ความแตกต่างระหว่างผู้ถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ: 5 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นประเภทไหนดี?

บทนำ: ทำความเข้าใจความแตกต่างของหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ

ในโลกของการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งรวมโอกาสในการสร้างรายได้และผลตอบแทนระยะยาวให้กับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ แต่การจะลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย จำเป็นต้องเข้าใจเครื่องมือการลงทุนพื้นฐานอย่างแท้จริง โดยเฉพาะ “หุ้น” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สะท้อนสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัทโดยตรง

ภาพประกอบหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ แสดงความแตกต่างของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

หุ้นที่พบได้ทั่วไปมีสองประเภทหลัก คือ หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ แม้ทั้งสองจะถือว่าเป็นตราสารทุนและมีจุดประสงค์เพื่อระดมทุนเหมือนกัน แต่กลับมีลักษณะ ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การเลือกประเภทหุ้นที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นการตัดสินใจที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในวัตถุประสงค์การลงทุน และความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล

ภาพนักลงทุนถือหุ้นสามัญ พร้อมสัญลักษณ์การเติบโตของเงินและการมีสิทธิออกเสียง

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงข้อแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิอย่างละเอียด ตั้งแต่สิทธิของผู้ถือหุ้น ศักยภาพของผลตอบแทน ไปจนถึงแนวทางการตัดสินใจที่เหมาะสมกับโปรไฟล์การลงทุนของคุณ เพื่อให้คุณสามารถบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างชาญฉลาด และลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

หุ้นสามัญคืออะไร? เจาะลึกสิทธิและลักษณะสำคัญ

หุ้นสามัญเป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่เปิดประตูสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างแท้จริง การซื้อหุ้นสามัญของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง หมายความว่าคุณได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นและมีส่วนร่วมในผลประกอบการของบริษัทนั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งกำไรหรือขาดทุน

ภาพการประชุมผู้ถือหุ้น แสดงสิทธิในการออกเสียงและความร่วมมือในการตัดสินใจของบริษัท

คำจำกัดความและลักษณะสำคัญของหุ้นสามัญ

หุ้นสามัญ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “หุ้น” เป็นตราสารทุนที่บริษัทออกเพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุน ผู้ถือหุ้นสามัญมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถือ และมีความรับผิดจำกัดเฉพาะมูลค่าหุ้นที่ลงทุนไปเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงส่วนตัว

หนึ่งในคุณสมบัติเด่นของหุ้นสามัญคือศักยภาพในการเติบโตของราคา ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น ผลประกอบการของบริษัท แนวโน้มของอุตสาหกรรม และสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากมูลค่าที่ซื้อมา นักลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของกำไรจากส่วนต่าง (Capital Gain) ซึ่งเป็นแรงจูงใจหลักของนักลงทุนระยะยาว

อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อผลตอบแทนคือเงินปันผล ซึ่งบริษัทอาจจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นจากกำไรสุทธิ แต่การจ่ายเงินปันผลไม่ใช่เรื่องบังคับ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท และแผนการใช้กำไรในแต่ละปี บางบริษัทเลือกเก็บกำไรไว้เพื่อขยายกิจการ ทำให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับเงินปันผลในทุกปี

สิทธิของผู้ถือหุ้นสามัญ

การเป็นเจ้าของบริษัทไม่ใช่เพียงแค่ได้รับผลตอบแทน แต่ยังหมายถึงสิทธิในการมีเสียงตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบริษัท โดยผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิหลักดังต่อไปนี้

  • สิทธิในการออกเสียง: ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยทั่วไปใช้หลัก “หนึ่งหุ้น หนึ่งเสียง” ซึ่งช่วยให้สามารถมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งกรรมการ อนุมัติงบการเงิน หรือตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างการควบรวมกิจการ
  • สิทธิในการรับเงินปันผล: เมื่อบริษัทมีกำไรและมีมติจ่ายปันผล ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้น อย่างไรก็ตาม เงินปันผลเหล่านี้ไม่ได้รับประกัน และอาจถูกตัดสินใจเลื่อนหรือยกเลิกได้
  • สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อนบุคคลอื่น (Pre-emptive Right): หากบริษัทต้องการเพิ่มทุนและออกหุ้นใหม่ ผู้ถือหุ้นเดิมมีสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มเติมตามสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วนการเป็นเจ้าของไม่ให้ถูกลดทอน
  • สิทธิในการได้รับสินทรัพย์เมื่อบริษัทเลิกกิจการ: หากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับส่วนแบ่งจากสินทรัพย์ที่เหลือหลังจากชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งมักจะเป็นลำดับสุดท้าย และมีโอกาสสูญเสียการลงทุนทั้งหมดหากสินทรัพย์ไม่พอ

หุ้นบุริมสิทธิคืออะไร? ทำความเข้าใจสิทธิพิเศษและประเภทต่างๆ

หุ้นบุริมสิทธิเป็นทางเลือกการลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงมากกว่าศักยภาพการเติบโตสูง ลักษณะของหุ้นประเภทนี้อยู่ระหว่างหุ้นสามัญและตราสารหนี้ ทำให้มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ

คำจำกัดความและลักษณะสำคัญของหุ้นบุริมสิทธิ

หุ้นบุริมสิทธิเป็นตราสารทุนที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ถือหุ้นในด้านการได้รับผลตอบแทนและลำดับการชำระคืนเมื่อบริษัทล้มละลาย ชื่อ “บุริมสิทธิ” สะท้อนถึงสถานะที่ “ได้รับสิทธิก่อน” เมื่อเทียบกับผู้ถือหุ้นสามัญ

  • สิทธิในการรับเงินปันผลก่อน: ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ โดยอัตราปันผลมักจะกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น เป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่ตราไว้ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถคาดการณ์รายได้ได้อย่างต่อเนื่อง
  • ลำดับการได้รับชำระคืนสูงกว่าหุ้นสามัญ: หากบริษัทต้องเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสินทรัพย์ที่เหลือก่อนหุ้นสามัญ แต่ยังคงอยู่หลังเจ้าหนี้ทั่วไป เช่น ผู้ให้กู้ยืมเงินหรือผู้ถือหุ้นกู้
  • ไม่มีสิทธิออกเสียง: ข้อจำกัดสำคัญคือผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิในการออกเสียงหรือมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อผลตอบแทนที่แน่นอนมากกว่า

ด้วยลักษณะดังกล่าว หุ้นบุริมสิทธิจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำและต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน

ประเภทของหุ้นบุริมสิทธิที่นักลงทุนควรรู้

หุ้นบุริมสิทธิไม่ได้มีเพียงแบบเดียว แต่ถูกออกแบบมาหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักลงทุน ดังนี้

  • หุ้นบุริมสิทธิสะสม: หากบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลในปีใด ปันผลที่ค้างจะถูกสะสมไว้ และต้องจ่ายให้ครบถ้วนก่อนที่จะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นสามัญในปีถัดไป ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับผู้ลงทุน
  • หุ้นบุริมสิทธิไม่สะสม: ปันผลที่ไม่ได้จ่ายในปีนั้นจะสูญหายไป และไม่มีการเรียกร้องย้อนหลัง ซึ่งให้ความยืดหยุ่นแก่บริษัทมากกว่า
  • หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้: ผู้ถือหุ้นสามารถแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญได้ตามอัตราที่กำหนด ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงในระยะสั้น แต่ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้นในระยะยาว
  • หุ้นบุริมสิทธิเรียกคืนได้: บริษัทมีสิทธิไถ่ถอนหุ้นคืนในราคาที่กำหนด ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของหุ้นบุริมสิทธิสามารถศึกษาได้จากบทความของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหุ้นบุริมสิทธิประเภทต่างๆ

ตารางเปรียบเทียบ: ความแตกต่างหลักระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิฉบับสมบูรณ์

เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพความแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิได้อย่างชัดเจนและครอบคลุมที่สุด ตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้จะสรุปประเด็นสำคัญในด้านต่างๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของคุณ:

คุณสมบัติ หุ้นสามัญ (Common Stock) หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock)
สิทธิในการออกเสียง มีสิทธิออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น (มีส่วนร่วมในการบริหาร) โดยทั่วไปไม่มีสิทธิออกเสียง (ไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร)
เงินปันผล ไม่แน่นอน, ขึ้นอยู่กับผลกำไรและนโยบายบริษัท, จ่ายหลังหุ้นบุริมสิทธิ มักจะคงที่, ได้รับก่อนหุ้นสามัญ, อาจเป็นแบบสะสมหรือไม่สะสม
ลำดับการชำระคืนเมื่อเลิกกิจการ ลำดับสุดท้าย (หลังเจ้าหนี้และหุ้นบุริมสิทธิ) ลำดับก่อนหุ้นสามัญ (แต่หลังเจ้าหนี้)
ศักยภาพการเติบโตของราคา สูงกว่า, เชื่อมโยงกับผลประกอบการและการเติบโตของบริษัท จำกัดกว่า, ราคาผันผวนน้อยกว่า, มักจะเคลื่อนไหวเหมือนตราสารหนี้
ความผันผวนของราคา สูงกว่า, ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดและผลประกอบการ ต่ำกว่า, มีความมั่นคงมากกว่า
ความเสี่ยง สูงกว่า (จากความผันผวนของราคาและเงินปันผลที่ไม่แน่นอน) ต่ำกว่าหุ้นสามัญ (จากความมั่นคงของเงินปันผลและลำดับการชำระคืน)
เป้าหมายการลงทุนที่เหมาะสม นักลงทุนที่ต้องการ Capital Gain, ยอมรับความเสี่ยงได้สูง นักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ, เน้นความมั่นคง, ไม่ต้องการความเสี่ยงสูง

ข้อดีและข้อเสีย: การลงทุนในหุ้นสามัญ vs. หุ้นบุริมสิทธิสำหรับนักลงทุน

การเลือกลงทุนในหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิ ควรพิจารณาจากข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภทอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ระยะเวลาการลงทุน และโปรไฟล์ความเสี่ยงของตนเอง

ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในหุ้นสามัญ

หุ้นสามัญเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับผู้ที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องเตรียมใจเผชิญ

ข้อดี:

  • ศักยภาพการเติบโตของเงินลงทุนสูง: เมื่อบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ราคาหุ้นสามัญสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก สร้างผลตอบแทนจากการขายหุ้นที่สูง
  • สิทธิในการมีส่วนร่วม: ผู้ถือหุ้นสามัญสามารถใช้เสียงของตนเองเพื่อปกป้องผลประโยชน์และมีอิทธิพลต่ออนาคตของบริษัท
  • สภาพคล่องสูง: หุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่มักมีปริมาณการซื้อขายสูง ทำให้ซื้อขายได้ง่ายและรวดเร็ว

ข้อเสีย:

  • ความเสี่ยงสูง: ราคาหุ้นสามัญสามารถผันผวนรุนแรงได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ จากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบริษัท
  • เงินปันผลไม่สม่ำเสมอ: นักลงทุนไม่สามารถคาดหวังเงินปันผลทุกปีได้ เพราะขึ้นอยู่กับผลกำไรและการตัดสินใจของบริษัท
  • ลำดับการได้รับคืนทุนต่ำ: ในกรณีล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญมักจะไม่ได้รับอะไรคืนเลย เพราะต้องชำระหนี้และจ่ายให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิก่อน

ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ

หุ้นบุริมสิทธิเน้นความมั่นคง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องรับรู้

ข้อดี:

  • รายได้ที่คาดการณ์ได้: เงินปันผลที่คงที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนรายรับได้ล่วงหน้า เหมาะกับผู้ที่ต้องการรายได้ประจำ
  • ลำดับการได้รับชำระสูงกว่า: ทั้งในเรื่องเงินปันผลและการคืนทุน ทำให้เสี่ยงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสามัญ
  • ความผันผวนต่ำ: ราคาหุ้นบุริมสิทธิมักไม่ขึ้นลงมากนัก เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด

ข้อเสีย:

  • การเติบโตจำกัด: ราคาหุ้นบุริมสิทธิไม่เติบโตเท่าหุ้นสามัญ แม้บริษัทจะมีกำไรสูงก็ตาม
  • ไม่มีสิทธิในการตัดสินใจ: ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำให้ขาดเสียงในองค์กร
  • สภาพคล่องต่ำกว่า: การซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิในตลาดรองอาจมีปริมาณน้อย ทำให้ขายออกได้ยากในบางช่วงเวลา

เลือกแบบไหนดี: ปัจจัยที่นักลงทุนควรพิจารณาเมื่อเลือกหุ้น

การตัดสินใจระหว่างหุ้นสามัญกับหุ้นบุริมสิทธิไม่ควรมองข้ามปัจจัยส่วนตัวที่มีผลต่อผลลัพธ์การลงทุนในระยะยาว

เป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

คำถามสำคัญที่ควรถามตัวเองคือ “ฉันต้องการอะไรจากการลงทุน?”

  • หากคุณต้องการผลตอบแทนสูงและสามารถรับความผันผวนได้ หุ้นสามัญคือทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะหากคุณลงทุนในระยะยาวและสามารถรับความเสี่ยงได้สูง
  • หากคุณต้องการรายได้ประจำ ไม่ต้องการความผันผวน และต้องการรักษามูลค่าเงินต้นไว้ หุ้นบุริมสิทธิจะตอบโจทย์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว หรือผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ต

การประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยให้คุณเลือกเส้นทางที่เหมาะสม ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนการลงทุนสามารถศึกษาได้จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการพอร์ตการลงทุน

มุมมองของบริษัท: ทำไมบริษัทถึงออกหุ้นบุริมสิทธิ?

การเข้าใจเหตุผลที่บริษัทเลือกออกหุ้นบุริมสิทธิ ช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมของกลยุทธ์การเงินของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น

  • ระดมทุนโดยไม่ลดอำนาจควบคุม: การออกหุ้นบุริมสิทธิช่วยให้บริษัทได้เงินทุนโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนหุ้นสามัญ ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมยังคงรักษาสัดส่วนอำนาจในการควบคุมบริษัทไว้ได้
  • ดึงดูดนักลงทุนกลุ่มเฉพาะ: นักลงทุนที่ต้องการรายได้แน่นอนและไม่ต้องการความเสี่ยงสูง มักสนใจหุ้นบุริมสิทธิ ช่วยเพิ่มแหล่งทุนจากกลุ่มนี้
  • ความยืดหยุ่นในการจ่ายปันผล: ต่างจากดอกเบี้ยของหุ้นกู้ที่ต้องจ่ายทุกปี หุ้นบุริมสิทธิสามารถเลื่อนการจ่ายปันผลได้หากบริษัทมีปัญหา ซึ่งช่วยลดแรงกดดันทางการเงิน
  • ลดต้นทุนการระดมทุน: ในบางกรณี การออกหุ้นบุริมสิทธิอาจมีต้นทุนต่ำกว่าการกู้ยืมเงิน โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูง

สรุป: ทำไมการเข้าใจความแตกต่างจึงสำคัญต่อการลงทุนของคุณ

ความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิเป็นพื้นฐานสำคัญของการลงทุนอย่างมีเหตุผล หุ้นสามัญเหมาะกับผู้ที่มองหาผลตอบแทนสูงและต้องการมีส่วนร่วมในบริษัท ขณะที่หุ้นบุริมสิทธิเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและรายได้ที่แน่นอน

การเลือกประเภทหุ้นที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องของ “ดีกว่า” หรือ “แย่กว่า” แต่คือการเลือก “เหมาะสมกว่า” กับตัวคุณ การประเมินเป้าหมาย ความเสี่ยง และความต้องการกระแสเงินสดจะช่วยให้คุณจัดสรรการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

การศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน จะช่วยเสริมความมั่นใจ และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในเส้นทางการลงทุนของคุณในระยะยาว

1. ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิในการได้รับเงินปันผลคงที่ทุกปีหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิได้รับเงินปันผลในอัตราที่คงที่หรือจำนวนเงินที่แน่นอนต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท หากบริษัทไม่มีกำไรหรือมีปัญหาทางการเงิน ก็อาจจะไม่จ่ายเงินปันผลได้ ซึ่งหากเป็นหุ้นบุริมสิทธิแบบสะสม เงินปันผลที่ค้างจ่ายจะถูกสะสมและต้องจ่ายในภายหลังก่อนหุ้นสามัญ

2. หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้คืออะไร และมีเงื่อนไขอย่างไร?

หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้ (Convertible Preferred Stock) คือ หุ้นบุริมสิทธิที่ผู้ถือมีสิทธิในการแปลงหุ้นของตนให้เป็นหุ้นสามัญได้ตามอัตราส่วนและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เงื่อนไขอาจรวมถึงระยะเวลาที่สามารถแปลงสภาพได้ ราคาแปลงสภาพ และอัตราส่วนการแปลง เช่น หุ้นบุริมสิทธิ 1 หุ้น สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ 1.5 หุ้น การแปลงสภาพมักเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นสามัญในตลาดสูงกว่ามูลค่าที่คำนวณจากการแปลงสภาพ เพื่อให้นักลงทุนได้ประโยชน์จาก Capital Gain

3. หากบริษัทประสบปัญหาทางการเงิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับชำระหนี้ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญจริงหรือ?

ใช่ เมื่อบริษัทล้มละลายหรือเลิกกิจการ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับชำระคืนเงินลงทุนจากทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิยังคงมีสถานะเป็นเจ้าของ ซึ่งหมายความว่าเจ้าหนี้ของบริษัท (เช่น ผู้ถือหุ้นกู้, ธนาคาร) จะได้รับชำระหนี้ก่อนผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ

4. สิทธิในการออกเสียงของผู้ถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิแตกต่างกันอย่างไร?

ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิในการออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญของบริษัท เช่น การเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัท การอนุมัตินโยบายต่างๆ แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะไม่มีสิทธิออกเสียง เว้นแต่จะมีเงื่อนไขพิเศษที่ระบุไว้ในข้อกำหนดการออกหุ้นบุริมสิทธินั้นๆ

5. นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยใดบ้างในการเลือกลงทุนระหว่างหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ?

นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยหลักดังนี้:

  • เป้าหมายการลงทุน: ต้องการ Capital Gain สูง (หุ้นสามัญ) หรือรายได้สม่ำเสมอ (หุ้นบุริมสิทธิ)?
  • ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้: ยอมรับความผันผวนได้สูง (หุ้นสามัญ) หรือต้องการความมั่นคง (หุ้นบุริมสิทธิ)?
  • ความต้องการมีส่วนร่วมในการบริหาร: ต้องการสิทธิออกเสียง (หุ้นสามัญ) หรือไม่ต้องการ (หุ้นบุริมสิทธิ)?
  • สภาพคล่อง: ต้องการสภาพคล่องสูง (หุ้นสามัญ) หรือยอมรับสภาพคล่องที่ต่ำกว่าได้ (หุ้นบุริมสิทธิ)?

6. เงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิคำนวณอย่างไร?

เงินปันผลของหุ้นบุริมสิทธิมักจะกำหนดไว้เป็นอัตราร้อยละของมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้น หรือเป็นจำนวนเงินคงที่ต่อหุ้น ตัวอย่างเช่น หากหุ้นบุริมสิทธิมีมูลค่าที่ตราไว้ 100 บาท และมีอัตราเงินปันผล 5% ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผล 5 บาทต่อหุ้นต่อปี (100 บาท x 5%) ซึ่งจะถูกจ่ายก่อนเงินปันผลของหุ้นสามัญ

7. หุ้นบุริมสิทธิมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีลักษณะเด่นอย่างไร?

หุ้นบุริมสิทธิหลักๆ มี 4 ประเภท ได้แก่:

  • หุ้นบุริมสิทธิสะสม (Cumulative Preferred Stock): เงินปันผลที่ค้างจ่ายจะถูกสะสมและต้องจ่ายในภายหลัง
  • หุ้นบุริมสิทธิไม่สะสม (Non-Cumulative Preferred Stock): เงินปันผลที่ไม่ได้จ่ายในปีนั้นๆ จะหายไป ไม่มีการสะสม
  • หุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพได้ (Convertible Preferred Stock): สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
  • หุ้นบุริมสิทธิเรียกคืนได้ (Callable Preferred Stock): บริษัทผู้ออกมีสิทธิที่จะไถ่ถอนคืนได้ในราคาและเงื่อนไขที่กำหนด

8. มีตัวอย่างบริษัทในประเทศไทยที่ออกหุ้นบุริมสิทธิบ้างหรือไม่?

ในอดีต มีบริษัทไทยหลายแห่งที่เคยออกหุ้นบุริมสิทธิเพื่อระดมทุน เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เคยออกหุ้นบุริมสิทธิ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ก็เคยมีหุ้นบุริมสิทธิ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการออกหุ้นบุริมสิทธิในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมเท่าในอดีต ส่วนใหญ่แล้วบริษัทมักจะเลือกออกหุ้นสามัญหรือหุ้นกู้มากกว่า แต่ก็ยังสามารถพบเห็นได้ในบางกรณี

9. การซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิในตลาดหลักทรัพย์มีสภาพคล่องเป็นอย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว สภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นบุริมสิทธิในตลาดหลักทรัพย์มักจะต่ำกว่าหุ้นสามัญ เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ออกมีน้อยกว่า และมีนักลงทุนบางกลุ่มที่เน้นถือครองเพื่อรับเงินปันผลระยะยาวมากกว่าการซื้อขายเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริษัทที่ออกและประเภทของหุ้นบุริมสิทธินั้นๆ

10. การลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญจริงหรือไม่?

โดยรวมแล้ว การลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิมีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญในแง่ของความผันผวนของราคาและความมั่นคงของรายได้จากเงินปันผล รวมถึงลำดับความสำคัญในการได้รับชำระคืนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ อย่างไรก็ตาม หุ้นบุริมสิทธิก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เช่น ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (ราคาอาจลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น) ความเสี่ยงที่บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผล และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ดังนั้นจึงไม่ใช่การลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง