Leverage 1:100 คืออะไร: เจาะลึกกลไก, ข้อดี, ข้อเสีย และความเสี่ยงที่คุณต้องรู้ก่อนลงทุน

บทนำ: เข้าใจโลกแห่งเลเวอเรจในการลงทุน

ภาพประกอบการขยายเงินทุนด้วยเลเวอเรจ 1:100 ในการเทรด forex

ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า “เลเวอเรจ” กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถขยายศักยภาพการสร้างผลตอบแทนจากเงินทุนจำนวนจำกัดได้ โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์ หรือตลาดอนุพันธ์อื่นๆ ที่มีการซื้อขายขนาดใหญ่ตลอด 24 ชั่วโมง การใช้เลเวอเรจช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่ตนเองมีในบัญชี หนึ่งในอัตราส่วนที่ได้รับความนิยมและมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายคือ **เลเวอเรจ 1:100** ซึ่งไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ผู้เริ่มต้นสามารถเข้าถึงตลาดได้ แต่ยังเป็นทางเลือกที่สมดุลสำหรับนักเทรดระดับกลาง บทความนี้จะพาคุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการทำงานของเลเวอเรจ 1:100 ว่ามันคืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และมีวิธีการใช้อย่างปลอดภัยอย่างไร เพื่อให้คุณสามารถนำเครื่องมือนี้มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน

เลเวอเรจคืออะไร? ภาพรวมของเครื่องมือทางการเงินที่เปลี่ยนเกมการลงทุน

ภาพสัญลักษณ์ของความสมดุลระหว่างเลเวอเรจและเงินประกัน (Margin)

เลเวอเรจ หรือที่บางครั้งเรียกว่า “อัตราทด” คือเครื่องมือทางการเงินที่โบรกเกอร์หรือสถาบันการเงินให้บริการ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถเปิดสถานะการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนจริงที่มีอยู่ในบัญชี กลไกพื้นฐานคือ นักลงทุนเพียงแค่วาง “เงินประกัน” หรือที่เรียกว่า **Margin** เป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าการซื้อขาย ส่วนที่เหลือจะถูก “ยืม” จากโบรกเกอร์ ทำให้คุณสามารถควบคุมการซื้อขายขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนน้อย

การใช้เลเวอเรจเหมือนกับการใช้คานงัด หรือแว่นขยายที่ทำให้ผลลัพธ์จากเงินต้นเล็กๆ ดูใหญ่ขึ้นได้ทั้งในด้านกำไรและขาดทุน หากไม่มีเลเวอเรจ นักลงทุนที่มีทุนจำกัดอาจไม่สามารถเข้าร่วมในตลาดที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น การเทรดคู่เงินหลักในปริมาณ 100,000 ดอลลาร์ ได้เลย เพราะจะต้องมีเงินสดเต็มจำนวนในบัญชี ด้วยเหตุนี้ เลเวอเรจจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ความยืดหยุ่น และโอกาสให้กับผู้เข้าร่วมตลาดทุกกลุ่ม อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลเวอเรจได้ที่ Investopedia

เจาะลึกเลเวอเรจ 1:100 ทำงานอย่างไร และมีกลไกอย่างไร

กราฟแสดงการเติบโตแบบทวีคูณจากการใช้เลเวอเรจ 1:100

เลเวอเรจ 1:100 เป็นอัตราส่วนที่นิยมใช้ในกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการความสมดุลระหว่างโอกาสในการทำกำไรและความเสี่ยงที่รับได้ ซึ่งต่างจากเลเวอเรจที่สูงเกินไป เช่น 1:500 หรือ 1:1000 ที่แม้จะให้อำนาจการซื้อขายมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงลิ่ว

ความหมายของเลเวอเรจ 1:100 อย่างละเอียด

เมื่อกล่าวถึงเลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า ทุก 1 หน่วยของเงินทุนที่คุณวางเป็น Margin คุณสามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ถึง 100 เท่า ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินในบัญชี 1,000 ดอลลาร์ และใช้เลเวอเรจ 1:100 คุณสามารถเปิดสถานะการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ได้ แม้จะไม่ได้มีเงินเต็มจำนวนในบัญชีก็ตาม นี่คือจุดที่ทำให้เลเวอเรจกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง เพราะช่วยให้ผู้มีทุนน้อยสามารถเข้าร่วมตลาดขนาดใหญ่ได้อย่างเท่าเทียม

กลไกการทำงานพร้อมตัวอย่างการคำนวณ

การคำนวณเงิน Margin ที่ต้องใช้เมื่อใช้เลเวอเรจ 1:100 ใช้สูตรง่ายๆ ดังนี้:

**Margin ที่ต้องใช้ = (ขนาด Position × ราคาปัจจุบัน) ÷ Leverage**

ตัวอย่างที่ชัดเจน: สมมติว่าคุณต้องการเปิดสถานะซื้อ EUR/USD จำนวน 1 Standard Lot ซึ่งมีมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ โดยใช้เลเวอเรจ 1:100

– **Margin ที่ต้องใช้** = 100,000 ÷ 100 = **1,000 ดอลลาร์**

นั่นแปลว่า คุณต้องมีเงินอย่างน้อย 1,000 ดอลลาร์ในบัญชีเพื่อเปิดตำแหน่งนี้ได้ แม้จะซื้อขายในมูลค่าจริง 100,000 ดอลลาร์ แต่ด้วยเลเวอเรจ คุณเพียงแค่ “ล็อค” 1,000 ดอลลาร์ไว้เป็นประกัน ส่วนที่เหลืออีก 99,000 ดอลลาร์มาจากโบรกเกอร์

ตารางแสดงตัวอย่าง Margin ที่ต้องใช้สำหรับเลเวอเรจ 1:100

| ขนาด Lot (EUR/USD) | มูลค่า Position (USD) | Leverage 1:100 | Margin ที่ต้องใช้ (USD) |
| :—————- | :——————– | :————- | :——————— |
| 0.01 Lot (Micro) | $1,000 | 1:100 | $10 |
| 0.10 Lot (Mini) | $10,000 | 1:100 | $100 |
| 1.00 Lot (Standard) | $100,000 | 1:100 | $1,000 |

เลเวอเรจ 1:100: ข้อดีและข้อเสียที่นักลงทุนควรรู้

การใช้เลเวอเรจ 1:100 ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องเข้าใจว่ามันเป็น “ดาบสองคม” ที่สามารถเพิ่มผลตอบแทนได้สูง แต่ก็สามารถทำให้สูญเสียเงินทุนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน การเข้าใจข้อดีและข้อเสียอย่างถ่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจใช้

ข้อดี: เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาล

จุดเด่นที่สุดของเลเวอเรจ 1:100 คือการเพิ่มอำนาจการซื้อขายจากเงินทุนเริ่มต้นเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น คุณมีเงิน 500 ดอลลาร์ และเปิดสถานะ 5,000 ดอลลาร์ (ใช้เลเวอเรจ 1:10) หากตลาดขยับในทิศทางที่คุณคาดการณ์เพียง 2% คุณจะได้กำไร 100 ดอลลาร์ หรือ 20% ของเงินต้น แต่ถ้าใช้เลเวอเรจ 1:100 และเปิดสถานะ 50,000 ดอลลาร์ด้วย Margin 500 ดอลลาร์ การเคลื่อนไหวเพียง 1% จะให้กำไร 500 ดอลลาร์ หรือ 100% ของเงินต้นทันที นี่คือแรงดึงดูดหลักที่ทำให้เลเวอเรจเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด

ข้อเสีย: ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนั้นก็สูงตามไปด้วย หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณเพียง 1% ในตัวอย่างเดียวกัน คุณจะขาดทุน 500 ดอลลาร์ หรือหมดทุนทั้งหมดทันที ซึ่งนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “Margin Call” หรือ “Stop Out” หรือที่หลายคนเรียกว่า “ล้างพอร์ต” ความผันผวนเพียงเล็กน้อยในตลาดก็เพียงพอที่จะทำให้บัญชีคุณเสียหายได้เมื่อใช้เลเวอเรจสูง ดังนั้น การควบคุมอารมณ์ การวางแผนล่วงหน้า และการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างเลเวอเรจ 1:100 กับ Margin

Margin คือพื้นฐานของการใช้เลเวอเรจ ทุกครั้งที่คุณเปิดสถานะ ระบบจะ “ล็อค” เงินส่วนหนึ่งในบัญชีไว้เป็น Margin ซึ่งจำนวนนี้ขึ้นอยู่กับเลเวอเรจที่ใช้และขนาดของตำแหน่งที่เปิด สำหรับเลเวอเรจ 1:100 คุณต้องใช้ Margin 1% ของมูลค่า Position

– **Used Margin:** เงินที่ถูกล็อคไว้เพื่อรักษากำลังซื้อของ Position ที่เปิดอยู่
– **Free Margin:** เงินที่ยังใช้ได้ในบัญชี ทั้งเพื่อเปิด Position ใหม่ หรือรองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
– **Equity:** เงินทุนทั้งหมดในบัญชี คำนวณจากยอดคงเหลือ + กำไร/ขาดทุนลอยตัว (Floating P/L)

เมื่อ Free Margin ลดลงจนถึงระดับที่กำหนด โบรกเกอร์จะแจ้ง “Margin Call” เพื่อเตือนให้คุณเติมเงิน หากไม่ทำและ Free Margin ลดลงต่อจนถึงจุด “Stop Out” ระบบจะปิด Position โดยอัตโนมัติ ดังนั้น การติดตาม Free Margin อยู่เสมอจึงเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดในตลาด

เปรียบเทียบเลเวอเรจ 1:100 กับอัตราส่วนอื่นๆ

การเลือกใช้เลเวอเรจไม่ควรมองเพียงว่า “ยิ่งสูงยิ่งดี” แต่ควรพิจารณาจากสไตล์การเทรด ระดับประสบการณ์ และความสามารถในการรับความเสี่ยง

ตารางเปรียบเทียบเลเวอเรจอัตราส่วนต่างๆ (สำหรับ Position มูลค่า $100,000)

| อัตราส่วนเลเวอเรจ | Margin ที่ต้องใช้ (USD) | ศักยภาพกำไร/ขาดทุน | ระดับความเสี่ยง | ความยืดหยุ่นของ Margin |
| :—————- | :——————— | :—————– | :————- | :——————– |
| 1:100 | $1,000 | ปานกลางสูง | ปานกลางสูง | ปานกลาง |
| 1:500 | $200 | สูง | สูง | สูงกว่า |
| 1:1000 | $100 | สูงมาก | สูงมาก | สูงมากที่สุด |

– **Margin ที่ต้องใช้:** ยิ่งเลเวอเรจสูง ยิ่งใช้เงิน Margin น้อยในการเปิด Position เดียวกัน
– **ศักยภาพกำไร/ขาดทุน:** ยิ่งเลเวอเรจสูง ผลลัพธ์จากความผันผวนจะทวีคูณมากขึ้น
– **ระดับความเสี่ยง:** เลเวอเรจสูงหมายถึงความเสี่ยงที่จะถูก Margin Call สูงขึ้น เพราะตลาดเพียงขยับนิดเดียว ก็ส่งผลต่อทุนของคุณอย่างรุนแรง
– **ความยืดหยุ่นของ Margin:** แม้เลเวอเรจสูงจะทำให้มี Free Margin เหลือมาก แต่ก็ต้องระวังไม่ใช้เปิด Position เพิ่มจนเกินพอดี

สำหรับมือใหม่ เลเวอเรจ 1:100 ถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า เพราะยังคงต้องใช้ Margin ในระดับที่ไม่ต่ำจนเกินไป จึงมี “พื้นที่หายใจ” มากกว่าเมื่อตลาดผันผวน

การใช้เลเวอเรจ 1:100 อย่างชาญฉลาดสำหรับนักลงทุนมือใหม่

การใช้เลเวอเรจไม่ใช่แค่เรื่องของ “อัตราส่วน” แต่เกี่ยวข้องกับวินัย ความรู้ และการจัดการความเสี่ยง การเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจ 1:100 ถือเป็นก้าวแรกที่เหมาะสม แต่ก็ต้องมีแนวทางที่ดี

ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนใช้เลเวอเรจ

– **ขนาดเงินทุน:** ยิ่งทุนมาก ยิ่งสามารถทนต่อความผันผวนได้ดีขึ้น
– **ระดับประสบการณ์:** มือใหม่ควรเริ่มจากเลเวอเรจต่ำก่อน เช่น 1:10 หรือ 1:30 เพื่อเรียนรู้
– **สไตล์การเทรด:** Scalper อาจต้องการเลเวอเรจสูง ขณะที่ Swing Trader อาจใช้เลเวอเรจต่ำกว่า
– **ความผันผวนของสินทรัพย์:** คู่เงินที่ผันผวนสูง เช่น GBP/JPY ควรใช้เลเวอเรจต่ำเพื่อลดความเสี่ยง
– **ความสามารถในการรับความเสี่ยง:** ถามตัวเองว่า “หากเสีย 10% ของทุน ฉันจะรับมือได้ไหม?”

กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงเมื่อใช้เลเวอเรจ 1:100

– **ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง:** กำหนดจุดตัดขาดทุนล่วงหน้า เพื่อป้องกันการสูญเสียเกินกว่าที่รับได้
– **ตั้ง Take Profit:** ระบุเป้าหมายทำกำไรที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้贪婪ทำลายผลลัพธ์
– **ควบคุมขนาด Lot:** ใช้เพียงส่วนหนึ่งของเลเวอเรจที่มี เช่น แม้มี 1:100 แต่อาจใช้ Margin เพียง 1–2% ของบัญชีต่อครั้ง
– **ไม่ใช้เลเวอเรจเต็มจำนวน:** แม้โบรกเกอร์จะให้ 1:100 แต่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด ใช้เลเวอเรจจริง (Effective Leverage) ต่ำกว่าจะดีกว่า
– **ฝึกในบัญชีจำลองก่อน:** ใช้บัญชี Demo เพื่อทดสอบกลยุทธ์ก่อนใช้เงินจริง
– **กระจายความเสี่ยง:** อย่าใส่เงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว หรือเปิด Position เดียว

ข้อควรระวังและข้อจำกัดของเลเวอเรจ 1:100 จากโบรกเกอร์

แม้เลเวอเรจ 1:100 จะดูเหมือนเป็นมาตรฐาน แต่โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีนโยบายที่แตกต่างกัน ซึ่งนักลงทุนควรทราบ:

– **ขั้นต่ำของเงินทุน:** บางโบรกเกอร์อาจต้องการเงินฝากเริ่มต้นสูงกว่าหากต้องการใช้เลเวอเรจสูง
– **การปรับเลเวอเรจชั่วคราว:** ในช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ โบรกเกอร์อาจลดเลเวอเรจลงเพื่อลดความเสี่ยง
– **กฎระเบียบในแต่ละประเทศ:** เช่น ยุโรป หรือออสเตรเลีย มีการจำกัดเลเวอเรจสูงสุด (เช่น 1:30 สำหรับฟอเร็กซ์) เพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อย
– **เลเวอเรจต่างกันตามสินทรัพย์:** คู่เงินหลักอาจได้ 1:100 แต่สินค้าโภคภัณฑ์หรือดัชนีอาจได้แค่ 1:20 หรือ 1:50
– **นโยบาย Margin Call และ Stop Out:** ระดับที่กำหนดอาจต่างกัน เช่น บางโบรกเกอร์แจ้งที่ 50% ของ Margin ขณะที่บางแห่งแจ้งที่ 30%

ดังนั้น การอ่านข้อกำหนดและเงื่อนไขของโบรกเกอร์อย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน สามารถศึกษาได้จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

สรุป: ใช้เลเวอเรจ 1:100 อย่างไรให้ปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุด

เลเวอเรจ 1:100 เป็นเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนเงินทุนเล็กๆ ให้มีอำนาจการซื้อขายสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะขาดทุนอย่างรวดเร็ว หากใช้โดยไม่รอบคอบ โดยเฉพาะมือใหม่ การเข้าใจกลไกการทำงาน ความสัมพันธ์กับ Margin และการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัยคือหัวใจสำคัญ

การเลือกใช้เลเวอเรจควรพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ทุน ประสบการณ์ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ อย่าลืมว่า ความสำเร็จในตลาดไม่ได้วัดจาก “เปิด Position ใหญ่แค่ไหน” แต่วัดจาก “อยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาวอย่างไร” การใช้ Stop Loss, จัดการขนาด Lot อย่างเหมาะสม และไม่ใช้เลเวอเรจเต็มจำนวน คือแนวทางที่นักลงทุนประสบความสำเร็จใช้กัน

สุดท้าย ศึกษาโบรกเกอร์ของคุณให้ดี ตรวจสอบข้อจำกัด และอยู่ในกฎระเบียบที่ถูกต้อง เพื่อให้การใช้เลเวอเรจ 1:100 เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเติบโต ไม่ใช่เครื่องมือที่ทำลายพอร์ตการลงทุนของคุณ

1. Leverage 1:100 หมายถึงอะไรในบริบทของการเทรด Forex?

Leverage 1:100 ในการเทรด Forex หมายความว่าสำหรับทุกๆ 1 หน่วยของเงินทุนที่คุณวางเป็น Margin คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าได้ถึง 100 เท่าของเงินทุนนั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงิน $100 คุณสามารถเปิด Position ที่มีมูลค่าสูงสุดถึง $10,000 ได้

2. ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Leverage 1:100 ในการลงทุนมีอะไรบ้าง?

ข้อดี:

  • เพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากเงินทุนเริ่มต้นที่จำกัด
  • ช่วยให้เข้าถึงการเทรดสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงได้

ข้อเสีย:

  • เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก
  • มีโอกาสถูก Margin Call หรือ Stop Out (ล้างพอร์ต) ได้ง่ายขึ้น

3. Leverage 1:100 แตกต่างจาก Leverage 1:500 หรือ 1:1000 อย่างไร?

ความแตกต่างหลักอยู่ที่จำนวน Margin ที่ต้องใช้ในการเปิด Position ขนาดเท่ากัน Leverage 1:100 จะต้องการ Margin มากกว่า (เช่น $1,000 สำหรับ Position $100,000) ในขณะที่ Leverage 1:500 และ 1:1000 จะต้องการ Margin ที่น้อยกว่า (เช่น $200 และ $100 ตามลำดับ) Leverage ที่สูงกว่าจะเพิ่มศักยภาพกำไร/ขาดทุนและความเสี่ยงที่สูงกว่าด้วย

4. การคำนวณ Margin ที่ต้องใช้เมื่อเทรดด้วย Leverage 1:100 ทำได้อย่างไร?

Margin ที่ต้องใช้ = (ขนาด Position x ราคาปัจจุบัน) / Leverage ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเปิด Position มูลค่า $100,000 ด้วย Leverage 1:100 คุณจะต้องใช้ Margin $100,000 / 100 = $1,000

5. นักลงทุนมือใหม่ควรเลือกใช้ Leverage 1:100 หรือไม่?

Leverage 1:100 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สมเหตุสมผลสำหรับนักลงทุนมือใหม่มากกว่าอัตราส่วนที่สูงเกินไป เพราะยังคงให้โอกาสในการเพิ่มกำไร แต่ก็ยังคงรักษา Margin ที่ต้องใช้ในระดับที่ไม่ต่ำจนเกินไป อย่างไรก็ตาม ควรเริ่มต้นด้วยการเทรดด้วยขนาด Lot ที่เล็กและมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด

6. ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการใช้ Leverage 1:100 คืออะไรและจะบริหารจัดการได้อย่างไร?

ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ การขาดทุนอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การถูก Margin Call หรือล้างพอร์ต

การบริหารจัดการความเสี่ยง:

  • ตั้งค่า Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดการขาดทุน
  • จัดการขนาด Position ให้เหมาะสมกับเงินทุน
  • ไม่ใช้ Leverage เต็มจำนวน
  • ศึกษาและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

7. มีข้อกำหนดหรือข้อจำกัดพิเศษใดๆ จากโบรกเกอร์เกี่ยวกับ Leverage 1:100 หรือไม่?

โบรกเกอร์แต่ละแห่งอาจมีนโยบายแตกต่างกันไป อาจมีข้อกำหนดเงินทุนขั้นต่ำ, การปรับเปลี่ยน Leverage ในช่วงข่าวสำคัญ, หรือ Leverage ที่แตกต่างกันสำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภท นอกจากนี้ กฎระเบียบของประเทศก็อาจจำกัดอัตราส่วน Leverage สูงสุดที่โบรกเกอร์สามารถเสนอได้

8. Leverage 1:100 ใช้ได้กับสินทรัพย์ประเภทใดบ้างนอกเหนือจาก Forex?

Leverage 1:100 สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์หลายประเภทที่เทรดผ่านโบรกเกอร์ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities), ดัชนีหลักทรัพย์ (Indices), คริปโตเคอร์เรนซีบางประเภท หรือหุ้นรายตัว (ผ่าน CFD) อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน Leverage อาจแตกต่างกันไปตามประเภทสินทรัพย์และความผันผวน

9. การใช้ Leverage 1:100 มีผลต่อขนาดล็อต (Lot Size) ในการเทรดอย่างไร?

Leverage 1:100 ช่วยให้คุณสามารถเปิด Lot Size ที่ใหญ่ขึ้นได้ด้วยเงินทุน Margin ที่น้อยลง หากไม่มี Leverage คุณอาจต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อเปิด Lot ขนาดเท่ากัน แต่ด้วย Leverage คุณสามารถใช้เงิน Margin เพียง $1,000 เพื่อเปิด 1 Standard Lot (มูลค่า $100,000) ได้

10. ถ้าใช้ Leverage 1:100 แล้วโดน Margin Call จะเกิดอะไรขึ้น?

เมื่อคุณโดน Margin Call หมายความว่า Free Margin ในบัญชีของคุณเหลือน้อยกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด โบรกเกอร์จะแจ้งให้คุณเติมเงินเพิ่ม หากคุณไม่เติมเงินและ Free Margin ลดลงไปอีกจนถึงระดับ Stop Out โบรกเกอร์จะทำการปิด Position ที่ขาดทุนของคุณโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการขาดทุนที่เกินกว่าเงินทุนที่คุณมีอยู่ในบัญชี