เงินปันผลคืออะไร? สร้างรายได้passive ง่ายๆที่คุณต้องรู้!

สวัสดีครับนักลงทุนมือใหม่และเก่าทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งกับคอลัมน์การเงินแบบสบายๆ ที่จะพาเรื่องยากๆ มาเล่าให้ฟังแบบเพื่อนสู่เพื่อน

วันนี้ผมอยากชวนคุยเรื่องที่หลายคนได้ยินบ่อยมากเวลาพูดถึงการลงทุนในหุ้น หรือแม้แต่กองทุนต่างๆ นั่นก็คือคำว่า เงินปันผล ครับ หรือถ้าเป็นภาษาปะกิดก็คือ Dividend นั่นแหละ

หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า ซื้อหุ้นปันผลดีๆ ถือยาวๆ ก็เหมือนมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย โอโห ฟังดูดีจังใช่ไหมครับ? เหมือนมีต้นไม้เงินที่คอยออกดอกออกผลให้เราเก็บกินตลอดปี แต่จริง ๆ แล้ว เงินปันผลคืออะไร กันแน่? มันมาจากไหน แล้วเราจะได้มันมายังไง? วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้กันแบบเข้าใจง่ายๆ ครับ

ลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าเรากับเพื่อนอีกหลายคนลงขันเปิดร้านกาแฟร้านนึง พอร้านขายดี มีกำไร เราในฐานะเจ้าของร้าน (หรือจะเรียกว่าผู้ถือหุ้นก็ได้) ก็ย่อมคาดหวังว่าจะได้แบ่งกำไรนั้นคืนมาบ้างใช่ไหมครับ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เหมือนร้านกาแฟขนาดใหญ่นั่นแหละครับ เมื่อบริษัทมีผลประกอบการที่ดี มีกำไร หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ หมดแล้ว บริษัทก็มีทางเลือกครับว่าจะเอาไอ้กำไรก้อนนี้ไปทำอะไรดี

ทางเลือกหลักๆ ก็มีสองอย่างครับ หนึ่งคือ เก็บกำไรไว้เพื่อขยายกิจการต่อไป (เช่น เปิดสาขาใหม่ ซื้อเครื่องมือใหม่ๆ) สองคือ แบ่งกำไรส่วนหนึ่งคืนให้กับ “เจ้าของ” หรือก็คือ “ผู้ถือหุ้น” นั่นเองครับ ไอ้ส่วนแบ่งกำไรนี่แหละครับที่เราเรียกว่า เงินปันผล

การจ่ายเงินปันผลก็เหมือนการแสดงน้ำใจของบริษัทที่บอกว่า “ขอบคุณนะที่ร่วมลงทุนกับเรา นี่คือกำไรที่เราแบ่งคืนให้” มันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น นอกเหนือจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เราซื้อมาถูกแล้วไปขายแพงขึ้นครับ

แล้วบริษัทจะจ่ายปันผลให้ใครล่ะ? ก็จ่ายให้ผู้ถือหุ้นทุกคนครับ แต่จะแบ่งให้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าใครถือหุ้นอยู่จำนวนเท่าไร ถือเยอะก็ได้เยอะ ถือน้อยก็ได้น้อย เป็นไปตามสัดส่วนการถือครองหุ้นนั่นแหละครับ

ทีนี้ คุณอาจจะสงสัยว่า แล้วบริษัทไหนก็ได้ที่มีกำไรก็จ่ายปันผลหมดเลยเหรอ? จริงๆ แล้วไม่ขนาดนั้นครับ การจ่ายปันผลมันมีเบื้องหลังและเงื่อนไขอยู่เหมือนกันครับ

ตามหลักการและกฎหมายแล้ว บริษัทจะจ่าย เงินปันผลคืออะไร ก็ต้องมาจาก “กำไรสะสม” หรือ “กำไรสุทธิ” ของบริษัทครับ คือต้องมีตังค์จริงๆ นั่นแหละ ห้ามไปควักเอาเงินที่ขาดทุนอยู่มาจ่ายเด็ดขาด! นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดให้บริษัทต้องจัดสรรกำไรส่วนหนึ่งไว้เป็น “ทุนสำรองตามกฎหมาย” ก่อนที่จะนำกำไรส่วนที่เหลือมาพิจารณาจ่ายปันผล ซึ่งปกติกฎหมายกำหนดไว้ขั้นต่ำ 5% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี จนกว่าทุนสำรองนี้จะถึง 10% ของทุนจดทะเบียนบริษัทครับ

และที่สำคัญสุดๆ คือ การจะจ่ายเงินปันผลได้ ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อนครับ (ยกเว้นการจ่ายปันผลระหว่างกาลที่คณะกรรมการบริษัทอาจอนุมัติได้ก่อน แล้วค่อยรายงานที่ประชุมผู้ถือหุ้น) นั่นแปลว่า นโยบายการจ่ายปันผลของแต่ละบริษัทอาจไม่เหมือนกันเลยครับ บางบริษัทอาจมีนโยบายชัดเจนว่า จะจ่ายปันผลในอัตราคงที่ต่อหุ้น เช่น ปีละ 1 บาทต่อหุ้น ไม่ว่ากำไรจะมากจะน้อย (ถ้ามีกำไรพอให้จ่ายนะ) บางบริษัทอาจกำหนดเป็นอัตราส่วนจากกำไรสุทธิ เช่น จะจ่ายปันผล 50% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี ซึ่งแบบนี้เงินปันผลที่ได้ในแต่ละปีก็จะผันผวนไปตามผลประกอบการครับ

ปัจจัยที่บริษัทใช้พิจารณาว่าจะจ่ายปันผลหรือไม่จ่าย หรือจ่ายเท่าไร ก็มีหลายอย่างครับ นอกจากเรื่องกำไรและข้อกำหนดทางกฎหมายแล้ว เค้ายังต้องดูเรื่อง “สภาพคล่อง” ของบริษัทด้วยครับ คือมีเงินสดพอหมุนเวียนไหม ถ้าจ่ายปันผลออกไปหมดแล้วจะกระทบการดำเนินงานรึเปล่า รวมถึงโอกาสในการลงทุนในอนาคต ถ้าบริษัทมีโครงการใหญ่ๆ ที่จะลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ก็อาจจะเลือดยังไม่จ่ายปันผล หรือจ่ายน้อยๆ แล้วเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อดีกว่าครับ เพราะผู้ถือหุ้นบางกลุ่มก็คาดหวังการเติบโตของราคาหุ้นมากกว่าเงินปันผลด้วยซ้ำ

แล้ว เงินปันผลคืออะไร บ้างล่ะ มีกี่แบบ? หลักๆ ที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสองแบบครับ

1. เงินปันผลที่เป็น “เงินสด” (Cash Dividend): อันนี้ตรงไปตรงมาที่สุดครับ บริษัทจ่ายเงินสดเข้าบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของเราโดยตรงเลย เราก็ได้เงินมาใช้จ่ายหรือนำไปลงทุนต่อได้ทันทีครับ ส่วนใหญ่ที่เราพูดถึงเงินปันผล ก็มักจะหมายถึงแบบที่เป็นเงินสดนี่แหละครับ
2. เงินปันผลที่เป็น “หุ้น” (Stock Dividend): อันนี้บริษัทไม่ได้จ่ายเป็นเงินสดครับ แต่จะจ่ายเป็น “หุ้นสามัญเพิ่มทุน” แทน พูดง่ายๆ คือเราจะได้หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งครับ แต่จำนวนหุ้นในตลาดรวมก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ “มูลค่าต่อหุ้น” อาจจะลดลงหน่อย (เขาเรียกว่าเกิด Dilution effect) แต่จำนวนหุ้นที่เราถือเพิ่มขึ้นครับ การจ่ายหุ้นปันผลมักจะทำในกรณีที่บริษัทอยากเก็บเงินสดไว้ใช้ลงทุน หรือไม่มีสภาพคล่องเพียงพอจะจ่ายเป็นเงินสดครับ

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่า เราจะได้สิทธิ์รับเงินปันผลเมื่อไหร่? ไม่ใช่ว่าซื้อหุ้นวันนี้ แล้วพรุ่งนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลแล้วเราจะได้เลยนะครับ มันมีวันที่สำคัญอยู่ 1 วัน ที่นักลงทุนหุ้นปันผลต้องจำให้ขึ้นใจ นั่นคือ วันขึ้นเครื่องหมาย XD (ย่อมาจาก Excluding Dividend)

วันขึ้นเครื่องหมาย XD คือวันที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดว่า ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวนี้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป “คุณจะไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล” ที่บริษัทกำลังจะประกาศจ่ายในงวดนี้ครับ ดังนั้น ถ้าเราอยากได้เงินปันผล เราจะต้องซื้อและถือหุ้นตัวนั้น “ก่อน” วันขึ้นเครื่องหมาย XD ครับ พูดให้ง่ายที่สุดคือ ต้องมีชื่อเราเป็นผู้ถือหุ้นในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินปันผล ซึ่งวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะอยู่ก่อนหน้านั้น 2 วันทำการครับ (เพราะระบบชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ใช้เวลา T+2) สรุปคือ อยากได้ปันผล ต้องซื้อหุ้นให้เรียบร้อยก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD นั่นเองครับ

เมื่อเข้าใจแล้วว่า เงินปันผลคืออะไร และได้ยังไง ทีนี้เราจะรู้ได้ไงว่าหุ้นตัวไหนจ่ายปันผล “ดี” หรือ “คุ้มค่า”? เครื่องมือที่เรานิยมใช้ดูกันคือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือที่เรียกกันว่า Dividend Yield ครับ

สูตรคำนวณ Dividend Yield ง่ายๆ คือ:
**(เงินปันผลต่อหุ้น / ราคาหุ้นปัจจุบัน) x 100**

ตัวเลขนี้จะบอกเราว่า เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่เราซื้อหรือถืออยู่ เราจะได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าหุ้นตัวหนึ่งราคา 10 บาท และประกาศจ่ายเงินปันผล 0.50 บาทต่อหุ้นต่อปี Dividend Yield ของหุ้นตัวนี้ก็คือ (0.50 / 10) x 100 = 5% ครับ

สำหรับนักลงทุนที่เน้นสร้าง “กระแสเงินสด” หรือ “Passive Income” จากการลงทุนในหุ้น การดูค่า Dividend Yield เป็นสิ่งสำคัญมากครับ ผู้เชี่ยวชาญบางท่านที่เน้นกลยุทธ์นี้อาจจะมองหาหุ้นที่มี Dividend Yield สูงๆ หน่อย เช่น ตั้งเป้าไว้ที่ 5-10% ขึ้นไป (อันนี้แล้วแต่เป้าหมายของแต่ละคนนะครับ) กลุ่มธุรกิจที่มักจะพบหุ้นที่มี Dividend Yield สูงและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ มักจะเป็นธุรกิจที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคง เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร หรือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้ค่าเช่าสม่ำเสมอครับ

แต่… ค่า Dividend Yield สูงอย่างเดียวก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดนะครับ บางทีหุ้นที่ราคาตกลงมาเยอะๆ เพราะมีปัญหาอะไรบางอย่าง อาจทำให้ Dividend Yield ดูสูงผิดปกติก็ได้ ดังนั้น ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ของบริษัทประกอบด้วย เช่น ผลประกอบการ ความสามารถในการทำกำไรในอนาคต เสถียรภาพของกิจการ และนโยบายการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอครับ

นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ เงินปันผลคืออะไร ที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง นั่นก็คือเรื่อง “ภาษี” ครับ เงินปันผลที่เราได้รับจากหุ้น ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครับ โดยปกติ บริษัทผู้ออกหุ้นจะทำการ “หักภาษี ณ ที่จ่าย” ไว้เลย 10% ก่อนที่จะจ่ายเงินปันผลให้เราครับ

ทีนี้ความน่าสนใจอยู่ตรงนี้ครับ เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่า จะให้ภาษี 10% ที่โดนหักไปนั้น “จบ” แค่นั้นเลยก็ได้ คือไม่ต้องนำเงินปันผลก้อนนี้ไปรวมคำนวณภาษีกับรายได้อื่นๆ ปลายปี หรือจะ “นำไปรวม” คำนวณกับรายได้อื่นๆ ก็ได้ แล้วค่อยไปขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนครับ

ข้อดีของการนำไปรวมคำนวณปลายปีแล้วขอเครดิตภาษีคืนคือ ถ้าฐานภาษีรวมของเราทั้งปี “ต่ำกว่า 10%” เราอาจจะได้ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย 10% นั้นคืนบางส่วนหรือทั้งหมดครับ เพราะเรามีเครดิตภาษีเงินปันผลมาหักล้างได้ แต่ถ้าฐานภาษีเราสูงกว่า 10% การไม่นำเงินปันผลมารวมคำนวณปลายปีอาจจะคุ้มค่ากว่า เพราะทำให้ไม่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า 10% สำหรับเงินปันผลก้อนนั้นครับ เรื่องนี้อาจจะซับซ้อนหน่อย แนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีครับ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจอยากจะลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลดีๆ จะไปหาได้จากไหนล่ะ? ปัจจุบันมีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยให้เราค้นหาหุ้นปันผลได้ง่ายขึ้นครับ เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการจัดทำ ดัชนี SETHD (SET High Dividend) ซึ่งเป็นดัชนีที่คัดเลือกหุ้น 30 ตัวที่มีประวัติการจ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ หรือบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ก็มักจะมีโปรแกรมสแกนหุ้น (Stock Screener) ที่ให้เราตั้งเงื่อนไขได้ว่าอยากได้หุ้นที่มี Dividend Yield เท่าไหร่ หรือมีประวัติการจ่ายปันผลกี่ปีติดต่อกันครับ อย่างโปรแกรม Stock Signals หรือ Strategy Builder ของหลักทรัพย์บัวหลวง หรือแม้แต่เว็บไซต์ข่าวสารการเงินต่างๆ ก็จะมีปฏิทินการจ่ายเงินปันผลให้เราติดตามวันขึ้นเครื่องหมาย XD ได้ครับ การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เราหาหุ้นที่ตรงกับเป้าหมายการลงทุนเน้นปันผลของเราได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

สุดท้ายแล้ว การลงทุนเพื่อรับ เงินปันผลคืออะไร ก็เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนครับ มันเหมาะสำหรับคนที่ต้องการสร้าง “กระแสเงินสด” หรือ “Passive Income” อย่างสม่ำเสมอ หรือมองหาผลตอบแทนอีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจากส่วนต่างราคาหุ้น นอกจากหุ้นแล้ว อย่างที่เกริ่นไป ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ ที่อาจให้ผลตอบแทนในลักษณะคล้ายเงินปันผลได้ เช่น กองทุนรวมบางประเภทที่มีนโยบายจ่ายปันผลจากกำไรของกองทุน หรือแม้แต่ประกันออมทรัพย์แบบมีเงินปันผล (ประกันสะสมทรัพย์บางแบบ) ที่บริษัทประกันจะแบ่งกำไรจากการดำเนินงานมาให้ผู้เอาประกันครับ

⚠️ ข้อควรจำสำคัญ: แม้เงินปันผลจะฟังดูดีมากๆ เป็นเหมือนรายได้ที่งอกเงยขึ้นมาเอง แต่ต้องเข้าใจนะครับว่า การจ่ายเงินปันผลนั้น “ไม่รับประกัน” ครับ บริษัทสามารถตัดสินใจลดหรืองดการจ่ายเงินปันผลได้ หากผลประกอบการไม่ดี สภาพคล่องมีปัญหา หรือต้องการเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อ ดังนั้น การเลือกลงทุนในหุ้นปันผล ควรพิจารณาจากพื้นฐานของบริษัท ความมั่นคงของกิจการ และประวัติการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอในอดีตประกอบด้วยครับ อย่าดูแค่ค่า Dividend Yield สูงๆ อย่างเดียว และอย่าลืมว่าราคาหุ้นเองก็ยังมีความผันผวน ซึ่งอาจทำให้เราขาดทุนจากส่วนต่างราคาได้เช่นกันครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ นักลงทุนเข้าใจเรื่อง เงินปันผลคืออะไร ได้ชัดเจนขึ้นนะครับ ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติม หรืออยากให้เล่าเรื่องการเงินเรื่องไหนอีก บอกมาได้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์หน้า สวัสดีครับ!