Slippage คืออะไร? ทำไมนักเทรดต้องรู้?
ในโลกของการเทรดที่หมุนเร็วเกินคาด เช่น ตลาด Forex หรือ Crypto หนึ่งในแนวคิดที่นักลงทุนทุกคนต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็คือ “Slippage” หรือที่นักเทรดในประเทศไทยมักเรียกว่า “สลิปเพจ” หลายคนอาจเริ่มจากคำถามง่ายๆ อย่าง “slippage คืออะไร” หรือ “มันแปลว่าอะไรกันแน่?” อย่างเข้าใจง่าย Slippage คือช่องว่างระหว่างราคาที่คุณคาดไว้กับราคาที่คำสั่งซื้อขายของคุณถูกดำเนินการจริงในตลาด ไม่ว่าราคาที่ได้จะดีกว่าหรือแย่กว่าก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ข้อผิดพลาด แต่เป็นกลไกธรรมชาติของตลาดที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงหรือสภาพคล่องต่ำ

แม้จะดูเป็นรายละเอียดเล็กน้อย แต่ Slippage มีผลโดยตรงต่อผลลัพธ์การเทรด ทั้งกำไรที่ลดลงหรือขาดทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับนักเทรดที่ใช้เลเวอเรจสูงหรือมีการซื้อขายบ่อย การเข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น และจะจัดการอย่างไรได้บ้าง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยปกป้องเงินทุนและเพิ่มความแม่นยำในการบริหารจัดการความเสี่ยงในระยะยาว
กลไกของ Slippage: ทำความเข้าใจว่า Slippage เกิดขึ้นได้อย่างไร
Slippage ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นผลลัพธ์จากการโต้ตอบกันระหว่างหลายปัจจัยในระบบตลาด ทั้งจากด้านเทคโนโลยี ความเร็ว และสภาพแวดล้อมของตลาดเอง การรู้ที่มาที่ไปจะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์และวางแผนรับมือได้ดีกว่า
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Slippage ได้แก่
- ความผันผวนของตลาด (Market Volatility): เมื่อราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่ว่าจะเพราะข่าวเศรษฐกิจสำคัญ การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรือเหตุการณ์โลก เช่น สงคราม ราคานาทีที่คุณเห็นบนหน้าจอกับราคาที่คำสั่งของคุณถูกประมวลผลจริงอาจต่างกันได้มาก ความเร็วของการเคลื่อนไหวทำให้ระบบไม่สามารถ “จับราคา” ที่คุณเห็นได้ทัน จึงเกิดช่องว่างขึ้น
- สภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity): ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงหมายถึงมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากในระดับราคาใกล้เคียงกัน ทำให้คำสั่งของคุณสามารถดำเนินการได้ทันที ในทางกลับกัน หากสินทรัพย์มีผู้ซื้อขายไม่มากหรือปริมาณการซื้อขายเบา คำสั่งขนาดใหญ่อาจต้องใช้เวลาในการจับคู่ หรือถูกเติมเต็มทีละส่วนในราคาที่เลวร้ายลง ส่งผลให้เกิด Slippage โดยเฉพาะในเหรียญคริปโตที่เพิ่งเปิดตัวหรือมีความนิยมน้อย
- ประเภทคำสั่งซื้อขาย (Order Types): คำสั่งแบบ Market Order คือการสั่งซื้อขายทันทีในราคาที่ดีที่สุดในขณะนั้น ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อ Slippage สูง เพราะคุณยอมแลกความแน่นอนของราคาเพื่อความเร็ว ตรงข้ามกับ Limit Order ที่กำหนดราคาไว้ชัดเจน ทำให้สามารถป้องกันการซื้อขายในราคาที่ไม่ต้องการได้ แต่ก็มีโอกาสที่คำสั่งจะไม่สำเร็จหากตลาดไม่ไปถึงราคานั้น
- ความล่าช้าของระบบและเครือข่าย (Network & Processing Delays): แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที ความหน่วงระหว่างอุปกรณ์ของคุณกับเซิร์ฟเวอร์โบรกเกอร์ก็เพียงพอที่จะทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทั้งจากความเร็วอินเทอร์เน็ต ระยะทางภูมิศาสตร์ หรือประสิทธิภาพของระบบประมวลผลคำสั่ง นักเทรดมืออาชีพบางรายจึงใช้ VPS เพื่อเชื่อมต่อใกล้ศูนย์ข้อมูลมากที่สุด

ประเภทของ Slippage: Positive vs. Negative Slippage
Slippage ไม่ได้แปลว่า “ขาดทุน” เสมอไป เพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในทิศทางที่ดีและร้าย โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ
- Negative Slippage (สลิปเพจเชิงลบ): นี่คือสิ่งที่นักเทรดส่วนใหญ่กลัวที่สุด คือการซื้อในราคาสูงกว่าที่คาด หรือขายในราคาต่ำกว่าที่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น คุณต้องการซื้อที่ 100 บาท แต่ถูกเติมเต็มที่ 100.50 บาท หรือต้องการขายที่ 90 บาท แต่ถูกดำเนินการที่ 89.50 บาท ผลลัพธ์คือกำไรลดลงหรือขาดทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งยิ่งรุนแรงในช่วงที่มีข่าวสำคัญหรือราคา “กัป” (Gap)
- Positive Slippage (สลิปเพจเชิงบวก): ตรงกันข้ามกับด้านบน นี่คือช่วงเวลาที่ตลาด “ให้ของขวัญ” แก่คุณ คำสั่งซื้อขายถูกดำเนินการในราคาที่ดีกว่าที่คุณคาดไว้ เช่น ซื้อที่ตั้งไว้ 100 บาท แต่ได้ที่ 99.50 บาท หรือขายที่ 90 บาท แต่ได้ที่ 90.50 บาท แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ก็เป็นผลจากตลาดที่มีสภาพคล่องดีหรือมีแรงซื้อ/ขายเข้ามากระทันหันในทิศทางที่คุณต้องการ

ผลกระทบของ Slippage ต่อการเทรด Forex และ Crypto
Slippage ไม่ใช่แค่ตัวเลขเล็กๆ ที่ผ่านตา แต่ส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรและแผนการควบคุมความเสี่ยง โดยเฉพาะในสองตลาดหลักที่มีลักษณะเฉพาะ
- ต้นทุนการเทรดที่เพิ่มขึ้น: Negative Slippage ทำให้ต้นทุนการเข้า-ออกตำแหน่งเพิ่มขึ้น แม้จะดูเป็นเศษสตางค์ แต่หากเทรดบ่อย ผลสะสมอาจกินกำไรไปได้มาก ยิ่งในคู่เงินที่มีสเปรดแคบหรือคริปโตที่มีความผันผวนสูง ความคลาดเคลื่อนนี้ยิ่งเห็นผลชัด
- Stop Loss ที่ไม่แม่นยำ: สำหรับนักเทรดที่พึ่งพากลยุทธ์การจำกัดความเสี่ยงด้วย Stop Loss การเกิด Slippage อาจทำให้คำสั่งปิดออเดอร์ในราคาที่เลวร้ายกว่าที่ตั้งไว้ ตัวอย่างเช่น ตั้ง Stop Loss ที่ 100 บาท แต่ถูกดำเนินการที่ 98 บาท ทำให้ขาดทุนหนักกว่าที่วางแผนไว้ นี่คือ “slippage on stop loss” ที่ทำลายแผนบริหารความเสี่ยงได้โดยตรง
- ลดโอกาสทำกำไร: แม้ Positive Slippage จะเป็นเรื่องดี แต่ Negative Slippage ที่เกิดซ้ำๆ จะกัดกินผลกำไรที่คาดหวังไว้ โดยเฉพาะในกลยุทธ์ที่เน้นกำไรน้อยแต่ทำบ่อย (เช่น Scalping) ความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กลยุทธ์นี้กลายเป็นขาดทุนได้
- กระทบต่อกลยุทธ์การเทรด: กลยุทธ์ที่ต้องอาศัยความแม่นยำสูง เช่น High-Frequency Trading หรือ Arbitrage อาจไม่สามารถทำงานได้ในตลาดที่มี Slippage บ่อย เพราะผลต่างกำไรที่คำนวณไว้อาจหายไปจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การจัดการและลดความเสี่ยงจาก Slippage
ถึงแม้ Slippage จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งหมด แต่นักเทรดสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม
- ใช้คำสั่ง Limit Order: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมราคา คุณกำหนดราคาที่ยอมซื้อหรือขายได้เท่านั้น หากตลาดไม่ไปถึง คำสั่งก็ไม่ดำเนินการ ซึ่งป้องกัน Negative Slippage ได้โดยตรง แต่ต้องแลกกับโอกาสที่คำสั่งอาจไม่เติมเต็ม
- เลือกโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มที่มีสภาพคล่องสูง: โบรกเกอร์ที่เชื่อมต่อกับแหล่งสภาพคล่องหลายแห่ง (Liquidity Pool) มีโอกาสรับคำสั่งได้เร็วและในราคาที่ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ ควรเลือกผู้ให้บริการที่โปร่งใส มีประวัติการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็ว และมีเทคโนโลยีจับคู่คำสั่งทันสมัย
- เทรดในช่วงเวลาที่สภาพคล่องดี: เช่น ช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดทับซ้อนกัน หรือในช่วงที่มีกิจกรรมการซื้อขายสูง ช่วยให้คำสั่งของคุณเติมเต็มได้ง่ายและมี Slippage ต่ำ
- หลีกเลี่ยงการเทรดช่วงข่าวสำคัญ: ข่าวเศรษฐกิจ ประกาศอัตราดอกเบี้ย หรือเหตุการณ์การเมืองมักทำให้ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรง หากจำเป็นต้องเทรด ควรใช้คำสั่งจำกัดราคาและลดขนาดคำสั่ง
- ปรับขนาดคำสั่งให้เหมาะสม: คำสั่งขนาดใหญ่ยิ่งเสี่ยงต่อ Slippage โดยเฉพาะในตลาดที่มีสภาพคล่องไม่มาก การแบ่งคำสั่งใหญ่เป็นคำสั่งย่อย (Chunking Orders) ช่วยลดแรงกระทบต่อราคา
เจาะลึก: การตั้งค่า Slippage Tolerance ในการเทรด Crypto/DeFi
สำหรับนักเทรด Crypto โดยเฉพาะในโลกของ DeFi และ DEX เช่น Uniswap หรือ PancakeSwap การตั้งค่า Slippage Tolerance เป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้โดยตรง และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสบการณ์การเทรด
Slippage Tolerance คือเปอร์เซ็นต์ของความคลาดเคลื่อนที่คุณยอมรับได้ก่อนที่คำสั่งจะถูกยกเลิกอัตโนมัติ เนื่องจากใน DEX การทำธุรกรรมต้องรอการยืนยันจากเครือข่ายบล็อกเชน ในช่วงเวลานั้น ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ การตั้งค่านี้จึงเป็นตัวกรองว่า “ราคาที่เปลี่ยนไปมากแค่ไหน ถึงจะยอมให้ทำธุรกรรมสำเร็จ”
การตั้งค่าที่เหมาะสมควรพิจารณาตามสถานการณ์
- ต่ำ (0.1%–0.5%): เหมาะกับสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น BTC, ETH หรือคู่สกุลหลัก แต่หากตั้งต่ำเกินไป คำสั่งอาจล้มเหลวบ่อยในตลาดที่ผันผวน
- ปานกลาง (0.5%–1%): เป็นค่าเริ่มต้นที่นิยมใช้ใน DEX ส่วนใหญ่ สมดุลระหว่างโอกาสสำเร็จและความปลอดภัย
- สูง (3%–5% ขึ้นไป): ใช้ในช่วงตลาดร้อนแรง หรือเมื่อซื้อขายเหรียญที่สภาพคล่องต่ำ แต่ต้องระวัง เพราะยิ่งตั้งสูง ยิ่งเปิดช่องให้เกิดการเสียเปรียบด้านราคา รวมถึงเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วย Front-running ซึ่งบอทจะใช้ข้อมูลคำสั่งของคุณไปทำกำไร
ข้อควรระวัง:
- ตั้งค่าต่ำเกินไป → คำสั่งล้มเหลวบ่อย เสีย Gas Fee ฟรี
- ตั้งค่าสูงเกินไป → คำสั่งสำเร็จ แต่ราคาเลวร้าย กำไรหาย
การตั้งค่า Slippage Tolerance อย่างมีเหตุมีผล จึงเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักเทรด DeFi ทุกคน หากต้องการเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นฐานของ DeFi สามารถศึกษาได้จาก Binance Academy
ตัวอย่างสถานการณ์ Slippage ในตลาดจริง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน มาดูตัวอย่างจากสถานการณ์จริงที่นักเทรดในประเทศไทยอาจเจอได้
ตัวอย่างที่ 1: Negative Slippage ในตลาด Forex (คู่เงิน THB/USD)
คุณเป็นนักเทรดไทยที่วางแผนจะซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ (Long THB/USD) เมื่อเห็นสัญญาณเศรษฐกิจโลกเริ่มอ่อนแอ คุณส่งคำสั่ง Market Order ซื้อ 1,000 USD ที่ราคา 36.00 บาท/ดอลลาร์ แต่จู่ๆ มีข่าวด่วนว่า FED ขึ้นดอกเบี้ยอย่างไม่คาดคิด ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าทันที ขณะที่คำสั่งของคุณเดินทางไปถึงเซิร์ฟเวอร์ ราคาได้ขยับไปอยู่ที่ 36.05 บาท คำสั่งจึงถูกดำเนินการที่ราคาใหม่ ทำให้คุณจ่ายเงินเพิ่ม 50 บาทโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่คือ Negative Slippage ที่เกิดจากความผันผวนสูง
ตัวอย่างที่ 2: Slippage ในตลาด Crypto (การซื้อเหรียญใหม่บน DEX)
คุณต้องการซื้อเหรียญ Altcoin ตัวใหม่บน PancakeSwap ที่เพิ่งเปิดตัว ตั้ง Slippage Tolerance ไว้ที่ 1% ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 0.0001 ETH ต่อเหรียญ แต่เมื่อคุณกดยืนยัน มีนักเทรดอีกจำนวนมากเข้ามาซื้อพร้อมกัน ทำให้ราคากระโดดไปที่ 0.0001008 ETH ซึ่งยังอยู่ในช่วง 1% ที่ยอมรับได้ คำสั่งจึงสำเร็จ แต่คุณได้เหรียญในราคาที่สูงกว่า 0.8% หากตั้งค่าต่ำกว่า อาจทำให้คุณพลาดโอกาส แต่หากตั้งสูงเกินไป ก็อาจจ่ายแพงเกินไป
ตัวอย่างที่ 3: Positive Slippage (เกิดขึ้นได้ แต่ไม่บ่อย)
คุณตั้งใจจะขาย BTC ที่ราคา 60,000 USD แต่ก่อนที่คำสั่งจะเติมเต็ม มีข่าวดีว่าบริษัทใหญ่ประกาศถือครอง Bitcoin จำนวนมาก ทำให้ราคาพุ่งขึ้นทันที และคำสั่งขายของคุณถูกดำเนินการที่ 60,050 USD นี่คือ Positive Slippage ที่คุณได้กำไรเพิ่มโดยไม่ตั้งใจ แม้จะไม่บ่อย แต่ก็เป็นแรงจูงใจให้เทรดต่อไป
สรุปและข้อคิดสำหรับนักเทรดไทย
Slippage เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของตลาดการเงิน โดยเฉพาะใน Forex และ Crypto ที่มีความเร็วสูงและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การพยายามหลีกเลี่ยงมันทั้งหมดอาจไม่ใช่ทางออก แต่การเข้าใจและบริหารจัดการอย่างมีวินัยคือกุญแจสำคัญ
สำหรับนักเทรดชาวไทย การเลือกใช้ Limit Order การเลือกแพลตฟอร์มที่มี สภาพคล่อง สูง และการตั้งค่า Slippage Tolerance อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะใน DeFi จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ การติดตามข่าวสาร การหลีกเลี่ยงช่วงเวลาเสี่ยง และการบริหารขนาดคำสั่งก็เป็นองค์ประกอบที่ไม่ควรมองข้าม
ในท้ายที่สุด ความสำเร็จในการเทรดไม่ใช่แค่เรื่องของ “ทำนายราคาถูก” แต่คือ “การจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย” การเรียนรู้กลไกตลาดอย่างลึกซึ้ง และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง จะทำให้คุณสามารถเทรดได้อย่างมั่นคงในระยะยาว หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง สามารถอ่านแนวทางจาก Investopedia ได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Slippage (FAQ)
Slippage คืออะไรและส่งผลต่อการเทรดของนักลงทุนไทยอย่างไร?
Slippage คือความคลาดเคลื่อนของราคาที่คำสั่งซื้อขายของคุณถูกดำเนินการ ซึ่งแตกต่างจากราคาที่คุณคาดหวัง ณ เวลาที่ส่งคำสั่ง สำหรับนักลงทุนไทยแล้ว Slippage อาจทำให้ต้นทุนการเทรดเพิ่มขึ้น ลดโอกาสในการทำกำไร หรือทำให้คำสั่ง Stop Loss ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex ที่ใช้ Leverage สูง หรือตลาด Crypto ที่มีความผันผวนมาก
ทำไมการตั้งค่า Slippage Tolerance จึงสำคัญมากในการเทรด DeFi และ Crypto ในไทย?
การตั้งค่า Slippage Tolerance เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด DeFi และ Crypto เนื่องจากช่วยให้คุณสามารถกำหนดเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนของราคาที่คุณยอมรับได้ หากไม่ตั้งค่าหรือตั้งค่าไม่เหมาะสม คำสั่งของคุณอาจล้มเหลวบ่อยครั้งในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือถูกดำเนินการในราคาที่แย่กว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรและประสบการณ์การเทรด
มีวิธีไหนบ้างที่นักเทรด Forex ชาวไทยจะลดโอกาสการเกิด Negative Slippage?
- ใช้คำสั่ง Limit Order แทน Market Order
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องสูงและระบบดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็ว
- เทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง
- หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความผันผวนสูง
- พิจารณาขนาดคำสั่งซื้อขายให้เหมาะสม
โบรกเกอร์ Forex รายใดในไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องการจัดการ Slippage ได้ดี?
การเลือกโบรกเกอร์ที่จัดการ Slippage ได้ดีนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น เทคโนโลยีการดำเนินการคำสั่ง สภาพคล่องที่โบรกเกอร์เข้าถึง และนโยบายการดำเนินการคำสั่งของโบรกเกอร์เอง โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง โปร่งใส และมีรีวิวเชิงบวกเกี่ยวกับการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและแม่นยำ มักจะเป็นตัวเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลและทดลองใช้บัญชีทดลองก่อนตัดสินใจ เพื่อดูว่าโบรกเกอร์นั้นๆ มีประสิทธิภาพตามที่คุณต้องการหรือไม่
Slippage ที่เกิดขึ้นกับคู่เงิน THB/USD หรือ THB/BTC มีลักษณะพิเศษอย่างไร?
Slippage สำหรับคู่เงินที่มี THB เป็นส่วนประกอบ เช่น THB/USD อาจได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องของตลาดเงินบาทเอง หากมีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างรุนแรง เช่น การประกาศนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือช่วงวันหยุดยาวในประเทศไทยที่สภาพคล่องในประเทศลดลง อาจทำให้ Slippage เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นและรุนแรงขึ้น เช่นเดียวกับคู่ THB/BTC ที่ราคาอาจผันผวนตามการเคลื่อนไหวของ Bitcoin และอุปสงค์อุปทานในตลาดไทย
การเทรดช่วงตลาดปิดในประเทศไทยมีผลต่อ Slippage มากน้อยแค่ไหน?
การเทรดในช่วงที่ตลาดหลักในประเทศไทยปิดทำการ (เช่น ตลาดหุ้นไทย) อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของคู่เงินที่มี THB เป็นส่วนประกอบในตลาด Forex ได้ ทำให้สภาพคล่องลดลงและโอกาสการเกิด Slippage เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาด Forex และ Crypto เป็นตลาดระดับโลกที่เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง การเทรดในช่วงเวลาที่ตลาดหลักอื่นๆ เปิดทำการพร้อมกัน (เช่น ตลาดสหรัฐฯ และยุโรป) จะยังคงมีสภาพคล่องสูงอยู่
ฉันควรปรับ Slippage Tolerance ให้สูงขึ้นเมื่อตลาดผันผวนมากจริงหรือไม่?
ใช่ ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การปรับ Slippage Tolerance ให้สูงขึ้นเล็กน้อย (เช่น จาก 0.5% เป็น 1% หรือ 2%) อาจช่วยเพิ่มโอกาสที่คำสั่งซื้อขายของคุณจะถูกดำเนินการสำเร็จ แทนที่จะล้มเหลว อย่างไรก็ตาม คุณต้องเข้าใจว่านี่หมายถึงคุณยอมรับที่จะได้รับราคาที่แย่ลงได้มากขึ้น ดังนั้นควรพิจารณาอย่างรอบคอบและไม่ควรตั้งค่าสูงเกินไปจนทำให้เกิดการขาดทุนที่ไม่คาดคิด
Slippage สามารถทำให้คำสั่ง Stop Loss ของฉันพลาดเป้าหมายได้หรือไม่?
ได้ Slippage สามารถทำให้คำสั่ง Stop Loss ของคุณพลาดเป้าหมายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือเมื่อมีข่าวสำคัญที่ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรง คำสั่ง Stop Loss อาจถูกดำเนินการในราคาที่แย่กว่าที่คุณตั้งไว้ ทำให้คุณขาดทุนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเรียกว่า “slippage on stop loss” เป็นเหตุผลว่าทำไมการบริหารความเสี่ยงและการเลือกโบรกเกอร์ที่มีการดำเนินการคำสั่งที่ดีจึงสำคัญ
หากฉันใช้แพลตฟอร์มเทรด Crypto ยอดนิยมในไทย เช่น Bitkub หรือ Satang Pro มีโอกาสเจอ Slippage มากน้อยแค่ไหน?
แพลตฟอร์มเทรด Crypto แบบรวมศูนย์ในไทย เช่น Bitkub หรือ Satang Pro โดยทั่วไปมีสภาพคล่องที่ดีสำหรับคู่เหรียญยอดนิยม อย่างไรก็ตาม Slippage ยังคงสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก หรือเมื่อมีการซื้อขายเหรียญที่มีสภาพคล่องต่ำ การออกแบบระบบการจับคู่คำสั่ง (matching engine) และสภาพคล่องโดยรวมของแพลตฟอร์มมีผลต่อโอกาสการเกิด Slippage แพลตฟอร์มเหล่านี้มักมีกลไกในการจัดการ Slippage ที่ดีกว่า DEX แต่ก็ไม่ได้ป้องกันได้ 100%
การใช้ VPS (Virtual Private Server) ช่วยลด Slippage ในการเทรด Forex ได้จริงหรือ?
การใช้ VPS (Virtual Private Server) สามารถช่วยลด Slippage ได้จริงในแง่ของการลด Network Latency หรือความล่าช้าของเครือข่าย เนื่องจาก VPS มักจะตั้งอยู่ในศูนย์ข้อมูลที่อยู่ใกล้กับเซิร์ฟเวอร์ของโบรกเกอร์ ทำให้การส่งคำสั่งซื้อขายมีความรวดเร็วขึ้น ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปก่อนที่คำสั่งจะไปถึง อย่างไรก็ตาม VPS ไม่ได้ช่วยป้องกัน Slippage ที่เกิดจากความผันผวนของตลาดหรือสภาพคล่องต่ำโดยตรง