เจาะลึกการเงิน AAPL: โอกาสและความท้าทายที่นักลงทุนต้องรู้!

เพื่อนผม ‘น้องใหม่’ เพิ่งถอย iPhone รุ่นล่าสุดมาอวดครับ หน้าตาบ่งบอกถึงความสุขสุดๆ ที่ได้เป็นเจ้าของ gadget ชิ้นโปรด พอเห็นน้องใหม่ดีใจกับมือถือเครื่องใหม่ปุ๊บ ผมในฐานะคนเขียนเรื่องการเงินก็อดคิดถึง ‘การเงินของ aapl‘ ไม่ได้เลยครับ เพราะเจ้าไอโฟนเครื่องจิ๋ว (แต่ราคาไม่จิ๋ว) เนี่ย เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทที่ชื่อว่า แอปเปิล จำกัด (Apple Inc.) หรือที่นักลงทุนเรียกสั้นๆ ว่าหุ้น **AAPL** บนตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ นั่นเอง

หลายคนอาจจะรู้จักแอปเปิลแค่จากไอโฟน ไอแพด หรือแมคบุ๊กใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้ว การเงินของ aapl มันซับซ้อนและน่าสนใจกว่านั้นเยอะเลย บริษัทนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 โดยสามเกลอในตำนานอย่าง สตีเวน พอล จ็อบส์, โรนัลด์ เจอรัลด์ เวย์น และสตีเฟน จี. วอซเนียก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แล้วก็เข้าตลาดหุ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 โน่นแน่ะครับ

เวลาเรามองลึกเข้าไปใน การเงินของ aapl นอกจากยอดขายฮาร์ดแวร์ที่เราเห็นๆ กันอย่าง ไอโฟน ที่ยังคงเป็นพระเอกทำรายได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว เขายังมี ไอแพด และ แมค ซึ่งก็ทำเงินไม่น้อย ไหนจะพวก อุปกรณ์สวมใส่ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น Apple Watch และ AirPods ที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีก

แต่สิ่งที่นักวิเคราะห์จับตามากๆ แล้วก็เป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่กำลังเร่งเครื่องก็คือ ‘ธุรกิจบริการ’ ครับ อันนี้รวมทุกอย่างที่ไม่ใช่การขายเครื่อง เช่น รายได้จาก App Store ที่เราโหลดแอปฯ กันทุกวัน, Apple Music ที่เราฟังเพลง, Apple TV+ ที่ดูซีรีส์, iCloud ที่เก็บข้อมูล, Apple Pay ระบบจ่ายเงินที่ใช้สะดวกสบาย, Apple Card บัตรเครดิตของตัวเอง ไปจนถึงการอนุญาตให้บริษัทอื่นใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของเขา ส่วนนี้แหละครับที่เป็นแหล่งรายได้ที่มีอัตรากำไรสูง และกำลังเติบโตเร็วมากๆ ทำให้ การเงินของ aapl มีความยั่งยืนและหลากหลายมากขึ้น

แล้วอะไรที่ทำให้แอปเปิลแข็งแกร่งจนเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ติดอันดับโลก? ผมว่ามันมีหลายปัจจัยเลยครับ อย่างแรกคือ ‘แบรนด์’ ที่แข็งแกร่งสุดๆ ใครๆ ก็รู้จัก โลโก้รูปแอปเปิลแหว่งเนี่ย มีพลังดึงดูดมหาศาลครับ แล้วผู้ใช้ก็มีความภักดีสูงมาก (Brand Loyalty) ใช้ไอโฟนแล้วก็มักจะอยากใช้สินค้าแอปเปิลตัวอื่นๆ ต่อ

อันที่สองคือ ‘ระบบนิเวศ’ หรือ Ecosystem ที่เชื่อมต่อสินค้าและบริการทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ใช้ไอโฟนก็เชื่อมกับ Apple Watch ได้ง่ายๆ ใช้ iCloud ก็ซิงค์ข้อมูลข้ามเครื่องได้สบายๆ พอเข้ามาอยู่ในโลกของแอปเปิลแล้ว ก็ออกไปยากหน่อย เหมือนติดอยู่ในสวนสนุกแอปเปิล ที่ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันได้ดีเยี่ยม

สามคือ ‘การควบคุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์’ แอปเปิลออกแบบชิปเอง พัฒนาระบบปฏิบัติการเอง ทำให้เครื่องกับโปรแกรมทำงานเข้ากันได้ดีมากๆ ลื่นไหล ไม่ค่อยมีปัญหา และยังควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัยได้ดีกว่าคู่แข่งที่ซื้อชิ้นส่วนมาจากหลายๆ เจ้า

นอกจากนี้ แอปเปิลยังมี ‘อัตรากำไร’ ที่สูงมากครับ ขายสินค้าได้กำไรดีกว่าหลายๆ บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน และอีกกลยุทธ์ทางการเงินที่น่าสนใจมากๆ ใน การเงินของ aapl คือ ‘โครงการซื้อหุ้นคืน’ ครับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 แอปเปิลใช้เงินไปกว่า 700 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (โห…เยอะจนคิดไม่ถึงเลยใช่ไหมครับ) เพื่อซื้อหุ้นตัวเองกลับคืนมา ทำให้จำนวนหุ้นในตลาดน้อยลง ซึ่งโดยทั่วไปจะทำให้กำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share – EPS) สูงขึ้น หุ้นดูมีเสน่ห์ต่อนักลงทุนมากขึ้นครับ เขาเอาเงินสดที่ได้มาจากการดำเนินงาน กับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาทำตรงนี้ครับ

ทีนี้มาดูตัวเลข การเงินของ aapl ที่เป็นรูปธรรมกันบ้างนะครับ ไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2568 หรือช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา) รายได้รวมอยู่ที่ 95.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถ้าเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอาจจะดูน้อยลงหน่อย (ลดลง 23.28%) แต่อันนี้เป็นเรื่องปกติของธุรกิจที่มีฤดูกาลอย่างแอปเปิลครับ ช่วงปลายปีมักจะขายดีกว่าเพราะมีรุ่นใหม่ออกและเป็นช่วงเทศกาล แต่ถ้าเทียบกับปีที่แล้วในไตรมาสเดียวกัน ยังถือว่าเติบโตนะ การเติบโตของรายได้แบบปีต่อปี (Year-over-Year – YoY) อยู่ที่ 5.1% และการเติบโตของกำไรก็ดีตาม ที่ 7.8% รายได้สุทธิในไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 24.78 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตรากำไรอยู่ที่ 24.3% ถือว่าสูงทีเดียวครับ

ส่วนเรื่องหุ้น **AAPL** เองก็น่าสนใจครับ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 3.15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐครับ โอ้โห ใหญ่เท่ากับ GDP ของประเทศเล็กๆ หลายประเทศรวมกันเลยนะ หุ้นที่ออกและชำระแล้วมีประมาณ 14.94 พันล้านหุ้น

นักลงทุนที่ถือหุ้นแอปเปิลก็ได้เงินปันผลด้วยนะครับ เขามีประวัติการจ่ายปันผลรายไตรมาส ล่าสุดเงินปันผลล่วงหน้าต่อปีอยู่ที่ 1.04 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นผลตอบแทน 0.50% (อันนี้ดูน้อยเมื่อเทียบกับบางบริษัท แต่อย่าลืมว่าแอปเปิลเน้นเอากำไรไปลงทุน R&D และซื้อหุ้นคืนมากกว่าจ่ายปันผลเยอะๆ ครับ)

แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้ฝ่ายบริหารและนักลงทุนกังวลเหมือนกันครับ อย่างข่าวที่ว่าอาจมีต้นทุนจากภาษีนำเข้าสูงถึง 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาดูใน การเงินของ aapl ครับ

มาดูที่ราคาหุ้น **AAPL** กันบ้าง ราคาปิดช่วงตลาดล่าสุด (9 กรกฎาคม เวลา 19:59 น. ตามเวลา EDT) อยู่ที่ 211.14 ดอลลาร์สหรัฐ มีส่วนต่างราคาในรอบวัน (Daily Range) อยู่ที่ 207.22 – 211.33 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในรอบ 52 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 260.10 ดอลลาร์สหรัฐ และต่ำสุดที่ 169.21 ดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของราคาหุ้นนะครับ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็สูงถึง 55.01 ล้านหุ้น

ย้อนไปดูประวัติราคาหุ้น **AAPL** หลายปีที่ผ่านมาก็มีขึ้นมีลงสลับกันไป ปีที่ขึ้นแรงๆ ก็มี อย่างปี 2562 (+86.58%), ปี 2563 (+83.48%), ปี 2566 (+48.18%) แต่ปีที่ลงก็มี เช่น ปี 2561 (-7.68%), ปี 2565 (-27.09%) ที่น่าสังเกตคือ ปี 2567 นี้ (นับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ข้อมูลอ้างอิง) ราคาหุ้นยังติดลบอยู่ถึง -16.12% ครับ นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า แม้จะเป็นบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ราคาหุ้นก็ไม่ได้ขึ้นตลอด และมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังมองบวกกับหุ้น **AAPL** นะครับ จากการสำรวจ มีนักวิเคราะห์ 38 คนให้การคาดการณ์ราคาใน 12 เดือนข้างหน้า ราคาเป้าหมายเฉลี่ยอยู่ที่ 200.00 ดอลลาร์สหรัฐ (อันนี้อาจจะต้องเทียบกับราคาปัจจุบันนะครับ ถ้าข้อมูลอ้างอิงเดิมราคาต่ำกว่านี้ แต่ราคาล่าสุดสูงกว่า ก็แสดงว่านักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งอาจจะยังไม่ได้ปรับเป้าหมายขึ้นตามราคาที่วิ่งไปเร็ว) คำแนะนำโดยรวมส่วนใหญ่ก็ยังเป็น ‘ซื้อ’ (มีทั้งแนะนำให้ซื้อเฉยๆ และซื้อมากๆ รวมกัน 27+85 = 112 ราย ส่วน ‘ถือไว้’ 63 ราย และ ‘ขาย’ หรือ ‘แนะนำให้ขาย’ รวมกัน 7+4 = 11 ราย) แสดงว่า sentiment ต่อนักวิเคราะห์โดยรวมยังเป็นบวกครับ

ตามโมเดลคาดการณ์ราคา **AAPL** ในระยะยาวก็ยังดูดีนะครับ คาดการณ์สิ้นปี 2568 อาจเห็นที่ 215.2 ดอลลาร์สหรัฐ สิ้นปี 2569 อาจแตะ 228.65 ดอลลาร์สหรัฐ และมองไปไกลถึงปี 2583 อาจเห็นราคาถึง 528.51 ดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียวครับ แต่นี่เป็นเพียง การคาดการณ์ ซึ่งอ้างอิงจากโมเดลและข้อมูลในอดีต สถานการณ์ในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

โดยสรุปแล้ว แอปเปิลเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีจุดแข็งรอบด้าน ทั้งแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ระบบนิเวศที่ดึงดูดผู้ใช้ ธุรกิจบริการที่กำลังเติบโตเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ และมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง แต่ การเงินของ aapl และราคาหุ้นก็ยังมีความท้าทายและความผันผวนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแข่งขันในตลาด ต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอก หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป

การลงทุนในหุ้น **AAPL** ก็เหมือนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่นๆ ครับ ไม่ใช่ว่าจะซื้อแล้วหุ้นขึ้นพรวดพราดเสมอไป ต้องมองยาวๆ และทำความเข้าใจความเสี่ยงให้ดีก่อนเสมอ

สำหรับใครที่สนใจอยากจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศอย่าง **AAPL** นี่ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ หรือมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ‘ทำการบ้าน’ ของตัวเองครับ หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท อ่านงบการเงินล่าสุด (รายได้ กำไร หนี้สิน กระแสเงินสด) ทำความเข้าใจอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เช่น P/E Ratio ว่าแพงไปไหมเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือเทียบกับอดีตของตัวเอง

อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอครับ ราคาหุ้นอาจขึ้นหรือลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก ผลการดำเนินงานของบริษัท การแข่งขันในอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ปัจจัยทางเทคนิคของตลาดหุ้นเอง

⚠️ หากเงินทุนหมุนเวียนไม่สูง (สภาพคล่องไม่มาก) ควรประเมินความเสี่ยงให้ดีก่อนลงทุนในหุ้นต่างประเทศนะครับ เพราะนอกจากความเสี่ยงของตัวหุ้นเองแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วย

บางคนอาจสนใจลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบนี้ ก็มีหลายแพลตฟอร์มที่เป็นผู้ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศอยู่ครับ อย่าง Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ได้รับใบอนุญาตและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งมักจะมีเครื่องมือและข้อมูลต่างๆ ให้เราได้ศึกษาและใช้ประกอบการตัดสินใจครับ แต่ไม่ว่าจะเลือกแพลตฟอร์มไหน หรือจะลงทุนในหุ้นตัวไหน การเงินของ aapl ก็เป็นเพียงหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่น่าสนใจบนโลกนี้ การกระจายความเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามครับ