล้มละลายได้เพียงลำพัง ควรพิจารณาร่วมกับ Quick Ratio, Debt-to-Equity Ratio, อัตราส่วนการชำระดอกเบี้ย, อัตราส่วนกำไร และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เพื่อประเมินภาพรวมทางการเงินอย่างรอบด้าน

หากธุรกิจมีสินค้าคงเหลือจำนวนมาก Current Ratio จะสะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริงได้ดีแค่ไหน?

ในกรณีที่มีสินค้าคงเหลือมาก Current Ratio อาจไม่สะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริงได้ดีนัก เพราะสินค้าอาจขายยากหรือเสื่อมค่า ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ที่ใช้คำนวณสูงเกินจริง การใช้ Quick Ratio ซึ่งตัดสินค้าคงเหลือออก จะให้ภาพที่แม่นยำและน่าเชื่อถือมากกว่า

Current Ratio ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยควรอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่?

โดยทั่วไป ค่าที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจค้าปลีกในไทยอยู่ที่ประมาณ 1.2 ถึง 1.5 เท่า เนื่องจากมีการหมุนเวียนสินค้าเร็วและแปลงเป็นเงินสดได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและนโยบายการบริหารสินค้าของบริษัทเองด้วย

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand) มักเผยแพร่สถิติทางการเงินของภาคธุรกิจ ซึ่งสามารถใช้อ้างอิงค่าเฉลี่ยอัตราส่วนในแต่ละอุตสาหกรรมได้ ที่มา