Money Management คืออะไร? 6 เหตุผลสำคัญสู่ความสำเร็จทางการเงินที่ยั่งยืน

Money Management คืออะไร? เข้าใจหลักพื้นฐานที่นักลงทุนทุกคนต้องรู้

ภาพประกอบการบริหารการเงินอย่างมีระบบ แสดงบุคคลที่กำลังถ่วงดุลระหว่างเหรียญและกราฟการลงทุน เพื่อสื่อถึงการควบคุมความเสี่ยงและการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอ

Money Management หรือที่รู้จักในชื่อการบริหารจัดการเงินลงทุน ไม่ใช่แค่การออมหรือการลงทุนแบบทั่วไป แต่คือกระบวนการวางแผน การจัดสรร และการควบคุมเงินทุนอย่างมีวินัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว โดยคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างรอบคอบ แนวคิดนี้ไม่ได้เน้นเพียงแค่ผลตอบแทน แต่ให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นและการสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตโฟลิโออย่างยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะเทรดหุ้น คริปโต หรือ Forex การมีระบบบริหารเงินที่ดีจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล ไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีบทบาท

ในทางปฏิบัติ Money Management คือการบริหารจัดการทุกบาททุกสตางค์ในพอร์ตอย่างมีกลยุทธ์ ตั้งแต่การตัดสินใจว่าจะลงทุนเท่าไร ควรเสี่ยงเท่าใดในแต่ละรายการ และจะทำอย่างไรเมื่อตลาดผันผวนรุนแรง มันต่างจาก “การออม” ซึ่งมักเน้นการเก็บเงินสะสม และต่างจาก “การลงทุนทั่วไป” ที่มักมุ่งเน้นการเลือกสินทรัพย์ที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว เพราะ Money Management คือการมองภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยง การจัดสรรสินทรัพย์ ไปจนถึงการกำหนดจุดเข้า-ออกที่ชัดเจน

ตัวอย่างเช่น หากคุณตัดสินใจซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ระบบ Money Management จะช่วยให้คุณตอบคำถามสำคัญได้ เช่น ควรลงทุนกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินทุนทั้งหมด ควรตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่ระดับใด และจะทำกำไร (Take Profit) เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงจุดไหน การมีกรอบการทำงานเช่นนี้จะช่วยให้คุณไม่ตื่นตระหนกเมื่อตลาดผันผวน และสามารถรักษาผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างมั่นคง

ทำไม Money Management จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางการเงิน?

ภาพประกอบนักลงทุนที่กำลังนำโล่ Money Management เข้ามาป้องกันพอร์ตการลงทุนขณะเผชิญกับตลาดที่ผันผวนรุนแรง แสดงถึงการปกป้องเงินทุนและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จในตลาดการเงินไม่ได้ขึ้นอยู่กับการคาดเดาแนวโน้มเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการเงินทุนอย่างมีวินัย นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวมักมีระบบ Money Management ที่ชัดเจน ในขณะที่ผู้ที่ล้มเหลวมักขาดวินัยหรือไม่มีแผนรองรับความเสี่ยง การมีกรอบการบริหารเงินที่ดีจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตในตลาด

ประโยชน์หลักของการใช้ Money Management มีดังนี้:

  • รักษาเงินต้นและป้องกันการขาดทุนรุนแรง: การกำหนดขีดจำกัดความเสี่ยงต่อการลงทุนแต่ละครั้ง เช่น ไม่เกิน 1-2% ของพอร์ต ช่วยให้แม้คุณจะเจอการขาดทุนต่อเนื่อง คุณก็ยังมีเงินทุนเหลือเพียงพอที่จะกลับมาลงทุนใหม่ได้
  • ลดความเสี่ยงโดยรวม: การใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การกระจายความเสี่ยง การคำนวณขนาด Position อย่างเหมาะสม และการตั้ง Stop Loss จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และทำให้ผลตอบแทนมีความเสถียรมากขึ้น
  • สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน: การเก็บรักษากำไรที่ได้มาอย่างมีวินัย ทำให้คุณสามารถต่อยอดการลงทุนได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หลังจากขาดทุนหนัก
  • อยู่รอดในช่วงตลาดผันผวน: ตลาดมีทั้งขาขึ้นและขาลง การมีระบบบริหารเงินที่ดีจะช่วยให้คุณไม่ต้องหลุดออกจากเกมก่อนเวลาอันควร แม้จะเจอกับช่วงขาลงที่รุนแรง
  • ก้าวไปสู่เป้าหมายการเงินระยะยาว: ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นการเกษียณอย่างสบาย การซื้อบ้าน หรือความอิสระทางการเงิน Money Management คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณวางแผนและเดินทางไปสู่เป้าหมายเหล่านั้นได้อย่างมั่นคง
  • ควบคุมอารมณ์ในการลงทุน: ความโลภและความกลัวเป็นศัตรูตัวร้ายของนักลงทุน การมีแผนที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณตัดสินใจตามเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ ทำให้คุณไม่ปิดการซื้อขายเร็วเกินไปเมื่อขาดทุน หรือไม่ปิดทำกำไรเมื่อได้กำไรแล้ว

การวางแผนระยะยาวและการควบคุมอารมณ์เป็นสองปัจจัยที่ Money Management เข้ามามีบทบาทอย่างมาก เมื่อคุณมีแผนที่ชัดเจน คุณจะมีความมั่นใจมากขึ้น และสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างใจเย็น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลลัพธ์ในระยะยาว

หลักการและกลยุทธ์พื้นฐานที่นักลงทุนทุกคนต้องเข้าใจ

ภาพประกอบเครื่องมือการเงินที่สำคัญ เช่น เครื่องคิดเลขสำหรับคำนวณขนาดการลงทุน สัญลักษณ์ตัดขาดทุน สินทรัพย์หลากหลายประเภท และแผนการซื้อขาย เพื่อสื่อถึงการบริหารจัดการอย่างรอบด้าน

การบริหารจัดการเงินไม่ใช่ศาสตร์ที่ซับซ้อนเกินเข้าใจ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการพื้นฐานและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ด้านล่างนี้คือกลยุทธ์สำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรรู้และนำไปใช้

การกำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing)

การกำหนดขนาด Position คือหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของ Money Management เพราะมันช่วยให้คุณไม่เสี่ยงเงินทุนมากเกินไปในคราวเดียว หลักการคือการจำกัดความเสี่ยงต่อการลงทุนแต่ละครั้งให้อยู่ในระดับที่พอรับได้ เช่น 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด

สมมติว่าคุณมีเงินทุน 100,000 บาท และตั้งเป้าหมายว่าจะเสี่ยงไม่เกิน 1% ต่อการซื้อขาย นั่นหมายความว่าคุณสามารถยอมขาดทุนได้สูงสุด 1,000 บาท หากคุณซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท และตั้งจุด Stop Loss ที่ 95 บาท คุณจะขาดทุน 5 บาทต่อหุ้น ดังนั้น จำนวนหุ้นที่คุณควรซื้อคือ 1,000 / 5 = 200 หุ้น วิธีนี้ช่วยให้คุณไม่ Overtrade และรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่ปลอดภัย

การบริหารความเสี่ยงและการตั้งจุดตัดขาดทุน

การบริหารความเสี่ยงคือกระบวนการระบุ ประเมิน และควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละการลงทุน โดยเครื่องมือหลักคือการตั้ง Stop Loss และ Take Profit

  • Stop Loss: คือระดับราคาที่คุณตกลงใจจะขายสินทรัพย์ออกเพื่อจำกัดการขาดทุน ไม่ว่าคุณจะลงทุนในหุ้น คริปโต หรือ Forex การตั้งจุดนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้การขาดทุนลุกลามจนควบคุมไม่ได้
  • Take Profit: คือระดับราคาที่คุณตั้งใจจะขายเพื่อล็อกกำไร จุดนี้ช่วยให้คุณไม่ตกเป็นเหยื่อของความโลภ ซึ่งมักทำให้กำไรหายไปเมื่อราคาเปลี่ยนทิศ
  • อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio): ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น 1:2 หมายความว่าคุณยอมเสี่ยง 1 บาท เพื่อทำกำไร 2 บาท แม้คุณจะชนะไม่ถึงครึ่ง คุณก็ยังมีโอกาสทำกำไรในระยะยาว

การกระจายความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล

การกระจายความเสี่ยงคือการไม่ลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว หรือตลาดเดียว เพราะหากสินทรัพย์นั้นเกิดปัญหา คุณจะไม่สูญเสียทั้งหมดในคราวเดียว

ตัวอย่างเช่น แทนที่จะซื้อหุ้นเทคโนโลยีทั้งหมด คุณอาจกระจายไปยังหุ้นกลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนในกองทุนรวม ทองคำ หรือคริปโตเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต การกระจายอย่างมีเหตุผลจะช่วยให้พอร์ตของคุณมีความมั่นคงมากขึ้น แม้บางสินทรัพย์จะไม่ให้ผลตอบแทนดี แต่สินทรัพย์อื่นอาจชดเชยได้

การสร้างและปฏิบัติตามแผนการซื้อขาย

แผนการซื้อขายคือ “คู่มือ” ที่ระบุทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของคุณ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การเข้า-ออก ขนาด Position จุด Stop Loss, Take Profit และเหตุผลในการลงทุน

การมีแผนที่ชัดเจนช่วยให้คุณไม่ต้องตัดสินใจแบบรีบด่วนหรือด้วยอารมณ์ การปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัดจึงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ

ข้อมูลจาก Investopedia ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนที่มีแผนการซื้อขายที่ชัดเจนมีแนวโน้มประสบความสำเร็จในระยะยาวสูงกว่าผู้ที่ไม่มีแผนอย่างมีนัยสำคัญ การมีวินัยต่อแผนจึงไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นปัจจัยที่แยกนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ล้มเหลว

Money Management ในแต่ละตลาด: ปรับใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะ

Money Management เป็นแนวคิดที่สามารถใช้ได้กับทุกตลาด แต่ต้องปรับให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละประเภทเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การบริหารเงินในตลาด Forex

ตลาด Forex มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก การบริหารเงินในตลาดนี้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการใช้ Leverage ที่แม้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทน แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน

  • ควบคุมการใช้ Leverage: ควรใช้ Leverage ในระดับที่เหมาะสม และเข้าใจผลกระทบของมันอย่างถ่องแท้
  • คำนวณ Lot Size และ Pip Value: การเข้าใจขนาดสัญญาและการเปลี่ยนแปลงของราคา (Pip) เป็นสิ่งจำเป็นในการคำนวณความเสี่ยงและขนาดการลงทุน
  • จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรด: โดยทั่วไปควรกำหนดไว้ที่ 1-2% ของเงินทุนต่อการซื้อขาย เพื่อป้องกันการสูญเสียทั้งหมดในช่วงตลาดผันผวน

การบริหารเงินในตลาดคริปโต

ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงมาก บางครั้งราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 10-20% ภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำให้การบริหารเงินมีความสำคัญยิ่งกว่าตลาดอื่น

  • จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรด: ควรตั้งเป้าไว้ที่ 0.5-1% ของพอร์ตต่อการเทรดเพื่อรับมือกับความผันผวน
  • หลีกเลี่ยงเหรียญที่น่าสงสัย: ควรทำการศึกษาพื้นฐานของโปรเจกต์ก่อนลงทุน และหลีกเลี่ยงเหรียญที่ไม่มีทีมงานหรือจุดประสงค์ชัดเจน
  • กระจายการลงทุนในเหรียญหลายประเภท: ไม่ควรทุ่มทั้งหมดในเหรียญเดียว ควรแบ่งออกเป็นหลายเหรียญที่มีพื้นฐานแข็งแรง หรือรวมถึง Stablecoin เพื่อลดความผันผวน
  • ตั้ง Stop Loss อย่างมีเหตุผล: ไม่ควรตั้ง Stop Loss แคบเกินไป เพราะอาจถูกตัดออกบ่อย แต่ก็ไม่ควรตั้งห่างจนเสี่ยงเสียเงินทุนมากเกินไป

การบริหารเงินในตลาดหุ้น

การลงทุนในหุ้นมีทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว ทำให้กลยุทธ์การบริหารเงินแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์

  • วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: สำหรับการลงทุนระยะยาว ควรศึกษางบการเงิน แนวโน้มธุรกิจ และสภาพอุตสาหกรรมอย่างละเอียด
  • การถือครองระยะยาว: นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าอาจไม่ตั้ง Stop Loss อย่างเข้มงวด แต่จะเน้นการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) แทน
  • กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging): การซื้อหุ้นเป็นงวดด้วยจำนวนเงินคงที่ ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา และเฉลี่ยต้นทุนได้ดี

สูตรและเครื่องมือช่วยคำนวณเพื่อการใช้งานจริง

การบริหารเงินไม่ใช่เรื่องของการคาดเดา แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการคำนวณอย่างแม่นยำ สูตรและเครื่องมือต่อไปนี้จะช่วยให้คุณนำไปใช้ได้จริง

สูตรคำนวณอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio)

อัตราส่วนนี้เปรียบเทียบระหว่างจำนวนเงินที่คุณยอมเสี่ยง กับจำนวนที่คาดว่าจะได้รับกลับมา

สูตร: Risk-Reward Ratio = (ราคาเข้า – จุด Stop Loss) : (จุด Take Profit – ราคาเข้า)

ตัวอย่าง: คุณซื้อหุ้นที่ 100 บาท ตั้ง Stop Loss ที่ 95 บาท (เสี่ยง 5 บาท) และ Take Profit ที่ 115 บาท (ได้ 15 บาท) อัตราส่วนคือ 5 : 15 หรือ 1 : 3

ความสำคัญคือ แม้คุณจะชนะเพียง 40% ของการเทรด แต่ถ้าคุณได้กำไร 3 เท่าของที่เสียไป คุณก็ยังทำกำไรได้ในระยะยาว

สูตรคำนวณขนาด Position (Fixed Fractional)

วิธี Fixed Fractional คือการคำนวณขนาดการลงทุนตามเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้

สูตร:
จำนวนหน่วยที่ซื้อ = (เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง × เงินทุนทั้งหมด) / (ราคาเข้า – จุด Stop Loss)

ตัวอย่าง:
เงินทุน: 100,000 บาท
ความเสี่ยง: 1% = 1,000 บาท
ราคาเข้า: 100 บาท
Stop Loss: 95 บาท
ส่วนต่าง: 5 บาท
จำนวนหุ้น: 1,000 / 5 = 200 หุ้น

เงินทุนรวม (บาท) % ความเสี่ยง เงินที่เสี่ยง (บาท) ราคาเข้า (บาท) Stop Loss (บาท) ส่วนต่าง (บาท) จำนวนหน่วยที่ซื้อ
100,000 1% 1,000 100 95 5 200
100,000 1% 1,000 50 48 2 500
100,000 2% 2,000 100 90 10 200

เครื่องมือและแอปที่ช่วยบริหารการเงิน

ปัจจุบันมีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยให้การบริหารเงินง่ายขึ้น:

  • TradingView: แพลตฟอร์มวิเคราะห์กราฟที่มีฟังก์ชันคำนวณ Risk-Reward และ Position Sizing
  • MyFxBook: เครื่องมือติดตามผลการเทรดของนักเทรด Forex
  • Excel/Google Sheets: สร้างตารางคำนวณเองได้ตามความต้องการ
  • แอปการเงินส่วนบุคคล: เช่น Mint, Personal Capital หรือแอปธนาคารในไทยที่ช่วยติดตามรายรับ-รายจ่าย

จิตวิทยาการลงทุนและวินัย: หัวใจของการบริหารเงินที่ยั่งยืน

Money Management ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตใจของนักลงทุนอย่างลึกซึ้ง ความโลภ ความกลัว และความหงุดหงิด มักเป็นสาเหตุให้ผู้คนตัดสินใจผิดพลาด

เมื่อได้กำไร ความโลภอาจทำให้คุณไม่ยอมขาย หวังกำไรที่มากกว่านี้ จนสุดท้ายอาจกลับมาขาดทุน หรือเมื่อขาดทุน ความกลัวอาจทำให้คุณปิดพอร์ตเร็วเกินไป หรือไม่กล้ากลับมาลงทุนอีก

การมีวินัยคือการตั้งกฎให้ตัวเอง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น การตั้ง Stop Loss และ Take Profit ตั้งแต่ก่อนเข้าเทรด และไม่เปลี่ยนแปลงภายหลัง หรือการบันทึกการเทรด (Trading Journal) เพื่อวิเคราะห์ว่าเหตุใดจึงตัดสินใจแบบนั้น และเรียนรู้จากข้อผิดพลาด

งานวิจัยจาก The Journal of Behavioral Finance ชี้ให้เห็นว่า อคติทางจิตวิทยามีผลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ การมีวินัยจึงเป็นอาวุธสำคัญในการเอาชนะอคติเหล่านี้ และสร้างผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีหลีกเลี่ยง

แม้ Money Management จะมีความสำคัญ แต่หลายรายยังคงทำผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง

  • ไม่ตั้ง Stop Loss หรือตั้งไม่เหมาะสม: ควรตั้ง Stop Loss ตามการวิเคราะห์ และยึดมั่นในมัน
  • Overtrade: การซื้อขายมากเกินไปหรือขนาด Position ใหญ่เกินเงินทุน ควรคำนวณอย่างเคร่งครัด
  • ไม่ทำตามแผน: การทิ้งแผนทิ้งไว้เพราะอารมณ์ ควรบันทึกการเทรดและทบทวนบ่อยๆ
  • ไม่บันทึกผลการเทรด: การไม่ใช้ Trading Journal ทำให้เรียนรู้ช้า ควรเริ่มบันทึกทุกครั้ง
  • ซื้อเพิ่มตอนขาดทุน (Averaging Down): การซื้อเพิ่มเพื่อหวังต้นทุนเฉลี่ยต่ำลง อาจทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิม ควรยึดตามแผนและ Stop Loss

สรุป: ก้าวสู่ความสำเร็จด้วย Money Management

Money Management คือหัวใจของการลงทุนที่ยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตลาดใด หรือมีประสบการณ์ระดับไหน การมีระบบบริหารเงินที่ดีจะช่วยให้คุณปกป้องเงินทุน ลดความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง

มันไม่ใช่แค่การคำนวณ แต่คือวินัย การควบคุมอารมณ์ และการยึดมั่นในแผน การเข้าใจหลักการพื้นฐาน เช่น Position Sizing, Risk Management, การกระจายความเสี่ยง และการใช้เครื่องมือต่างๆ จะเป็นกุญแจสำคัญที่พาคุณไปสู่ความสำเร็จ

เริ่มต้นสร้างแผน Money Management ของคุณวันนี้ ทบทวนอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุด คือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อก้าวสู่การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

1. Money Management มีกี่แบบ และแต่ละแบบเหมาะกับนักลงทุนประเภทใด?

Money Management มีหลายแนวทาง แต่มักแบ่งตามหลักการจัดการความเสี่ยง เช่น:

  • Fixed Fractional (เปอร์เซ็นต์คงที่): เสี่ยงเงินทุนเป็นเปอร์เซ็นต์คงที่ (เช่น 1-2%) ของพอร์ตต่อการเทรด เหมาะกับนักเทรดทุกระดับที่ต้องการควบคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
  • Fixed Ratio (อัตราส่วนคงที่): เพิ่มขนาด Position เมื่อกำไรถึงจุดที่กำหนด เหมาะกับนักเทรดที่มีประสบการณ์และต้องการเร่งการเติบโตของพอร์ต
  • Fixed Amount (จำนวนเงินคงที่): เสี่ยงเงินทุนเป็นจำนวนเงินคงที่ต่อการเทรด เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่าย
  • Optimal F: คำนวณขนาด Position ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อทำกำไรสูงสุด แต่มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักเทรดที่มีความเข้าใจเชิงลึกและยอมรับความเสี่ยงได้สูง

การเลือกแบบใดขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และประสบการณ์ของนักลงทุน

2. สูตร Money Management ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเทรด Forex คืออะไร?

สูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเทรด Forex คือการใช้หลักการ Fixed Fractional โดยจำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดให้อยู่ที่ 1-2% ของเงินทุนทั้งหมด

ตัวอย่างสูตร:

  1. คำนวณเงินทุนที่ยอมเสี่ยง: เงินทุนรวม x เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง (เช่น 100,000 USD x 0.01 = 1,000 USD)
  2. คำนวณ Pip Value: ขึ้นอยู่กับคู่เงินและ Lot Size (เช่น 1 Standard Lot ของ EUR/USD มี Pip Value ประมาณ 10 USD)
  3. คำนวณระยะห่าง Stop Loss เป็น Pip: จุดเข้า – Stop Loss (เช่น 1.1000 – 1.0950 = 50 Pips)
  4. คำนวณ Lot Size: (เงินทุนที่ยอมเสี่ยง)