บทนำ: ทำความรู้จัก “เลเวอเรจ” เครื่องมือทรงพลังสำหรับนักลงทุนมือใหม่

ในโลกของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี คำว่า “เลเวอเรจ” ถือเป็นหนึ่งในแนวคิดที่มีทั้งแรงดึงดูดและอันตรายในตัวเอง มันถูกเรียกว่าดาบสองคม เพราะสามารถเปลี่ยนทุนน้อยให้กลายเป็นกำไรก้อนโตได้ในพริบตา แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้บัญชีการลงทุนของคุณหายวับไปอย่างไม่เหลือร่องรอยได้เช่นกัน ผู้เริ่มต้นจำนวนมากหลงใหลในพลังของเลเวอเรจโดยไม่เข้าใจกลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง จนในที่สุดต้องจบท้ายด้วยการขาดทุนหนัก บทความนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อเป็นคู่มืออย่างละเอียดสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเข้าใจเลเวอเรจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจตลาดฟอเร็กซ์ ตั้งแต่ความหมาย วิธีการทำงาน ข้อดี-ข้อเสีย ไปจนถึงกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงและแนวทางการใช้งานอย่างปลอดภัย
เลเวอเรจคืออะไร? คำจำกัดความและหลักการทำงานพื้นฐานที่มือใหม่ต้องรู้

เลเวอเรจ หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “อัตราทด” คือ กลไกที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนจริงในบัญชีของคุณโดยการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คุณใช้เงินเพียงเล็กน้อย แต่สามารถเปิดคำสั่งเทรดที่มีขนาดใหญ่ได้ เช่น หากคุณมีเงิน 1,000 ดอลลาร์ และใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณก็สามารถเข้าร่วมตลาดในวงเงิน 100,000 ดอลลาร์ ผลลัพธ์คือ แม้ราคาจะเปลี่ยนแปลงเพียงนิดเดียว ผลกำไรหรือขาดทุนของคุณก็จะถูกคูณด้วยอัตราส่วนนั้นทันที นี่คือที่มาของทั้งโอกาสและความเสี่ยง
แนวคิดนี้คล้ายกับการใช้คานงัดในการยกวัตถุหนัก โดยคุณใช้แรงเพียงเล็กน้อยแต่สามารถยกของหนักได้หลายเท่า ในทำนองเดียวกัน เลเวอเรจช่วยให้คุณ “ยก” การลงทุนที่มีมูลค่าสูงได้ด้วยทุนน้อย อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย หรือการวิเคราะห์ตลาดที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้ผลขาดทุนถูกขยายออกจนเกินกว่าที่คุณจะรับไหวได้เช่นกัน
อัตราส่วนเลเวอเรจ (Leverage Ratio) แต่ละแบบมีความหมายอย่างไร?

อัตราส่วนเลเวอเรจบ่งบอกว่าคุณสามารถควบคุมมูลค่าการเทรดได้กี่เท่าของเงินทุนที่คุณมี โดยแต่ละระดับมีลักษณะเฉพาะและความเหมาะสมที่แตกต่างกัน:
* **เลเวอเรจ 1:100:** ทุก 1 ดอลลาร์ในบัญชีของคุณสามารถควบคุมคำสั่งเทรดได้ 100 ดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าคุณต้องใช้เงินประกัน 1% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมด ถือเป็นอัตราส่วนที่นิยมและค่อนข้างสมดุล ไม่สูงหรือต่ำเกินไป
* **เลเวอเรจ 1:500:** ทุน 1 หน่วย สามารถควบคุมคำสั่งซื้อขายได้ 500 หน่วย ใช้เงินประกันเพียง 0.2% เท่านั้น แม้จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเข้าตลาดได้มาก แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วยเป็นสัดส่วน
* **เลเวอเรจ 1:1000:** ทุนเพียงนิดเดียวสามารถควบคุมคำสั่งขนาดใหญ่ได้ถึง 1,000 เท่า ใช้เงินประกันเพียง 0.1% ถือเป็นระดับที่มีความเสี่ยงสูงมาก และเหมาะกับผู้เชี่ยวชาญที่มีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด
* **เลเวอเรจ 1:1:** คุณใช้เงินทั้งหมดของตัวเองในการเปิดคำสั่ง ไม่มีการกู้ยืมจากโบรกเกอร์ ความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการเข้าตลาดขนาดใหญ่
ยิ่งอัตราสูง ยิ่งต้องใช้ทุนน้อยในการเปิดคำสั่ง แต่ในทางกลับกัน ความผันผวนเพียงเล็กน้อยในตลาดก็สามารถกระแทกยอดเงินในบัญชีของคุณได้ทันที
มาร์จิ้น (Margin): เงินประกันที่สัมพันธ์กับเลเวอเรจอย่างแยกไม่ออก
เมื่อคุณใช้เลเวอเรจ เงินมาร์จิ้นคือสิ่งที่คุณต้องเข้าใจควบคู่กันไปเสมอ มาร์จิ้นคือยอดเงินที่โบรกเกอร์กันไว้จากบัญชีของคุณเพื่อรับประกันว่าคุณสามารถรับภาระหนี้จากการเทรดได้ ไม่ใช่ค่าธรรมเนียม แต่เป็น “เงินประกัน” ที่ถูก “ล็อก” ไว้ในขณะที่คุณมีคำสั่งเปิดอยู่
ความสัมพันธ์ระหว่างเลเวอเรจกับมาร์จิ้นคือ ยิ่งเลเวอเรจสูง มาร์จิ้นที่ต้องใช้ก็ยิ่งต่ำ แต่ถ้าตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณคาดการณ์ ยอดกำไรหรือขาดทุนจะส่งผลโดยตรงต่อมาร์จิ้นของคุณ หากราคาเคลื่อนตัวจนทำให้เงินประกันเหลือน้อยลงจนถึงจุดหนึ่ง โบรกเกอร์จะส่ง **Margin Call** เพื่อแจ้งให้คุณเติมเงินเข้าบัญชีเพิ่ม หากคุณไม่ทำตาม โบรกเกอร์จะทำการ **Stop Out** โดยปิดคำสั่งทั้งหมดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณติดลบ
นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนมือใหม่ต้องตระหนักอย่างยิ่ง เพราะการติดตามมาร์จิ้นอย่างใกล้ชิด คือเป้าหมายแรกของการอยู่รอดในเกมนี้ โบรกเกอร์อย่าง XM ได้อธิบายถึงมาร์จิ้นและความสัมพันธ์กับเลเวอเรจไว้อย่างชัดเจน
ข้อดีและข้อเสียของการใช้เลเวอเรจในการเทรด: ดาบสองคมที่ต้องเข้าใจ
เลเวอเรจไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือร้ายโดยตัวมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานของผู้เทรด โดยมีทั้งด้านบวกและด้านลบที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
**ข้อดีของการใช้เลเวอเรจ:**
* **เพิ่มศักยภาพในการทำกำไร:** ด้วยทุนไม่กี่พัน คุณอาจสามารถสร้างกำไรเป็นหมื่นหรือแสนบาทได้ จากการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในตลาด
* **เข้าถึงตลาดได้โดยใช้ทุนต่ำ:** ช่วยให้ผู้ที่มีเงินทุนจำกัดสามารถเข้าร่วมตลาดฟอเร็กซ์หรืออนุพันธ์ได้โดยไม่ต้องมีเงินล้าน
* **เพิ่มความยืดหยุ่นในการเทรด:** สามารถเปิดคำสั่งหลายตำแหน่ง หรือกระจายการลงทุนได้แม้ทุนจำกัด
**ข้อเสียและความเสี่ยงของการใช้เลเวอเรจ:**
* **การขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว:** หากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คุณคาดการณ์ ความเสียหายจะถูกคูณตามอัตราส่วนเลเวอเรจทันที
* **เสี่ยงต่อการถูกล้างพอร์ต:** คำสั่ง Stop Out อาจเกิดขึ้นได้ในไม่กี่นาที หากคุณเลือกใช้เลเวอเรจสูงและไม่มีการบริหารความเสี่ยง
* **กดดันจิตใจสูง:** การเทรดด้วยเลเวอเรจสูงทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของตลาดรู้สึกหนักหน่วง อาจทำให้สูญเสียสติ ตัดสินใจด้วยอารมณ์ และล้มเหลว
การคำนวณเลเวอเรจและตัวอย่างการซื้อขายจริงสำหรับมือใหม่
การเข้าใจวิธีคำนวณมาร์จิ้นคือกุญแจสำคัญในการบริหารบัญชีของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ
**สูตรการคำนวณมาร์จิ้น:**
มาร์จิ้นที่ต้องการ = (มูลค่าการเทรด / อัตราส่วนเลเวอเรจ)
**ตัวอย่าง:**
สมมติคุณต้องการเทรด EUR/USD จำนวน 1 Standard Lot (100,000 หน่วย) โดยใช้เงินทุนเป็นดอลลาร์สหรัฐ
**กรณีที่ 1: เลเวอเรจ 1:100**
* มูลค่าการเทรด = 100,000 USD
* เลเวอเรจ = 1:100
* มาร์จิ้น = 100,000 / 100 = 1,000 USD
**กรณีที่ 2: เลเวอเรจ 1:500**
* มูลค่าการเทรด = 100,000 USD
* เลเวอเรจ = 1:500
* มาร์จิ้น = 100,000 / 500 = 200 USD
**กรณีที่ 3: เลเวอเรจ 1:1000**
* มูลค่าการเทรด = 100,000 USD
* เลเวอเรจ = 1:1000
* มาร์จิ้น = 100,000 / 1,000 = 100 USD
การเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าแม้จะเทรดสินทรัพย์เดียวกัน แต่การเลือกใช้เลเวอเรจที่ต่างกันจะส่งผลต่อเงินที่คุณต้องกันไว้อย่างมาก
**ตารางเปรียบเทียบมาร์จิ้นที่ต้องการสำหรับ 1 Standard Lot (100,000 EUR/USD) ที่ 1 EUR = 1.10 USD**
| อัตราส่วนเลเวอเรจ | มาร์จิ้นที่ต้องการ (EUR) | มาร์จิ้นที่ต้องการ (USD) |
| :—————- | :———————– | :———————– |
| 1:1 | 100,000 EUR | 110,000 USD |
| 1:100 | 1,000 EUR | 1,100 USD |
| 1:500 | 200 EUR | 220 USD |
| 1:1000 | 100 EUR | 110 USD |
เลือกเลเวอเรจเท่าไหร่ดีสำหรับมือใหม่? คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
คำถามว่า “leverage เท่าไหร่ดี pantip” หรือ “เลเวอเรจเท่าไหร่ดี” เป็นสิ่งที่นักเทรดทุกคนต้องเผชิญ แต่คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขเพียงอย่างเดียว หากพิจารณาจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ ผู้เริ่มต้นควรเริ่มจากจุดที่ปลอดภัยที่สุด
* **เริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำ:** แนะนำให้ใช้เลเวอเรจ 1:10, 1:20 หรือไม่เกิน 1:50 เพื่อให้คุณได้เรียนรู้การวิเคราะห์ตลาด การตั้งจุดเข้า-ออก และบริหารความเสี่ยง โดยไม่ต้องรับภาระทางจิตใจมากเกินไป
* **รู้จักความเสี่ยงของตัวเอง:** ถามตัวเองว่าคุณรับความผันผวนได้แค่ไหน หากคุณเครียดกับการเห็นแดงเล็กน้อย การใช้เลเวอเรจสูงไม่ใช่คำตอบ
* **พัฒนาทีละก้าว:** เมื่อคุณมีประสบการณ์ มีแผนการเทรดที่ชัดเจน และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี จึงค่อยพิจารณาเพิ่มเลเวอเรจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
* **ประเมินขนาดพอร์ต:** ยิ่งทุนมาก ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้เลเวอเรจสูง หากคุณมีเงิน 100,000 บาท ก็อาจเริ่มต้นที่ 1:20 ได้โดยไม่ต้องเสี่ยง
* **สอดคล้องกับกลยุทธ์:** นักเทรดแบบสเกลป์หรือเดย์เทรดอาจใช้เลเวอเรจสูงได้มากกว่านักลงทุนแนวสวิงเทรดที่ถือคำสั่งข้ามคืน
โดยสรุป สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือความชาญฉลาด เพราะมันช่วยให้คุณเรียนรู้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเรียนแพงเกินไป
การบริหารความเสี่ยงเมื่อใช้เลเวอเรจ: กุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
ไม่ว่าคุณจะใช้เลเวอเรจเท่าใด การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจหลักของการอยู่รอดในตลาด Finnomena ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน และนี่คือแนวทางที่คุณควรยึดถือ:
* **ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เสมอ:** กำหนดจุดที่คุณยอมแพ้ ไม่ใช่เพื่อจะแพ้ แต่เพื่อจำกัดความเสียหาย
* **ตั้งเป้าหมายทำกำไร (Take Profit):** รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่ อย่าปล่อยให้กำไรกลับกลายเป็นขาดทุน
* **จำกัดขนาดการเทรด:** ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของทุนต่อคำสั่งหนึ่งครั้ง
* **มีแผนการเทรดที่ชัดเจน:** รู้ว่าทำไมถึงเข้า รู้ว่าจะออกเมื่อไร และรู้ว่าผิดพลาดแล้วจะทำอย่างไร
* **บริหารเงินทุน (Money Management):** อย่าเททั้งหมดลงในคำสั่งเดียว แบ่งส่วนและสำรองไว้เสมอ
* **กระจายความเสี่ยง:** อย่าเทรดเฉพาะคู่เงินเดียว หรือสินทรัพย์เดียว ใช้หลากหลายเครื่องมือเพื่อลดโอกาสขาดทุนทั้งหมด
ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำกับการใช้เลเวอเรจ (และวิธีหลีกเลี่ยง)
ผู้เริ่มต้นมักเดินตามรอยผิดพลาดเดิมๆ ที่ส่งผลให้ขาดทุนเร็วและหนัก
* **ใช้เลเวอเรจสูงตั้งแต่เริ่ม:** หวังจะรวยเร็ว แต่ลืมคิดถึงความเสี่ยงที่ตามมา
* *วิธีแก้:* เริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำ ฝึกฝีมือก่อนทำจริง
* **ไม่ตั้ง Stop Loss:** เชื่อว่าราคาจะกลับมา จนในที่สุดก็เสียหายหนัก
* *วิธีแก้:* ตั้ง Stop Loss ทุกครั้งที่เปิดคำสั่ง
* **ไม่มีแผนการเทรด:** เปิดคำสั่งตามอารมณ์หรือข่าวลือ
* *วิธีแก้:* วางแผนก่อนลงมือทุกครั้ง
* **ควบคุมอารมณ์ไม่ได้:** โลภเมื่อได้กำไร กลัวเมื่อขาดทุน จนตัดสินใจผิด
* *วิธีแก้:* ฝึกสติ อยู่กับแผน อย่าเปลี่ยนคำสั่งกลางคัน
* **ไม่เข้าใจมาร์จิ้น:** ไม่สนใจคำเตือน Margin Call จนถูกปิดคำสั่ง
* *วิธีแก้:* เรียนรู้กลไกของ Margin Call และ Stop Out ให้เข้าใจก่อนเริ่มเทรด
ความสำเร็จในตลาดไม่ใช่ใครเร็วที่สุด แต่เป็นใครอยู่รอดได้นานที่สุด การรักษาวินัยและสติคือเครื่องมือที่มีค่าที่สุด
เลเวอเรจในสินทรัพย์อื่นๆ: ภาพรวมสำหรับผู้ที่สนใจขยายการลงทุน
แม้บทความนี้จะเน้นที่ฟอเร็กซ์ แต่แนวคิดของเลเวอเรจถูกใช้ในสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย เช่น:
* **หุ้น CFD:** ซื้อขายหุ้นโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของจริง ใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มศักยภาพ แต่ต้องระวังค่า overnight และความผันผวน
* **คริปโตเคอร์เรนซี:** ตลาดที่มีความผันผวนสูงอยู่แล้ว การใช้เลเวอเรจจึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ควรใช้ด้วยความระมัดระวังสูง
* **สินค้าโภคภัณฑ์:** เช่น ทองคำ น้ำมัน ที่สามารถเทรดในรูปแบบ CFD และใช้เลเวอเรจได้เช่นกัน
แต่ละสินทรัพย์มีลักษณะเฉพาะ นักลงทุนจึงต้องเรียนรู้ไม่เพียงแค่เลเวอเรจ แต่ต้องเข้าใจธรรมชาติของตลาดนั้นๆ ด้วย
สรุป: เลเวอเรจคือเครื่องมือที่ทรงพลังแต่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจและระมัดระวัง
เลเวอเรจคือเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนนักลงทุนมือใหม่ให้กลายเป็นผู้เล่นระดับสูงได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถจบเส้นทางของคุณได้ในไม่กี่นาที หากขาดความรู้และการวางแผน การเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำ กำหนดแผนการเทรด ตั้งจุดตัดขาดทุน และบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวดคือแนวทางเดียวที่จะพาคุณไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว ธนาคารกรุงศรีฯ ได้ให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Forex ที่เป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ ก่อนจะลงทุนจริง อย่าลืมว่าความรู้คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด ขอให้คุณก้าวเข้าสู่ตลาดการเงินด้วยความรอบคอบ มีสติ และยั่งยืน
1. เลเวอเรจ 1:100 คืออะไร และหมายความว่าฉันต้องใช้เงินลงทุนเท่าไหร่?
เลเวอเรจ 1:100 คืออัตราส่วนที่หมายความว่า สำหรับทุก 1 หน่วยของเงินทุนที่คุณมีในบัญชี คุณสามารถควบคุมมูลค่าการเทรดได้ 100 หน่วย หากคุณต้องการเปิดสถานะการเทรดมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ คุณจะต้องวางเงินประกัน (มาร์จิ้น) เพียง 1,000 ดอลลาร์ (1% ของมูลค่าการเทรด) เท่านั้น
2. เลเวอเรจ 1:1000 แตกต่างจาก 1:100 อย่างไร และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนสำหรับมือใหม่?
เลเวอเรจ 1:1000 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมมูลค่าการเทรดได้ 1,000 เท่าของเงินทุนที่คุณมี ซึ่งมากกว่า 1:100 ถึง 10 เท่า นั่นหมายความว่าคุณใช้เงินมาร์จิ้นน้อยลงมากเพื่อเปิดสถานะขนาดเท่ากัน (เช่น หากต้องการเทรด 100,000 ดอลลาร์ จะใช้มาร์จิ้นเพียง 100 ดอลลาร์) ความแตกต่างคือ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สำหรับมือใหม่ เพราะการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้คุณขาดทุนจนเงินในบัญชีหมดได้อย่างรวดเร็ว
3. ถ้าโบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 1:500 คืออะไร และเหมาะสมกับนักเทรดประเภทไหน?
เลเวอเรจ 1:500 คืออัตราส่วนที่ให้คุณควบคุมมูลค่าการเทรดได้ 500 เท่าของเงินทุนของคุณ (วางมาร์จิ้น 0.2%) อัตราส่วนนี้ถือว่าสูงมาก และมักจะไม่เหมาะสมกับนักเทเทรดมือใหม่ แต่จะเหมาะสมกับนักเทรดที่มีประสบการณ์สูง มีความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง มีระบบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด และยอมรับความเสี่ยงได้สูงมาก
4. “เลเวอเรจ คือ” อะไรในความหมายที่แท้จริงของการเทรด และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
“เลเวอเรจ คือ” การกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อขาย ทำให้คุณสามารถเปิดสถานะการเทรดที่มีขนาดใหญ่กว่าเงินทุนที่คุณมีจริงในบัญชี ประโยชน์หลักคือ:
- เพิ่มศักยภาพในการทำกำไรในตลาดที่มีความผันผวนน้อย
- ช่วยให้เข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าสูงได้ด้วยเงินทุนเริ่มต้นที่จำกัด
- เพิ่มโอกาสในการเทรดในสถานการณ์ต่างๆ
5. ฉันควรเลือกอัตรา “เลเวอเรจ เท่าไหร่ดี” สำหรับการเริ่มต้นเทรดในตลาด Forex?
สำหรับนักเทรดมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น 1:1, 1:10, 1:20 หรือสูงสุดไม่เกิน 1:50 การใช้เลเวอเรจต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนและให้คุณได้เรียนรู้ตลาดและกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงโดยไม่เผชิญกับแรงกดดันที่มากเกินไป เมื่อมีประสบการณ์และความเข้าใจมากขึ้นแล้ว ค่อยพิจารณาเพิ่มอัตราส่วนเลเวอเรจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
6. การใช้ “เลเวอเรจ 1:1” มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร และใครเหมาะกับอัตราส่วนนี้?
ข้อดี: เป็นการเทรดที่ปลอดภัยที่สุด เพราะคุณใช้เงินทุนของตัวเองทั้งหมด ไม่มีความเสี่ยงจาก Margin Call หรือ Stop Out ที่เกิดจากการกู้ยืม
ข้อเสีย: ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นจำนวนมากหากต้องการเปิดสถานะขนาดใหญ่ และศักยภาพในการทำกำไรจากเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวของราคาจะน้อยกว่า
เหมาะสมกับ: นักลงทุนที่มีเงินทุนสูง ไม่ต้องการความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการกู้ยืม และเน้นการลงทุนระยะยาว
7. มีข้อแนะนำจากกระทู้ “leverage เท่าไหร่ดี pantip” ที่น่าสนใจสำหรับมือใหม่บ้างหรือไม่?
จากกระทู้ “leverage เท่าไหร่ดี pantip” และจากประสบการณ์ นักเทรดส่วนใหญ่มักแนะนำให้มือใหม่เริ่มต้นด้วยเลเวอเรจที่ต่ำ (เช่น 1:10 ถึง 1:100) หรือให้ใช้บัญชี Cent/Micro เพื่อฝึกฝนด้วยเงินจริงจำนวนน้อยก่อน นอกจากนี้ ยังมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง การตั้ง Stop Loss และการไม่โอเวอร์เทรด (Overtrade) ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำ
8. การใช้ “เล เว อ เร จ 1:2000” มีความเสี่ยงและผลกระทบอย่างไรต่อบัญชีเทรดของฉัน?
การใช้เลเวอเรจ 1:2000 นั้นสูงมาก และเป็นอัตราส่วนที่ มีความเสี่ยงสูงสุด ที่โบรกเกอร์มักเสนอให้ ผลกระทบคือ:
- คุณสามารถเปิดสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยมาร์จิ้นที่น้อยมาก ทำให้คุณมี “Free Margin” ดูเหมือนเยอะ แต่ความจริงแล้วแค่ราคาเคลื่อนไหวสวนทางคุณเพียงไม่กี่จุด ก็สามารถทำให้เกิด Margin Call และ Stop Out ได้อย่างรวดเร็ว
- สร้างแรงกดดันทางจิตใจมหาศาล และมีโอกาสสูงมากที่บัญชีจะถูกล้างพอร์ต
อัตราส่วนนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ และแม้แต่นักเทรดมืออาชีพก็ยังต้องใช้ด้วยความระมัดระวังสูงสุด
9. มาร์จิ้นฟรี (Free Margin) และระดับมาร์จิ้น (Margin Level) มีความสำคัญอย่างไรกับการบริหารเลเวอเรจ?
มาร์จิ้นฟรี (Free Margin) คือจำนวนเงินที่เหลืออยู่ในบัญชีของคุณที่สามารถใช้เปิดสถานะใหม่ได้ หรือรองรับการขาดทุนของสถานะที่เปิดอยู่ หาก Free Margin ลดลงมาก โอกาสที่จะเกิด Margin Call ก็สูงขึ้น
ระดับมาร์จิ้น (Margin Level) คืออัตราส่วนของ Equity (เงินทุนสุทธิในบัญชี) ต่อ Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้ไป) ยิ่ง Margin Level สูง บัญชีของคุณยิ่งปลอดภัย หาก Margin Level ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ที่โบรกเกอร์กำหนด (เช่น 100% หรือ 50%) ก็จะเกิด Margin Call หรือ Stop Out ได้
ทั้งสองค่านี้เป็นตัวบ่งชี้สุขภาพของบัญชีเทรดของคุณ และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องติดตามเพื่อบริหารความเสี่ยงเมื่อใช้เลเวอเรจ
10. มือใหม่ควรมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงอย่างไรเมื่อใช้เลเวอเรจสูง?
แม้จะไม่แนะนำให้มือใหม่ใช้เลเวอเรจสูง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือต้องการทดลอง ควรมีกลยุทธ์ดังนี้:
- จำกัดขนาดการเทรดให้เล็กที่สุด: เปิดสถานะด้วยขนาดล็อตที่เล็กมาก (เช่น Micro Lot หรือ Nano Lot) เพื่อให้มูลค่าที่ควบคุมได้ไม่สูงเกินไป
- ตั้ง Stop Loss ที่แคบมาก: กำหนดจุดตัดขาดทุนที่ใกล้กับจุดเข้ามากที่สุด เพื่อจำกัดการขาดทุนให้เหลือน้อยที่สุด
- ใช้เงินทุนที่ยอมรับการสูญเสียได้ทั้งหมด: เทรดด้วยเงินที่คุณพร้อมจะเสียไปได้ทั้งหมด โดยไม่กระทบต่อการเงินในชีวิตประจำวัน
- ศึกษาและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: เลเวอเรจสูงต้องการความเข้าใจและการฝึกฝนอย่างหนัก ควรใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) จนกว่าจะชำนาญก่อน