
เพื่อนสนิทชื่อ ‘เล็ก’ เพิ่งมาถามผมด้วยสีหน้ากังวลว่า “เฮ้ยแก… เห็นคนอื่นเขา ลงทุนซื้อหุ้น กันแล้วรวยจัง ฉันอยากลองบ้างแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนเลย?” ผมยิ้มแล้วบอกเล็กไปว่า “ไม่ต้องกังวลเลยเพื่อน การ ลงทุนซื้อหุ้น ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับมือใหม่หรอก แค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเหมือนจะออกไปวิ่งมาราธอนน่ะแหละ”
เรื่องของเล็กน่าจะเป็นความรู้สึกของหลายๆ คนที่กำลังมองหาช่องทางสร้างความมั่งคั่ง หรือแค่อยากให้เงินที่เก็บออมมางอกเงยขึ้นบ้าง แต่พอได้ยินคำว่า ‘ตลาดหุ้น’ ‘ดัชนี’ ‘กราฟแดงกราฟเขียว’ ก็รู้สึกว่ามันซับซ้อน ยิ่งเห็นข่าวหุ้นขึ้นแรง ลงแรง ยิ่งใจหายวาบ วันนี้ในฐานะเพื่อนที่ (พอจะ) รู้เรื่องการ ลงทุนซื้อหุ้น บ้าง ขออาสาพาไปทำความรู้จักกับโลกใบนี้แบบไม่ให้ปวดหัวกันครับ
ก่อนจะกระโจนเข้าไป ลงทุนซื้อหุ้น แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสำรวจตัวเองครับ เหมือนเวลาหมอตรวจสุขภาพนั่นแหละ เราต้องรู้ก่อนว่าสถานะทางการเงินของเราเป็นยังไง มีรายได้เท่าไหร่ จ่ายอะไรไปบ้างในแต่ละเดือน มีหนี้สินเยอะไหม โดยเฉพาะหนี้ดอกเบี้ยสูงๆ พวกนี้ต้องรีบจัดการก่อนเลยนะครับ เพราะดอกเบี้ยมันวิ่งเร็วกว่าผลตอบแทนจากการ ลงทุนซื้อหุ้น เยอะนัก นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากๆ คือการสร้าง ‘เงินสำรองฉุกเฉิน’ พูดง่ายๆ คือเงินก้อนที่เก็บไว้ใช้ในยามที่เราจำเป็นจริงๆ เช่น ตกงาน ป่วย หรือมีเหตุไม่คาดฝัน ควรมีอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนเลยนะครับ ถ้ายังไม่มีตรงนี้ การเอาเงินไป ลงทุนซื้อหุ้น อาจจะกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่ทำให้เราต้องถอนเงินออกมาใช้ตอนที่ราคาหุ้นกำลังลงได้

เมื่อการเงินเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็มาถึงการตั้งเป้าหมายครับ เราจะ ลงทุนซื้อหุ้น ไปเพื่ออะไร? เพื่อเก็บเงินก้อนใหญ่ใน 5 ปี 10 ปี? เพื่อให้มีรายได้จากเงินปันผล? เพื่อเก็งกำไรระยะสั้นๆ? เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เราเลือกกลยุทธ์และประเภทหุ้นที่เหมาะสมได้ เหมือนเวลาเราตั้งเป้าจะไปเชียงใหม่ เราถึงจะเลือกว่าจะขับรถ นั่งรถไฟ หรือนั่งเครื่องบิน การกำหนดระยะเวลาการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน จะ ลงทุนซื้อหุ้น แบบสั้นๆ หรือยาวๆ ก็มีวิธีการที่ต่างกันไปครับ
หลายคนกลัวการขาดทุน นั่นเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่เราสามารถจัดการความกลัวและความเสี่ยงนั้นได้ ด้วยหลักการง่ายๆ คือ ‘อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว’ หรือที่เรียกว่า ‘การกระจายการลงทุน’ แทนที่จะเอาเงินทั้งหมดไป ลงทุนซื้อหุ้น แค่ตัวเดียว หรืออุตสาหกรรมเดียว ก็แบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นหลายๆ ตัว หลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม หรืออาจจะแบ่งไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย เช่น กองทุนรวม พันธบัตร หรือทองคำ ที่เขาเรียกว่า ‘การจัดสรรสินทรัพย์’ นี่แหละครับ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือที่เรียกว่า ‘การตั้งจุดตัดขาดทุน’ หรือ Stop Loss สมมติเราซื้อหุ้นมาที่ราคา 10 บาท เราอาจจะตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ถ้าเห็นราคามันลดลงไป 10-15% จากที่เราซื้อมา เราจะขายมันทิ้งเพื่อจำกัดความเสียหาย นี่เป็นหลักการพื้นฐานของการบริหารความเสี่ยงที่นัก ลงทุนซื้อหุ้น ทุกคนควรรู้ไว้
สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่ม ลงทุนซื้อหุ้น มีกลยุทธ์เบื้องต้นที่น่าสนใจอยู่สองสามแบบครับ แบบแรกคือ ‘การถัวเฉลี่ยต้นทุน’ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) วิธีนี้คือการที่เราแบ่งเงินจำนวนเท่าๆ กัน ไปซื้อหุ้นตัวเดิมอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ไม่ว่าราคาหุ้นตอนนั้นจะขึ้นหรือลง วิธีนี้จะช่วยให้ต้นทุนเฉลี่ยของเราอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล เหมาะมากๆ สำหรับคนที่มีวินัย มีเงินเริ่มต้นไม่เยอะ หรือไม่มีเวลามานั่งเฝ้าจอติดตามข่าวสารตลอดเวลา มันช่วยลดความจำเป็นในการ ‘จับจังหวะตลาด’ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากๆ แม้แต่นักลงทุนมืออาชีพก็ยังทำผิดพลาดบ่อยๆ ครับ อีกแบบที่มือใหม่นิยมคือการ ลงทุนซื้อหุ้น ของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงสูง หรือที่เรียกว่า ‘หุ้นบลูชิป’ บริษัทเหล่านี้มักจะมีผลประกอบการดี มีชื่อเสียง และผ่านวิกฤตต่างๆ มาได้ ส่วนการ ‘เก็งกำไรระยะสั้น’ หรือที่เรียกว่า ‘การเทรด’ นั้น เน้นการซื้อขายเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาในระยะเวลาสั้นๆ อาจจะแค่ไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์ วิธีนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ‘การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน’ (ดูสุขภาพบริษัท) หรือ ‘การวิเคราะห์ทางเทคนิค’ (ดูกราฟราคา) ซึ่งเหมาะกับคนที่มีประสบการณ์และมีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดมากกว่า ส่วนใครที่มองยาวๆ เป็นปีๆ ขึ้นไป ก็จะเรียกว่า ‘การลงทุนระยะยาว’ ซึ่งเน้นการเลือกบริษัทที่ดีจริงๆ แล้วถือไปเรื่อยๆ

เอาล่ะ พอเตรียมใจ เตรียมเงิน เตรียมความรู้พื้นฐาน (พอสังเขป) แล้ว ทีนี้เราจะเริ่ม ลงทุนซื้อหุ้น จริงๆ ได้ยังไง? ก็ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับ ‘บริษัทหลักทรัพย์’ หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘โบรกเกอร์’ นั่นเองครับ การเลือกโบรกเกอร์ก็เหมือนเลือกธนาคารนั่นแหละครับ ต้องดูหลายๆ อย่าง ทั้งบริการให้คำปรึกษา บทวิเคราะห์ต่างๆ คุณภาพของแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันที่ใช้ซื้อขาย (อย่างแอปฯ ‘สตรีมมิ่ง’ (Streaming) นี่เป็นที่นิยมมากๆ) ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ และที่สำคัญคือ ‘澳幣:ค่าธรรมเนียม’ ครับ ซึ่งโบรกเกอร์แต่ละเจ้าก็มีอัตราที่แตกต่างกันไป จากข้อมูลที่เรามี ก็มีโบรกเกอร์หลายเจ้าที่น่าสนใจ เช่น หยวนต้า ซีเคียวริตี้ส์ หรืออินโนเวสท์เอ็กซ์ หรือบางทีธนาคารที่เราใช้บริการอยู่แล้วก็อาจจะมีบริการเปิดบัญชีหุ้นด้วยครับ
บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ก็มีหลายแบบให้เลือก แต่สำหรับมือใหม่ ผมแนะนำให้เริ่มต้นจาก ‘บัญชีแคชบาลานซ์’ ครับ อธิบายง่ายๆ คือเราต้องโอนเงินสดเข้าไปพักไว้ในบัญชีนี้ก่อน เราถึงจะซื้อหุ้นได้ตามจำนวนเงินที่มีในบัญชี เหมือนเราเติมเงินเข้าไปใน e-wallet หรือบัญชีโทรศัพท์มือถือนั่นแหละครับ ข้อดีคือมันช่วยป้องกันไม่ให้เราซื้อหุ้นเกินตัว หรือก่อหนี้โดยไม่ตั้งใจ ส่วนบัญชีเงินสด (วางเงิน 20% จ่ายเต็มใน 2 วัน) หรือบัญชีมาร์จิน (กู้เงินโบรกเกอร์มาซื้อหุ้น) จะมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงมากกว่า เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้วครับ
ขั้นตอนการเปิดบัญชีสมัยนี้ง่ายมากๆ ครับ หลายโบรกเกอร์เปิดให้ทำออนไลน์ได้เลย แค่เตรียมเอกสารนิดหน่อย เช่น บัตรประชาชน สมุดบัญชีธนาคาร และอาจจะมีเอกสารทางการเงินอื่นๆ ตามที่โบรกเกอร์กำหนด ที่สำคัญคือเขาจะมีแบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุนให้เราทำด้วย เพื่อให้โบรกเกอร์ทราบว่าเรามีความรู้และยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะมีผลต่อประเภทของสินค้าทางการเงินที่เราจะซื้อขายได้ครับ
เมื่อเปิดบัญชีเรียบร้อย เติมเงินเข้าบัญชีแคชบาลานซ์แล้ว ก็พร้อมเริ่ม ลงทุนซื้อหุ้น ตัวแรกได้เลยครับ ส่วนใหญ่จะซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ หรือโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ อย่างแอปฯ ‘สตรีมมิ่ง’ (Streaming) ที่เล่าไป การซื้อขายก็ไม่ยากครับ ล็อกอินเข้าแอปฯ หาเมนูที่เขียนว่า ‘เทรด’ (Trade) ระบุชื่อย่อของหุ้นที่เราต้องการจะซื้อ หรือขาย ใส่ราคาที่ต้องการ (ตั้งราคาเอง หรือเลือกราคาตลาด) จำนวนหุ้นที่อยากได้ แล้วก็กดยืนยันด้วยรหัสส่วนตัวของเราครับ จากนั้นก็ไปเช็คสถานะคำสั่งได้ที่แท็บ ‘ออร์เดอร์’ (Order) ว่าคำสั่งของเรากำลังรอจับคู่อยู่ไหม ถ้ามีคนขายที่ราคาที่เราซื้อ หรือมีคนซื้อที่ราคาที่เราขาย ระบบก็จะ ‘จับคู่’ ให้ คำสั่งนั้นก็จะไปอยู่ที่แท็บ ‘ดีล’ (Deal) แปลว่าการซื้อขายของเราสำเร็จแล้วครับ
ตลาดหุ้นก็เหมือนมีสิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ให้เราเลือก ลงทุนซื้อหุ้น ซึ่งแบ่งตามลักษณะได้หลายแบบครับ ที่ควรรู้จักไว้ก็เช่น ‘หุ้นแกร่ง เก๋าตลาด’ คือหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ที่อยู่มานาน มีพื้นฐานดี มีความมั่นคงสูง ราคาหุ้นมักจะเติบโตไปพร้อมๆ กับภาพรวมตลาด หรืออาจจะปรับตัวได้ดีกว่าในช่วงที่ตลาดไม่ดี อีกประเภทคือ ‘หุ้นเน้นมูลค่า’ หรือ Value Stock คือหุ้นที่นักลงทุนเชื่อว่าราคาในตลาดตอนนี้ยังต่ำกว่า ‘มูลค่าที่แท้จริง’ ที่ควรจะเป็นของบริษัท ซึ่งมักจะดูจากตัวเลขในงบการเงินต่างๆ เช่น อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) หรืออัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ต่ำเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน การ ลงทุนซื้อหุ้น กลุ่มนี้เหมาะกับคนที่อดทนรอได้ เพราะต้องรอให้ตลาดค่อยๆ รับรู้มูลค่าของบริษัทแล้วราคาหุ้นถึงจะปรับขึ้น และสุดท้ายคือ ‘หุ้นปันผล’ ครับ คือหุ้นของบริษัทที่มักจะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ การจ่ายปันผลได้แสดงถึงกระแสเงินสดที่ดีและสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงของบริษัทครับ
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าหุ้นตัวไหนดีไม่ดี? ก็ต้องอาศัย ‘การวิเคราะห์หุ้น’ ครับ หลักๆ มีสองแบบ คือ ‘การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน’ (Fundamental Analysis) อันนี้เหมือนเราเป็นนักสืบ ไปเจาะลึกดูสุขภาพการเงินของบริษัทนั้นๆ ดูว่ารายได้เป็นยังไง กำไรเพิ่มขึ้นไหม หนี้สินเยอะหรือเปล่า จ่ายปันผลดีไหม มีแนวโน้มจะเติบโตในอนาคตไหม เพื่อประเมินว่า ‘มูลค่าที่แท้จริง’ ของหุ้นตัวนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณไหน ส่วน ‘การวิเคราะห์ทางเทคนิค’ (Technical Analysis) จะเหมือนเป็นหมอดู (ที่ใช้สถิติ) ทำนายแนวโน้มราคาหุ้นในอนาคต โดยดูจาก ‘กราฟราคา’ และปริมาณการซื้อขายในอดีตครับ สองแบบนี้ใช้ร่วมกันได้ หรือจะเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งก็ได้ แล้วแต่สไตล์และความถนัด แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่ม ลงทุนซื้อหุ้น อาจจะลองเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการดูหุ้นที่อยู่ใน ‘ดัชนี เซ็ทห้าสิบ’ (SET50 Index) หรือ ‘ดัชนี เซ็ทหนึ่งร้อย’ (SET100 Index) ก่อนก็ได้ครับ เพราะเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีความมั่นคงค่อนข้างสูง
การ ลงทุนซื้อหุ้น ในตลาดทุนไทย ไม่ใช่แค่การซื้อๆ ขายๆ แต่ยังต้องทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูล ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2566 มีการปรับปรุงเกณฑ์การซื้อขายบางอย่างในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่น การเปลี่ยนชื่อคำสั่ง หรือการเพิ่มประเภทคำสั่งซื้อขายแบบที่มีอายุข้ามวันได้ หรืออย่างล่าสุดที่ดีกับนัก ลงทุนซื้อหุ้น ทั่วไปก็คือ การ ‘ขยายเวลาทำการซื้อขาย’ ในช่วงบ่ายให้เร็วขึ้น 30 นาที ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2567 เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงมีการเพิ่ม ‘เครื่องหมาย พี’ (เครื่องหมาย P) ไว้บนชื่อหุ้นด้วย ถ้าเห็นตัวนี้แปลว่าหุ้นตัวนั้นกำลังถูกพักการซื้อขายชั่วคราว เนื่องจากมีอะไรผิดปกติ ซึ่งเป็นมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ดูแลความเรียบร้อยครับ
นอกจากนี้ การรู้จัก ‘ดัชนีอ้างอิง’ ต่างๆ ในตลาดหุ้นไทยก็ช่วยให้เรามองภาพรวมได้ชัดขึ้น เช่น ‘ดัชนีตลาดหลักทรัพย์’ (SET Index) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นไทยทั้งหมด หรือดัชนีอื่นๆ เช่น ดัชนี SET50 ดัชนี SET100 หรือดัชนีหุ้นปันผลสูงสุด 30 ตัว (SETHD Index) ดัชนีเหล่านี้เหมือนเป็นมาตรวัดสุขภาพของตลาด หรือของหุ้นกลุ่มต่างๆ ครับ
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังรู้สึกว่ามีคำถามอีกเพียบ ไม่ต้องกลัวครับ ตลาดทุนไทยมี ‘แหล่งความรู้และเครื่องมือ’ ดีๆ ให้ศึกษาเยอะมากครับ เริ่มต้นจาก ‘ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย’ เองเลย ที่เว็บไซต์หลักมีข้อมูลข่าวสาร กฎเกณฑ์ และข้อมูลบริษัทจดทะเบียนครบถ้วนมากๆ และยังมีแพลตฟอร์ม ‘อีเลิร์นนิ่ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย’ ที่มีคอร์สออนไลน์ฟรีสำหรับมือใหม่เพียบเลยครับ เช่น ‘ลงทุนหุ้นฉบับมือใหม่’ หรือ ‘วิธีคิดเพื่อนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ’ นอกจากนี้ โบรกเกอร์ต่างๆ ก็มักจะมีบริการให้คำปรึกษา บทวิเคราะห์ เครื่องมือซื้อขาย หรือจัดกิจกรรม/สัมมนาให้ความรู้กับลูกค้าอยู่เสมอครับ แหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่น่าเชื่อถือก็มีอีกมากมาย อย่างเว็บไซต์ของ The Standard Wealth หรือเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ (Trinity) ที่มักจะมีบทความวิเคราะห์ดีๆ ให้อ่าน
การ ลงทุนซื้อหุ้น อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ในตอนแรก แต่ถ้าเราค่อยๆ ทำความเข้าใจทีละขั้นตอน เริ่มจากการเตรียมตัวให้พร้อม ประเมินตัวเองให้ดี ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เรียนรู้หลักการบริหารความเสี่ยง เลือกโบรกเกอร์ที่ใช่ เปิดบัญชีให้ถูกต้อง ทำความเข้าใจประเภทของหุ้นและวิธีการวิเคราะห์เบื้องต้น แล้วก็หมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ การ ลงทุนซื้อหุ้น ก็จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปครับ ใครๆ ก็ ลงทุนซื้อหุ้น ได้ ถ้าเริ่มอย่างถูกวิธีและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และการลงทุนในหุ้นอาจทำให้เงินต้นสูญหายได้