ค่าสเปรด Forex คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และวิธีลดต้นทุน

ค่าสเปรด Forex คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และวิธีลดต้นทุน

ภาพประกอบแนวคิดเกี่ยวกับค่าสเปรดในตลาด Forex

บทนำ: ค่าสเปรด (Spread) หัวใจสำคัญของต้นทุนการเทรดที่คุณต้องรู้

ในโลกของการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การเข้าใจกลไกต่างๆ ของการเทรดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในต้นทุนที่แฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของราคา คือ “ค่าสเปรด” หรือ Spread ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นเพียงค่าธรรมเนียมเล็กๆ แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลโดยตรงต่อกำไรและความสำเร็จของเทรดเดอร์ในระยะยาว

หลายคนอาจมองข้ามค่าสเปรด เพราะไม่เห็นเป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกหักออกมาชัดเจนเหมือนค่าคอมมิชชั่น ทว่ามันคือต้นทุนโดยนัยที่ทุกคำสั่งซื้อขายต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ การทำความเข้าใจสเปรดอย่างลึกซึ้ง จึงไม่ใช่แค่ความรู้เบื้องต้น แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมต้นทุน และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกมิติของค่าสเปรด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ชนิดต่างๆ การคำนวณจริง ไปจนถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรด และแนวทางปฏิบัติที่อาจช่วยให้คุณลดต้นทุนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ค่าสเปรด (Spread) ในตลาดการเงินคืออะไร?

หากพูดอย่างง่ายที่สุด ค่าสเปรดคือ “ส่วนต่างของราคาที่คุณซื้อ” กับ “ราคาที่คุณขาย” สำหรับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะในตลาด Forex สเปรดนี้ถูกใช้เป็นแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์ และเป็นต้นทุนที่ผู้เทรดทุกคนต้องแบกรับทุกครั้งที่เปิดคำสั่ง

เมื่อคุณสังเกตราคาในแพลตฟอร์มเทรด เช่น MetaTrader คุณจะเห็นชุดตัวเลขสองชุดติดกัน เช่น EUR/USD 1.09500 / 1.09515 ตัวเลขชุดแรกคือราคาที่คุณ “ขายได้” ส่วนตัวเลขชุดที่สองคือราคาที่คุณต้อง “จ่ายเพื่อซื้อ” ความแตกต่างตรงกลางนี่เอง คือค่าสเปรดที่คุณต้องชำระให้กับระบบ

ราคา Bid และ Ask: พื้นฐานที่ทุกคนต้องรู้

ก่อนจะพูดถึงสเปรด เราต้องเข้าใจสองคำสำคัญที่อยู่เบื้องหลังมันก่อน

  • ราคา Bid (ราคาเสนอซื้อ) คือราคาที่คุณ “สามารถขายได้” หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือราคาที่โบรกเกอร์หรือผู้ให้สภาพคล่องยินดีซื้อสกุลเงินพื้นฐานจากคุณ
  • ราคา Ask (ราคาเสนอขาย) คือราคาที่คุณ “ต้องจ่ายเพื่อซื้อ” หรือราคาที่โบรกเกอร์ยินดีขายสกุลเงินพื้นฐานให้กับคุณ

คำถามสำคัญคือ ทำไมราคาซื้อและขายไม่เท่ากัน? คำตอบคือ ผู้ให้สภาพคล่องต้องรับความเสี่ยงในการถือสกุลเงินเหล่านี้ไว้ชั่วคราว และการมีสเปรดคือค่าตอบแทนในการให้บริการนี้ นี่จึงไม่ใช่ “กำไรลอยนวล” แต่คือกลไกพื้นฐานของตลาดที่สะท้อนต้นทุนจริงในการเคลื่อนไหวของเงิน

ดังนั้น เมื่อคุณเปิดสถานะซื้อ (Long) คุณจะซื้อที่ราคา Ask และเมื่อคุณเปิดสถานะขาย (Short) คุณจะขายที่ราคา Bid ผลคือ ทันทีที่คุณเปิดคำสั่ง กำไรขาดทุนของคุณจะติดลบเล็กน้อยทันที แม้ว่าราคาจะยังไม่ได้ขยับเลยก็ตาม

ประเภทของค่าสเปรด: คงที่ vs. ลอยตัว (Fixed vs. Variable Spread)

โบรกเกอร์ไม่ได้มอบค่าสเปรดในรูปแบบเดียวให้กับทุกคน มีสองรูปแบบหลักที่นักเทรดควรทำความเข้าใจ เพราะแต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน และสอดคล้องกับสไตรล์การเทรดที่ไม่เหมือนกัน

สเปรดคงที่ (Fixed Spread)

สเปรดคงที่ คือค่าสเปรดที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ตลาด ตัวอย่างเช่น คู้ EUR/USD อาจมีสเปรดเท่ากับ 2.0 pip ในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเปิดหรือปิดก็ตาม เพราะโบรกเกอร์เป็นผู้กำหนดและควบคุมตัวเลขนี้ไว้

  • ข้อดี: ให้ความแน่นอนสูง คุณสามารถคำนวณต้นทุนได้ล่วงหน้า ทำให้วางแผนการเทรดและการจัดการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นชินกับความผันผวน
  • ข้อเสีย: เมื่อตลาดมีความผันผวนสูง เช่น ช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ โบรกเกอร์อาจไม่สามารถรักษาสเปรดให้อยู่ในระดับนั้นได้ จึงอาจเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Requote หรือการขอเสนอราคาใหม่ ซึ่งอาจทำให้คำสั่งของคุณล่าช้า หรือได้ราคาที่ไม่ต้องการ

สเปรดลอยตัว (Floating / Variable Spread)

สเปรดลอยตัว คือการที่ค่าสเปรดเปลี่ยนแปลงตามสภาพจริงของตลาดที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ ซึ่งสะท้อนสภาพคล่องและอุปสงค์-อุปทานในขณะนั้นโดยตรง

  • ข้อดี: ในสภาวะตลาดปกติ สเปรดลอยตัวมักต่ำกว่าสเปรดคงที่มาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาซื้อขายหลัก เช่น ช่วง overlap ของตลาดยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้ยังลดโอกาสเกิด Requote เพราะราคาปรับตัวตามตลาดจริง
  • ข้อเสีย: ความไม่แน่นอน คุณไม่สามารถคาดเดาค่าสเปรดได้ล่วงหน้า ซึ่งอาจซับซ้อนต่อการวางแผนกำไรขาดทุน โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวสำคัญ ค่าสเปรดอาจเพิ่มขึ้นจาก 1 pip เป็น 10 pip หรือมากกว่าภายในไม่กี่วินาที

สำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์หรือเน้นการเก็งกำไรระยะสั้น การเลือกสเปรดลอยตัวอาจให้ประโยชน์มากกว่าในระยะยาว เพราะสามารถเข้าตลาดได้ที่ราคาที่แท้จริงและรวดเร็ว

ภาพสื่อแรงบันดาลใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด Forex

การคำนวณค่าสเปรด: ทำความเข้าใจหน่วย Pip และ Point

ในการที่จะคำนวณ “ต้นทุนจริง” ของค่าสเปรดได้ คุณต้องเข้าใจหน่วยวัดการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex ซึ่งเรียกว่า Pip และ Point เพราะสเปรดมักถูกแสดงในรูปหน่วยเหล่านี้

Pip และ Point คืออะไร?

  • Pip (Percentage in Point) คือหน่วยที่เล็กที่สุดในการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสกุลเงิน ในคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ (เช่น EUR/USD, GBP/USD) 1 Pip เท่ากับการเปลี่ยนแปลง 0.0001 หรือทศนิยมตำแหน่งที่ 4 เช่น จากระดับ 1.0950 เป็น 1.0951 ถือว่าขยับไป 1 Pip แต่สำหรับคู่สกุลเงินที่มีเยน (JPY) เช่น USD/JPY 1 Pip เท่ากับ 0.01 หรือทศนิยมตำแหน่งที่ 2
  • Point หรือที่เรียกว่า Pipette คือหน่วยที่เล็กกว่า Pip โดยทั่วไป 1 Pip = 10 Points ซึ่งเป็นทศนิยมตำแหน่งที่ 5 ในกราฟที่แสดงผล 5 ตำแหน่ง เช่น 1.09515 มี 15 Points

การทำความเข้าใจหน่วยเหล่านี้สำคัญมาก เพราะช่วยให้คุณแยกแยะระหว่างการเคลื่อนไหวเล็กๆ กับการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ และทำให้การคำนวณกำไรขาดทุนแม่นยำขึ้น

สูตรคำนวณต้นทุนค่าสเปรด

เมื่อคุณรู้ว่าสเปรดคือกี่ Pip แล้ว ต่อไปคือการคำนวณว่ามันแปลเป็นเงินจริงจำนวนเท่าไร โดยใช้สูตรง่ายๆ ดังนี้

ต้นทุนค่าสเปรด (หน่วยเงินที่คำนวณ) = สเปรด (หน่วย Pip) × มูลค่าต่อ 1 Pip × ขนาดการเทรด (Lot)

ตัวอย่างที่ 1: EUR/USD สเปรด 1.5 Pip, 1 Standard Lot

  • สำหรับ EUR/USD 1 Standard Lot (100,000 หน่วย) มูลค่าต่อ Pip คือ $10
  • ต้นทุนสเปรด = 1.5 × $10 = $15

ตัวอย่างที่ 2: USD/JPY สเปรด 2.0 Pip, 1 Standard Lot

  • มูลค่าต่อ Pip สำหรับ USD/JPY 1 Lot = 1,000 JPY
  • ต้นทุนสเปรด = 2.0 × 1,000 = 2,000 JPY

หากคุณเทรดด้วยบัญชีไมโครหรือขนาด 0.1 Lot ต้นทุนนี้จะลดลงตามสัดส่วน เช่น เหลือเพียง $1.5 สำหรับ EUR/USD ที่ 0.1 Lot

การคำนวณเหล่านี้ช่วยให้คุณไม่ตีค่าสเปรดเป็นเพียง “ตัวเลขลอยๆ” แต่เห็นภาพว่ามันหมายถึงเงินจริงในกระเป๋าของคุณ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณ Bid-Ask Spread ได้ที่ Investopedia

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าสเปรด Forex

ค่าสเปรดไม่ใช่ตัวเลขตายตัว (เว้นแต่ในบัญชีสเปรดคงที่) มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่คุณควรรับรู้เพื่อเลือกเวลาเทรดอย่างชาญฉลาด

  • สภาพคล่องของตลาด: ยิ่งมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากในตลาด สภาพคล่องยิ่งสูง ทำให้สเปรดแคบลง เพราะการซื้อขายทำได้ง่ายขึ้น ตรงกันข้าม หากสภาพคล่องต่ำ (เช่น ช่วงสุดสัปดาห์ วันหยุด หรือกลางดึก) สเปรดจะถ่างกว้างขึ้น เนื่องจากความไม่สมดุลของคำสั่งซื้อ-ขาย
  • ช่วงเวลาซื้อขาย (Trading Session): สเปรดมักแคบที่สุดในช่วงที่ตลาดหลักซ้อนทับกัน เช่น ช่วง 13:00–17:00 ตามเวลา GMT ที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดของวัน ในทางกลับกัน ช่วงเอเชียที่มีเพียงธนาคารบางแห่งเปิดอยู่ อาจเจอสเปรดที่สูงกว่า
  • ข่าวเศรษฐกิจสำคัญ: การประกาศข้อมูลสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง ตัวเลขการจ้างงาน NFP หรือดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะสร้างความผันผวนสูงในตลาด ทำให้ผู้ให้สภาพคล่องเพิ่มค่าสเปรดเพื่อลดความเสี่ยงของตน
  • ประเภทบัญชีเทรดและนโยบายโบรกเกอร์: โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีโครงสร้างค่าธรรมเนียมต่างกัน บัญชี Standard มักมีสเปรดที่สูงกว่าแต่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ในขณะที่บัญชี ECN/Raw อาจมีสเปรดเกือบศูนย์แต่เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นต่อคำสั่ง
  • ประเภทสินทรัพย์: สินทรัพย์ที่มีการซื้อขายบ่อย เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD มักมีสเปรดแคบที่สุด แต่คู่สกุลเงินรอง (เช่น NZD/CHF) หรือสินทรัพย์เช่นทองคำ น้ำมัน และคริปโต มักมีสเปรดที่สูงกว่ามาก เนื่องจากสภาพคล่องต่ำกว่าและผันผวนง่าย

ค่าสเปรดส่งผลต่อกำไรขาดทุนอย่างไร?

ต้นทุนจากค่าสเปรดไม่ได้แค่ลดกำไรเล็กน้อย แต่เป็น “อุปสรรครายแรก” ที่ทุกคำสั่งต้องข้ามไปให้ได้ก่อนจะเริ่มทำกำไร

ปละภาคก่อนหน้า ทันทีที่คุณเปิดคำสั่ง จุด Break-even ของคุณไม่ได้อยู่ที่ราคาเปิด แต่อยู่ที่ราคาที่ต้องชดเชยค่าสเปรดก่อน

ตัวอย่างจริง:

สมมติ EUR/USD อยู่ที่ Bid 1.09500, Ask 1.09515 (สเปรด 1.5 Pip)

  • เปิด Buy ที่ 1.09515 – เพื่อให้คุณไม่ขาดทุน ราคา Bid จะต้องขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1.09515 นั่นคือราคาสินทรัพย์ต้องขยับขึ้น 1.5 Pip ก่อนที่คุณจะเริ่ม “คุ้มทุน”
  • เปิด Sell ที่ 1.09500 – เพื่อคุ้มทุน ราคา Ask จะต้องลดลงมาอยู่ที่ 1.09500 เท่ากับราคาต้องลง 1.5 Pip เช่นกัน

สำหรับเทรดเดอร์ที่เล่นสเกิร์ป (Scalping) หรือ Day Trader ที่ทำกำไรแค่ 5-10 Pip ต่อครั้ง การมีสเปรด 2 Pip แปลว่าเกือบ 20-40% ของกำไรต้องใช้ไปกับค่าใช้จ่ายนี้ แม้จะไม่เห็นเป็นเงินสดก็ตาม

ในทางตรงกันข้าม เทรดเดอร์ที่ถือสถานะเป็นวันหรือสัปดาห์ อาจมองว่าค่าสเปรดเป็นสัดส่วนเล็กมากของผลกำไร แต่แม้ในกรณีนั้น การสะสมต้นทุนจากหลายๆ ครั้งก็อาจส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมได้ในระยะยาว เรียนรู้เพิ่มเติมว่าสเปรดส่งผลต่อ P&L ของคุณอย่างไรที่ BabyPips

กลยุทธ์ลดผลกระทบจากค่าสเปรด

ถึงแม้คุณควบคุมค่าสเปรดโดยตรงไม่ได้ แต่คุณสามารถบริหารจัดการมันผ่านกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด

  • เลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดต่ำ: อย่าสมัครบัญชีแรกที่เจอ ให้เปรียบเทียบสเปรดเฉลี่ยของโบรกเกอร์สำหรับคู่สกุลเงินที่คุณเทรดบ่อย โดยเฉพาะ EUR/USD, USD/JPY หรือ GBP/USD ควรตั้งเกณฑ์เริ่มต้นและเลือกอย่างมีเหตุผล
  • เลือกใช้บัญชี ECN: หากคุณเทรดบ่อยหรือใช้กลยุทธ์ที่ต้องทำกำไรน้อยแต่บ่อย การมีบัญชี ECN (Electronic Communication Network) ที่ให้สเปรดแนบชิดตลาดแม้มีค่าคอมมิชชั่นเพิ่ม อาจคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
  • เทรดในช่วงสภาพคล่องสูง: วางแผนเปิดคำสั่งในช่วงตลาดยุโรปและอเมริกา overlap กัน (13:00–17:00 GMT) เพื่อโอกาสเจอสเปรดแคบที่สุดของวัน
  • หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าวสำคัญ: หากคุณไม่ได้มีกลยุทธ์เทรดข่าวโดยเฉพาะ การเปิดคำสั่งในช่วง NFP หรือ FOMC อาจทำให้เจอสเปรดถ่างกว้างผิดปกติ และทำให้แม้แต่คำสั่งที่วางแผนมาดีก็กลับกลายเป็นขาดทุน
  • เปรียบเทียบสเปรดในแพลตฟอร์มจริง: เปิดบัญชี Demo กับโบรกเกอร์ที่คุณสนใจ แล้วไปที่ Market Watch คลิกขวา > Spread เพื่อดูค่าสเปรดแบบเรียลไทม์ของแต่ละสินทรัพย์ นี่คือวิธีที่แม่นยำที่สุดในการตรวจสอบความจริง
  • ควบคุมขนาดตำแหน่งให้เหมาะสม: แม้ไม่ได้มีผลต่อการคำนวณต่อ Pip โดยตรง แต่การเลือกขนาด Lot ที่สมดุลช่วยให้คุณลดความเสี่ยงรวม และทำให้ค่าสเปรดต่อการเทรดหนึ่งครั้งไม่หนักเกินไป

ค่าสเปรดสำหรับทองคำ (XAUUSD) และสินทรัพย์อื่นๆ

นอกจากคู่เงินหลักแล้ว สินทรัพย์อื่นๆ ก็มีสเปรดของตัวเอง ซึ่งคล้ายแนวคิดเดียวกัน แต่ตัวเลขอาจต่างกันอย่างมาก

ทองคำ (XAUUSD)

ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์ แต่ค่าสเปรดของทองคำมักสูงกว่าคู่เงินหลักมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจ หรือความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

  • สเปรดทองคำ (XAUUSD) อาจเริ่มต้นที่ 20-50 Points (2-5 Pip) หรือมากกว่าในช่วงผันผวน
  • นี่แปลเป็นต้นทุนต่อ Lot เกือบ $20–$50 ก่อนที่ราคาจะเริ่มขยับ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไรสั้นๆ
  • ควรตรวจสอบสเปรดทองคำโดยตรงจากแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ก่อนจะเทรดจริง เพราะความแตกต่างระหว่างโบรกเกอร์อาจมากถึงเท่าตัว

สินทรัพย์อื่นๆ

ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน (WTI, Brent), ดัชนีหุ้น (S&P 500, NASDAQ), คริปโต (BTC/USD), หรือหุ้นรายตัว ทุกสินทรัพย์ล้วนใช้กลไก Bid-Ask และสเปรดเดียวกัน

โดยทั่วไป สินทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและมีสภาพคล่องดี จะมีสเปรดแคบกว่า เช่น ดัชนี S&P 500 อาจมีสเปรดเพียงไม่กี่ Point แต่เหรียญคริปโตที่น้อยคนรู้จัก (exotic cryptocurrencies) อาจมีสเปรดกว้างถึง 1% ของราคา ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงินในประเทศไทยจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

บทสรุป: ปรับค่าสเปรดให้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่อุปสรรค

ค่าสเปรดไม่ใช่ศัตรูที่ต้องหนีให้พ้น แต่เป็นองค์ประกอบธรรมชาติของตลาดการเงินที่ต้องเข้าใจและใช้ให้เป็นประโยชน์

การที่คุณเข้าใจลึกถึงที่มา ที่ไป ประเภท และวิธีการคำนวณ ทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์ที่มีสติ รู้ต้นทุน เปิดคำสั่งอย่างมีเหตุผล และไม่ตัดสินใจจากความรู้สึก

การเลือกโบรกเกอร์ที่ดี เทรดในเวลาที่เหมาะสม และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสไตล์การเทรดของคุณ คือก้าวแรกในการกลับมาควบคุมต้นทุนนี้ได้ หากคุณสามารถลดต้นทุนในการเทรดลงได้ แม้เพียงเล็กน้อย มันจะสะสมเป็นข้อได้เปรียบครั้งใหญ่ในระยะยาว และช่วยผลักดันให้คุณก้าวสู่จุดที่ทำกำไรเป็นนิสัยแทนการขาดทุนมากกว่า

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับค่าสเปรด Forex

1. ค่าสเปรดแต่ละโบรกเกอร์มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกโบรกเกอร์จากปัจจัยใด?

ค่าสเปรดจะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์ ประเภทของบัญชี และแหล่งที่มาของสภาพคล่องที่โบรกเกอร์นั้นๆ ใช้ คุณควรพิจารณาจาก:

  • ความโปร่งใส: โบรกเกอร์ควรแสดงค่าสเปรดที่ชัดเจนและเรียลไทม์
  • ประเภทสเปรด: สเปรดคงที่หรือลอยตัว และแบบไหนที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของคุณ
  • ค่าคอมมิชชั่น: หากเป็นบัญชี Raw Spread หรือ ECN มักจะมีค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม
  • ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตและมีชื่อเสียงที่ดี

2. ค่าสเปรดของ Exness หรือ XM สำหรับทองคำ (XAUUSD) และคู่สกุลเงินหลักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่?

ค่าสเปรดของ Exness และ XM (รวมถึงโบรกเกอร์อื่นๆ) มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีที่คุณเลือก โดยทั่วไป:

  • คู่สกุลเงินหลัก (เช่น EUR/USD): อาจมีสเปรดเฉลี่ยตั้งแต่ 0.5 – 2.0 pips ในบัญชี Standard และต่ำกว่า 0.5 pip ในบัญชี Raw Spread/ECN
  • ทองคำ (XAUUSD): มักจะมีสเปรดที่กว้างกว่าคู่สกุลเงินหลัก อาจเริ่มต้นที่ 10-30 points (1-3 pips) ขึ้นไป และอาจกว้างขึ้นมากในช่วงตลาดผันผวน

คุณควรตรวจสอบค่าสเปรดแบบเรียลไทม์บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์ม MetaTrader ของโบรกเกอร์โดยตรงเพื่อข้อมูลที่แม่นยำที่สุด

3. วิธีการคำนวณค่าสเปรดเป็นหน่วยเงินดอลลาร์หรือบาทไทยทำได้อย่างไร?

การคำนวณเป็นหน่วยเงินทำได้โดยใช้สูตร:

ต้นทุนสเปรด = ค่าสเปรด (เป็น Pip) × มูลค่าต่อ Pip (สำหรับขนาด Lot ที่คุณเทรด)

ตัวอย่าง: หากสเปรด 1.5 Pip บน EUR/USD (1 Lot Standard, มูลค่าต่อ Pip = $10) ต้นทุนคือ 1.5 x $10 = $15 หากต้องการแปลงเป็นบาทไทย ให้คูณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันของ USD/THB

4. การที่ค่าสเปรดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Variable Spread) ส่งผลดีหรือเสียต่อเทรดเดอร์อย่างไร?

ข้อดี: มักจะสะท้อนสภาพตลาดที่แท้จริง และโดยเฉลี่ยแล้วอาจให้สเปรดที่แคบกว่าในสภาวะตลาดปกติ อีกทั้งยังลดโอกาสการเกิด Requote

ข้อเสีย: ต้นทุนไม่แน่นอน ทำให้การคำนวณกำไรขาดทุนทำได้ยากขึ้น และอาจถ่างกว้างอย่างมากในช่วงข่าวสำคัญหรือสภาพคล่องต่ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อเทรดเดอร์ระยะสั้น

5. นอกจากการซื้อขาย Forex แล้ว ค่าสเปรดยังมีอยู่ในสินทรัพย์ประเภทอื่นอีกหรือไม่?

มีอยู่แน่นอน! ค่าสเปรดเป็นแนวคิดพื้นฐานในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินเกือบทุกประเภท ซึ่งรวมถึง:

  • สินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น ทองคำ, น้ำมัน)
  • ดัชนีหุ้น (เช่น S&P 500, SET50)
  • คริปโตเคอร์เรนซี
  • หุ้นรายตัว
  • พันธบัตรและอนุพันธ์อื่นๆ

โดยหลักการแล้วคือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายเสมอ

6. อะไรคือความแตกต่างระหว่างค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ?

  • ค่าสเปรด: คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask เป็นต้นทุนที่รวมอยู่ในราคาซื้อขายแล้ว
  • ค่าคอมมิชชั่น: คือค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บแยกต่างหากจากการทำธุรกรรม มักจะพบในบัญชีประเภท ECN หรือ Raw Spread ซึ่งมีสเปรดที่แคบมากหรือเป็นศูนย์ เพื่อชดเชยค่าบริการของโบรกเกอร์

7. มีเครื่องมือหรือเว็บไซต์ใดบ้างที่ช่วยให้เราเปรียบเทียบค่าสเปรดของโบรกเกอร์ต่างๆ ได้?

มีหลายเว็บไซต์ที่ให้บริการเปรียบเทียบโบรกเกอร์และค่าสเปรด เช่น:

  • ForexBrokers.com
  • BrokerChooser.com
  • บางเว็บไซต์รีวิวโบรกเกอร์ในประเทศไทยก็มีข้อมูลเปรียบเทียบสเปรดเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดบนเว็บไซต์ของโบรกเกอร์โดยตรงและทดลองใช้บัญชี Demo เพื่อยืนยัน

8. หากสเปรดมีการถ่างกว้างมากผิดปกติในช่วงเวลาหนึ่ง ควรดำเนินการอย่างไร?

หากสเปรดถ่างกว้างผิดปกติ มักเกิดจากสภาพคล่องต่ำหรือมีข่าวสำคัญ คุณควร:

  • หลีกเลี่ยงการเปิดสถานะใหม่: ต้นทุนที่สูงขึ้นอาจทำให้คุณขาดทุนทันทีที่เปิดออเดอร์
  • ระวังการปิดสถานะ: หากคุณมีสถานะเปิดอยู่ การปิดในขณะที่สเปรดกว้างอาจทำให้คุณเสียเปรียบ
  • ตรวจสอบข่าวสาร: ดูว่ามีการประกาศข่าวสำคัญใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหรือไม่
  • รอ: โดยทั่วไป สเปรดจะกลับมาเป็นปกติเมื่อสภาพคล่องกลับมาหรือผลกระทบจากข่าวลดลง

9. ทำไมบางครั้งโบรกเกอร์ถึงเสนอ “Zero Spread” หรือสเปรด 0.0 pip?

โบรกเกอร์ที่เสนอ “Zero Spread” มักจะเป็นบัญชีประเภท ECN หรือ Raw Spread ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้สเปรดที่ใกล้เคียงกับตลาดจริงมากที่สุด (อาจเป็น 0.0 pip ในบางช่วง) อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์จะชดเชยรายได้ด้วยการเก็บ “ค่าคอมมิชชั่น” ต่อ Lot ที่คุณเทรด ซึ่งเป็นต้นทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่คุณต้องพิจารณา

10. การเทรดแบบ Scalping หรือ Day Trading ควรให้ความสำคัญกับค่าสเปรดมากแค่ไหน?

การเทรดแบบ Scalping และ Day Trading ควรให้ความสำคัญกับค่าสเปรดอย่างมากที่สุด เนื่องจากเทรดเดอร์เหล่านี้มักจะทำกำไรเพียงไม่กี่ Pip ต่อครั้ง ดังนั้นค่าสเปรดที่สูงเพียงเล็กน้อยก็สามารถลดผลกำไรหรือเพิ่มการขาดทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดแคบที่สุดและพิจารณาบัญชี ECN/Raw Spread จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสไตล์การเทรดเหล่านี้