บทนำ: ทำความเข้าใจความแตกต่างของหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ
ในโลกของการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งรวมโอกาสในการสร้างรายได้และผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ แต่การจะลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย จำเป็นต้องเข้าใจเครื่องมือการลงทุนพื้นฐานอย่างแท้จริง โดยเฉพาะ “หุ้น” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สะท้อนสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัทโดยตรง

หุ้นที่พบได้ทั่วไปมีสองประเภทหลัก คือ หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ แม้ทั้งสองจะถือว่าเป็นตราสารทุนและมีจุดประสงค์เพื่อระดมทุนเหมือนกัน แต่กลับมีลักษณะ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การเลือกประเภทหุ้นที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นการตัดสินใจที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในวัตถุประสงค์การลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงข้อแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิอย่างละเอียด ตั้งแต่สิทธิของผู้ถือหุ้น ศักยภาพของผลตอบแทน ไปจนถึงแนวทางการตัดสินใจที่เหมาะสมกับโปรไฟล์การลงทุนของคุณ เพื่อให้คุณสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างชาญฉลาด และลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
หุ้นสามัญคืออะไร? เจาะลึกสิทธิและลักษณะสำคัญ
หุ้นสามัญเป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างแท้จริง การซื้อหุ้นสามัญของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หมายความว่าคุณได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นและมีส่วนร่วมในผลประกอบการของบริษัทนั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งกำไรหรือขาดทุน

คำจำกัดความและลักษณะสำคัญของหุ้นสามัญ
หุ้นสามัญ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “หุ้น” เป็นตราสารทุนที่บริษัทออกเพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุน ผู้ถือหุ้นสามัญมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถือ และมีความรับผิดจำกัดเฉพาะมูลค่าหุ้นที่ลงทุนไปเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงส่วนตัว
หนึ่งในคุณสมบัติเด่นของหุ้นสามัญคือศักยภาพในการเติบโตของราคา ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น ผลประกอบการของบริษัท แนวโน้มของอุตสาหกรรม และสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากมูลค่าที่ซื้อมา นักลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของกำไรจากส่วนต่าง (Capital Gain) ซึ่งเป็นแรงจูงใจหลักของนักลงทุนระยะยาว
อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อผลตอบแทนคือเงินปันผล ซึ่งบริษัทอาจจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นจากกำไรสุทธิ แต่การจ่ายเงินปันผลไม่ใช่เรื่องบังคับ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท และแผนการใช้กำไรในแต่ละปี บางบริษัทเลือกเก็บกำไรไว้เพื่อขยายกิจการ ทำให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับเงินปันผลในทุกปี
สิทธิของผู้ถือหุ้นสามัญ
การเป็นเจ้าของบริษัทไม่ใช่เพียงแค่ได้รับผลตอบแทน แต่ยังหมายถึงสิทธิในการมีเสียงตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบริษัท โดยผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิหลักดังต่อไปนี้
- สิทธิในการออกเสียง: ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยทั่วไปใช้หลัก “หนึ่งหุ้น หนึ่งเสียง” ซึ่งช่วยให้สามารถมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งกรรมการ อนุมัติงบการเงิน หรือตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างการควบรวมกิจการ
- สิทธิในการรับเงินปันผล: เมื่อบริษัทมีกำไรและมีมติจ่ายปันผล ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้น อย่างไรก็ตาม เงินปันผลเหล่านี้ไม่ได้รับประกัน และอาจถูกตัดสินใจเลื่อนหรือยกเลิกได้
- สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อนบุคคลอื่น (Pre-emptive Right): หากบริษัทต้องการเพิ่มทุนและออกหุ้นใหม่ ผู้ถือหุ้นเดิมมีสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มเติมตามสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วนการเป็นเจ้าของไม่ให้ถูกลดทอน
- สิทธิในการได้รับสินทรัพย์เมื่อบริษัทเลิกกิจการ: หากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับส่วนแบ่งจากสินทรัพย์ที่เหลือหลังจากชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งมักจะเป็นลำดับสุดท้าย และมีโอกาสสูญเสียการลงทุนทั้งหมดหากสินทรัพย์ไม่พอ
หุ้นบุริมสิทธิคืออะไร? ทำความเข้าใจสิทธิพิเศษและประเภทต่างๆ
หุ้นบุริมสิทธิเป็นทางเลือกการลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงมากกว่าศักยภาพการเติบโตสูง ลักษณะของหุ้นประเภทนี้อยู่ระหว่างหุ้นสามัญและตราสารหนี้ ทำให้มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
คำจำกัดความและลักษณะสำคัญของหุ้นบุริมสิทธิ
หุ้นบุริมสิทธิเป็นตราสารทุนที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ถือหุ้นในด้านการได้รับผลตอบแทนและลำดับการชำระคืนเมื่อบริษัทล้มละลาย ชื่อ “บุริมสิทธิ” สะท้อนถึงสถานะที่ “ได้รับสิทธิก่อน” เมื่อเทียบกับผู้ถือหุ้นสามัญ
- สิทธิในการรับเงินปันผลก่อน: ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ โดยอัตราปันผลมักจะกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น เป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่ตราไว้ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถคาดการณ์รายได้ได้อย่างต่อเนื่อง
- ลำดับการได้รับชำระคืนสูงกว่าหุ้นสามัญ: หากบริษัทต้องเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสินทรัพย์ที่เหลือก่อนหุ้นสามัญ แต่ยังคงอยู่หลังเจ้าหนี้ทั่วไป เช่น ผู้ให้กู้ยืมเงินหรือผู้ถือหุ้นกู้
- ไม่มีสิทธิออกเสียง: ข้อจำกัดสำคัญคือผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิในการออกเสียงหรือมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อผลตอบแทนที่แน่นอนมากกว่า
ด้วยลักษณะดังกล่าว หุ้นบุริมสิทธิจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำและต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
ประเภทของหุ้นบุริมสิทธิที่นักลงทุนควรรู้
หุ้นบุริมสิทธิไม่ได้มีเพียงแบบเดียว แต่ถูกออกแบบมาหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักลงทุน ดังนี้
- หุ้นบุริมสิทธิสะสม: หากบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลในปีใด ปันผลที่ค้างจะถูกสะสมไว้ และต้องจ่ายให้ครบถ้วนก่อนที่จะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นสามัญในปีถัดไป ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับผู้ลงทุน
- หุ้นบุริมสิทธิไม่สะสม: ปันผลที่ไม่ได้จ่ายในปีนั้นจะสูญหายไป และไม่มีการเรียกร้องย้อนหลัง ซึ่งให้ความยืดหยุ่นแก่บริษัทมากกว่า
- หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้: ผู้ถือหุ้นสามารถแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญได้ตามอัตราที่กำหนด ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงในระยะสั้น แต่ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้นในระยะยาว
- หุ้นบุริมสิทธิเรียกคืนได้: บริษัทมีสิทธิไถ่ถอนหุ้นคืนในราคาที่กำหนด ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของหุ้นบุริมสิทธิสามารถศึกษาได้จากบทความของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิประเภทต่างๆ
ตารางเปรียบเทียบ: ความแตกต่างหลักระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิฉบับสมบูรณ์
เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพความแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิได้อย่างชัดเจนและครอบคลุมที่สุด ตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้จะสรุปประเด็นสำคัญในด้านต่างๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของคุณ:
คุณสมบัติ | หุ้นสามัญ (Common Stock) | หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) |
---|---|---|
สิทธิในการออกเสียง | มีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น (มีส่วนร่วมในการบริหาร) | โดยทั่วไปไม่มีสิทธิออกเสียง (ไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร) |
เงินปันผล | ไม่แน่นอน, ขึ้นอยู่กับผลกำไรและนโยบายบริษัท, จ่ายหลังหุ้นบุริมสิทธิ | มักจะคงที่, ได้รับก่อนหุ้นสามัญ, อาจเป็นแบบสะสมหรือไม่สะสม |
ลำดับการชำระคืนเมื่อเลิกกิจการ | ลำดับสุดท้าย (หลังเจ้าหนี้และหุ้นบุริมสิทธิ) | ลำดับก่อนหุ้นสามัญ (แต่หลังเจ้าหนี้) |
ศักยภาพการเติบโตของราคา | สูงกว่า, เชื่อมโยงกับผลประกอบการและการเติบโตของบริษัท | จำกัดกว่า, ราคาผันผวนน้อยกว่า, มักจะเคลื่อนไหวเหมือนตราสารหนี้ |
ความผันผวนของราคา | สูงกว่า, ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและผลประกอบการ | ต่ำกว่า, มีความมั่นคงมากกว่า |
ความเสี่ยง | สูงกว่า (จากความผันผวนของราคาและเงินปันผลที่ไม่แน่นอน) | ต่ำกว่าหุ้นสามัญ (จากความมั่นคงของเงินปันผลและลำดับการชำระคืน) |
เป้าหมายการลงทุนที่เหมาะสม | นักลงทุนที่ต้องการ Capital Gain, ยอมรับความเสี่ยงได้สูง | นักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ, เน้นความมั่นคง, ไม่ต้องการความเสี่ยงสูง |
ข้อดีและข้อเสีย: การลงทุนในหุ้นสามัญ vs. หุ้นบุริมสิทธิสำหรับนักลงทุน
การเลือกลงทุนในหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ ควรพิจารณาจากข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภทอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ระยะเวลาการลงทุน และโปรไฟล์ความเสี่ยงของตนเอง
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในหุ้นสามัญ
หุ้นสามัญเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผู้ที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องเตรียมใจเผชิญ
ข้อดี:
- ศักยภาพการเติบโตของเงินลงทุนสูง: เมื่อบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ราคาหุ้นสามัญสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก สร้างผลตอบแทนจากการขายหุ้นที่สูง
- สิทธิในการมีส่วนร่วม: ผู้ถือหุ้นสามัญสามารถใช้เสียงของตนเองเพื่อปกป้องผลประโยชน์และมีอิทธิพลต่ออนาคตของบริษัท
- สภาพคล่องสูง: หุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่มักมีปริมาณการซื้อขายสูง ทำให้ซื้อขายได้ง่ายและรวดเร็ว
ข้อเสีย:
- ความเสี่ยงสูง: ราคาหุ้นสามัญสามารถผันผวนรุนแรงได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ จากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบริษัท
- เงินปันผลไม่สม่ำเสมอ: นักลงทุนไม่สามารถคาดหวังเงินปันผลทุกปีได้ เพราะขึ้นอยู่กับผลกำไรและการตัดสินใจของบริษัท
- ลำดับการได้รับคืนทุนต่ำ: ในกรณีล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญมักจะไม่ได้รับอะไรคืนเลย เพราะต้องชำระหนี้และจ่ายให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิก่อน
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ
หุ้นบุริมสิทธิเน้นความมั่นคง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องรับรู้
ข้อดี:
- รายได้ที่คาดการณ์ได้: เงินปันผลที่คงที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนรายรับได้ล่วงหน้า เหมาะกับผู้ที่ต้องการรายได้ประจำ
- ลำดับการได้รับชำระสูงกว่า: ทั้งในเรื่องเงินปันผลและการคืนทุน ทำให้เสี่ยงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสามัญ
- ความผันผวนต่ำ: ราคาหุ้นบุริมสิทธิมักไม่ขึ้นลงมากนัก เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด
ข้อเสีย:
- การเติบโตจำกัด: ราคาหุ้นบุริมสิทธิไม่เติบโตเท่าหุ้นสามัญ แม้บริษัทจะมีกำไรสูงก็ตาม
- ไม่มีสิทธิในการตัดสินใจ: ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำให้ขาดเสียงในองค์กร
- สภาพคล่องต่ำกว่า: การซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิในตลาดรองอาจมีปริมาณน้อย ทำให้ขายออกได้ยากในบางช่วงเวลา
เลือกแบบไหนดี: ปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณาเมื่อเลือกหุ้น
การตัดสินใจระหว่างหุ้นสามัญกับหุ้นบุริมสิทธิไม่ควรมองข้ามปัจจัยส่วนตัวที่มีผลต่อผลลัพธ์การลงทุนในระยะยาว
เป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
คำถามสำคัญที่ควรถามตัวเองคือ “ฉันต้องการอะไรจากการลงทุน?”
- หากคุณต้องการผลตอบแทนสูงและสามารถรับความผันผวนได้ หุ้นสามัญคือทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะหากคุณลงทุนในระยะยาวและสามารถรับความเสี่ยงได้สูง
- หากคุณต้องการรายได้ประจำ ไม่ต้องการความผันผวน และต้องการรักษามูลค่าเงินต้นไว้ หุ้นบุริมสิทธิจะตอบโจทย์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว หรือผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ต
การประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยให้คุณเลือกเส้นทางที่เหมาะสม ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนการลงทุนสามารถศึกษาได้จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการพอร์ตการลงทุน
มุมมองของบริษัท: ทำไมบริษัทถึงออกหุ้นบุริมสิทธิ?
การเข้าใจเหตุผลที่บริษัทเลือกออกหุ้นบุริมสิทธิ ช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมของกลยุทธ์การเงินของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น
- ระดมทุนโดยไม่ลดอำนาจควบคุม: การออกหุ้นบุริมสิทธิช่วยให้บริษัทได้เงินทุนโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนหุ้นสามัญ ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมยังคงรักษาสัดส่วนอำนาจในการควบคุมบริษัทไว้ได้
- ดึงดูดนักลงทุนกลุ่มเฉพาะ: นักลงทุนที่ต้องการรายได้แน่นอนและไม่ต้องการความเสี่ยงสูง มักสนใจหุ้นบุริมสิทธิ ช่วยเพิ่มแหล่งทุนจากกลุ่มนี้
- ความยืดหยุ่นในการจ่ายปันผล: ต่างจากดอกเบี้ยของหุ้นกู้ที่ต้องจ่ายทุกปี หุ้นบุริมสิทธิสามารถเลื่อนการจ่ายปันผลได้หากบริษัทมีปัญหา ซึ่งช่วยลดแรงกดดันทางการเงิน
- ลดต้นทุนการระดมทุน: ในบางกรณี การออกหุ้นบุริมสิทธิอาจมีต้นทุนต่ำกว่าการกู้ยืมเงิน โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูง
สรุป: ทำไมการเข้าใจความแตกต่างจึงสำคัญต่อการลงทุนของคุณ
ความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิเป็นพื้นฐานสำคัญของการลงทุนอย่างมีเหตุผล หุ้นสามัญเหมาะกับผู้ที่มองหาผลตอบแทนสูงและต้องการมีส่วนร่วมในบริษัท ขณะที่หุ้นบุริมสิทธิเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและรายได้ที่แน่นอน
การเลือกประเภทหุ้นที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องของ “ดีกว่า” หรือ “แย่กว่า” แต่คือการเลือก “เหมาะสมกว่า” กับตัวคุณ การประเมินเป้าหมาย ความเสี่ยง และความต้องการกระแสเงินสดจะช่วยให้คุณจัดสรรการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
การศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน จะช่วยเสริมความมั่นใจ และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในเส้นทางการลงทุนของคุณในระยะยาว
1. ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิในการได้รับเงินปันผลคงที่ทุกปีหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิได้รับเงินปันผลในอัตราที่คงที่หรือจำนวนเงินที่แน่นอนต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท หากบริษัทไม่มีกำไรหรือมีปัญหาทางการเงิน ก็อาจจะไม่จ่ายเงินปันผลได้ ซึ่งหากเป็นหุ้นบุริมสิทธิแบบสะสม เงินปันผลที่ค้างจ่ายจะถูกสะสมและต้องจ่ายในภายหลังก่อนหุ้นสามัญ
2. หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้คืออะไร และมีเงื่อนไขอย่างไร?
หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้ (Convertible Preferred Stock) คือ หุ้นบุริมสิทธิที่ผู้ถือมีสิทธิในการแปลงหุ้นของตนให้เป็นหุ้นสามัญได้ตามอัตราส่วนและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เงื่อนไขอาจรวมถึงระยะเวลาที่สามารถแปลงสภาพได้ ราคาแปลงสภาพ และอัตราส่วนการแปลง เช่น หุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้น สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ 1.5 หุ้น การแปลงสภาพมักเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นสามัญในตลาดสูงกว่ามูลค่าที่คำนวณจากการแปลงสภาพ เพื่อให้นักลงทุนได้ประโยชน์จาก Capital Gain
3. หากบริษัทประสบปัญหาทางการเงิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับชำระหนี้ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญจริงหรือ?
ใช่ เมื่อบริษัทล้มละลายหรือเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับชำระคืนเงินลงทุนจากทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิยังคงมีสถานะเป็นเจ้าของ ซึ่งหมายความว่าเจ้าหนี้ของบริษัท (เช่น ผู้ถือหุ้นกู้, ธนาคาร) จะได้รับชำระหนี้ก่อนผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ
4. สิทธิในการออกเสียงของผู้ถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิแตกต่างกันอย่างไร?
ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิในการออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญของบริษัท เช่น การเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัท การอนุมัตินโยบายต่างๆ แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะไม่มีสิทธิออกเสียง เว้นแต่จะมีเงื่อนไขพิเศษที่ระบุไว้ในข้อกำหนดการออกหุ้นบุริมสิทธินั้นๆ
5. นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยใดบ้างในการเลือกลงทุนระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ?
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยหลักดังนี้:
- เป้าหมายการลงทุน: ต้องการ Capital Gain สูง (หุ้นสามัญ) หรือรายได้สม่ำเสมอ (หุ้นบุริมสิทธิ)?
- ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้: ยอมรับความผันผวนได้สูง (หุ้นสามัญ) หรือต้องการความมั่นคง (หุ้นบุริมสิทธิ)?
- ความต้องการมีส่วนร่วมในการบริหาร: ต้องการสิทธิออกเสียง (หุ้นสามัญ) หรือไม่ต้องการ (หุ้นบุริมสิทธิ)?
- สภาพคล่อง: ต้องการสภาพคล่องสูง (หุ้นสามัญ) หรือยอมรับสภาพคล่องที่ต่ำกว่าได้ (หุ้นบุริมสิทธิ)?
6. เงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิคำนวณอย่างไร?
เงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิมักจะกำหนดไว้เป็นอัตราร้อยละของมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้น หรือเป็นจำนวนเงินคงที่ต่อหุ้น ตัวอย่างเช่น หากหุ้นบุริมสิทธิมีมูลค่าที่ตราไว้ 100 บาท และมีอัตราเงินปันผล 5% ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผล 5 บาทต่อหุ้นต่อปี (100 บาท x 5%) ซึ่งจะถูกจ่ายก่อนเงินปันผลของหุ้นสามัญ
7. หุ้นบุริมสิทธิมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีลักษณะเด่นอย่างไร?
หุ้นบุริมสิทธิหลักๆ มี 4 ประเภท ได้แก่:
- หุ้นบุริมสิทธิสะสม (Cumulative Preferred Stock): เงินปันผลที่ค้างจ่ายจะถูกสะสมและต้องจ่ายในภายหลัง
- หุ้นบุริมสิทธิไม่สะสม (Non-Cumulative Preferred Stock): เงินปันผลที่ไม่ได้จ่ายในปีนั้นๆ จะหายไป ไม่มีการสะสม
- หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้ (Convertible Preferred Stock): สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
- หุ้นบุริมสิทธิเรียกคืนได้ (Callable Preferred Stock): บริษัทผู้ออกมีสิทธิที่จะไถ่ถอนคืนได้ในราคาและเงื่อนไขที่กำหนด
8. มีตัวอย่างบริษัทในประเทศไทยที่ออกหุ้นบุริมสิทธิบ้างหรือไม่?
ในอดีต มีบริษัทไทยหลายแห่งที่เคยออกหุ้นบุริมสิทธิเพื่อระดมทุน เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เคยออกหุ้นบุริมสิทธิ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ก็เคยมีหุ้นบุริมสิทธิ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการออกหุ้นบุริมสิทธิในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมเท่าในอดีต ส่วนใหญ่แล้วบริษัทมักจะเลือกออกหุ้นสามัญหรือหุ้นกู้มากกว่า แต่ก็ยังสามารถพบเห็นได้ในบางกรณี
9. การซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิในตลาดหลักทรัพย์มีสภาพคล่องเป็นอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว สภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิในตลาดหลักทรัพย์มักจะต่ำกว่าหุ้นสามัญ เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ออกมีน้อยกว่า และมีนักลงทุนบางกลุ่มที่เน้นถือครองเพื่อรับเงินปันผลระยะยาวมากกว่าการซื้อขายเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริษัทที่ออกและประเภทของหุ้นบุริมสิทธินั้นๆ
10. การลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญจริงหรือไม่?
โดยรวมแล้ว การลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญในแง่ของความผันผวนของราคาและความมั่นคงของรายได้จากเงินปันผล รวมถึงลำดับความสำคัญในการได้รับชำระคืนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ อย่างไรก็ตาม หุ้นบุริมสิทธิก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (ราคาอาจลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น) ความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผล และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ดังนั้นจึงไม่ใช่การลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง