ช่วงนี้หลายคนคงเห็นตลาดหุ้นบ้านเรามันดูจะ “ย่อ” เอาบ่อยๆ เนอะ บางวันกำลังลงๆ อยู่ดีๆ ก็มีแรงเด้งขึ้นมาซะงั้น เอ๊ะ แล้วไอ้ที่เด้งขึ้นมาเนี่ย มันคืออะไรกันแน่ ใช่สัญญาณว่าตลาดจะกลับตัวแล้วหรือเปล่า หรือมันคือกับดักอะไรบางอย่าง วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง “รีบาวด์” ครับ โดยเฉพาะ รีบาว หุ้น คือ อะไรที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี
ภาษาชาวบ้านง่ายๆ เลยนะครับ คำว่า “รีบาวด์” (Rebound) ในตลาดหุ้นก็คือ อาการที่ราคาหุ้นหรือดัชนีตลาด มัน “ดีดตัว” ขึ้นมา จากที่กำลังไหลลงๆ อยู่ เหมือนลูกบอลที่ตกกระทบพื้นแล้วเด้งขึ้นมานั่นแหละครับ แต่การดีดขึ้นมาครั้งนี้เนี่ย มันไม่ได้แปลว่าจะกลับตัวเป็นขาขึ้นจริงๆ เสมอไปนะจิ บางทีมันก็แค่ “เด้งขึ้นมาชั่วคราว” ก่อนจะลงต่อ หรือที่พวกเทรดเดอร์ชอบเรียกกันว่า “รีบาวด์เพื่อลงต่อ” หรือบางทีก็ใช้คำแรงๆ อย่าง “Dead Cat Bounce” ซึ่งหมายถึงการดีดตัวของหุ้นในแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นการรีบาวด์เพื่อที่จะลงต่อ ฟังดูโหดเนอะ แต่คอนเซ็ปต์มันประมาณนั้นแหละ

แล้วทำไมหุ้นที่กำลังลงๆ อยู่ถึงเด้งขึ้นมาได้ล่ะ? มันมีหลายเหตุผลปนๆ กันไปครับ อย่างแรกเลย บางทีราคาลงมาลึกเกินไปจนเข้าเขต “ขายมากเกินไป” (Oversold) ตามตัวชี้วัดทางเทคนิคอย่าง RSI หรือ Stochastic Fast ก็ทำให้เกิดแรงซื้อสวนขึ้นมาได้ หรือบางทีก็มาจาก “แรงซื้อกลับเพื่อปิดสถานะขายชอร์ต” (Short Covering) คือคนที่ยืมหุ้นมาขายตอนราคาสูงๆ แล้วรอซื้อคืนตอนราคาลง พอราคาลงมาถึงจุดหนึ่ง เค้าก็ต้องรีบซื้อคืนไปคืนเจ้าของหุ้น ทำให้เกิดแรงซื้อดันราคาขึ้นนั่นเองครับ
อีกปัจจัยสำคัญคือข่าวสารและนโยบายต่างๆ อย่างช่วงที่ตลาดโลกไม่ค่อยดี ธนาคารกลางใหญ่ๆ อย่าง “ECB” (ธนาคารกลางยุโรป) หรือ “FOMC” (คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ) มักจะส่งสัญญาณถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หรืออาจจะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ความหวังพวกนี้ก็เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจให้นักลงทุน กล้าที่จะกลับมา “เล่นรอบสั้นๆ” ในตลาด ทำให้เกิดการรีบาวด์ขึ้นมาได้ครับ หรือแม้แต่ราคาน้ำมันดิบอย่าง WTI ที่ปรับตัวขึ้นแรงๆ ก็สามารถหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานให้รีบาวด์ขึ้นมาได้เหมือนกัน

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาก็เห็นภาพ “รีบาวด์เพื่อลงต่อ” บ่อยๆ นะครับ โดยเฉพาะตอนที่การเมืองและเศรษฐกิจยังไม่นิ่ง ดัชนี SET Index มีแนวโน้มอ่อนแอและอาจจะทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง อย่างที่เห็นดัชนีค่อยๆ ไหลลงจาก 1,520 มา 1,500 แล้วไป 1,480 หรือต่ำกว่านั้นอีก หากตลาดอยู่ในช่วง “สายย่อ” คือลงมาปรับฐานบ่อยๆ แบบนี้ นักลงทุนต้องระวังเป็นพิเศษครับ ต้องกล้า “คัตลอส” (Cut Loss) ถ้าเข้าไปรับแล้วผิดทาง และอาจจะต้องปรับสไตล์การลงทุนเป็น “เล่นเร็ว” คือซื้อแล้วถ้าได้กำไรพอใจก็รีบขายออก อย่าถือยาวเกินไปนักครับ
ทีนี้ในฐานะนักลงทุน เราจะรับมือกับอาการ “รีบาวด์” นี้ยังไงดีล่ะ? อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่า “รีบาวด์” กับ “กลับตัว” (Reverse) มันต่างกัน การรีบาวด์คือแค่เด้งขึ้นชั่วคราวในเทรนด์เดิมที่ยังเป็นขาลงอยู่ ส่วนการกลับตัวคือเปลี่ยนเทรนด์จากลงเป็นขึ้นจริงๆ ครับ
มีเครื่องมือช่วยเราดูได้นะ อย่างโปรแกรมสแกนหุ้นต่างๆ เช่น Finansia HERO มีสูตรสแกนที่ชื่อ ‘Dead Cat Bounce’ เลยนะ เอาไว้ช่วยเฝ้าระวังหุ้นที่กำลังรีบาวด์แรงๆ ในแนวโน้มขาลง ซึ่งอาจเป็นจุดที่เข้าแล้วเสี่ยง หรือถ้าเราขายชอร์ตไว้ก็อาจจะต้องระวังแรงเหวี่ยงกลับ ส่วนใครที่อยากหาหุ้นที่กำลังจะเริ่ม “กลับตัว” หรือ “หุ้นต้นเทรนด์” จริงๆ ก็มีโปรแกรมสแกนอย่าง efin StockPickUp ที่เราสามารถใส่เงื่อนไขต่างๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (อย่าง EMAV ต่างๆ) ที่เริ่มเรียงตัวกันในทิศทางขาขึ้น พร้อมกับดูปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย (AvgVal) ประกอบ เพื่อคัดกรองหุ้นที่มีโอกาสเปลี่ยนเทรนด์ครับ
แต่ไม่ว่าจะมีเครื่องมือดีแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การบริหารความเสี่ยง” ครับ เวลาเห็นหุ้นเด้งแรงๆ อย่าเพิ่งกระโจนใส่หมดหน้าตักนะครับ ให้คิดเสมอว่านี่อาจจะเป็นแค่ “รีบาวด์เพื่อลงต่อ” กลยุทธ์ที่ควรใช้คือ
1. **กำหนดจุด Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) เสมอ:** ก่อนซื้อต้องคิดเลยว่าถ้าหุ้นไม่ขึ้นตามที่เราคาด มันลงมาถึงตรงไหนเราจะยอม “คัตลอส” เพื่อหยุดการขาดทุนไว้แค่นั้นครับ อาจจะใช้แนวรับล่าสุด หรือฐานรูปตัว V-shape ในกราฟรายวันเป็นจุดอ้างอิงก็ได้ครับ
2. **แบ่งเงินลงทุนให้พอดีกับความเสี่ยง:** อันนี้สำคัญมากนะครับ อย่าเอาเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นตัวเดียว หรือซื้อเยอะเกินไปจนถ้าราคาลงไปชน Stop Loss แล้วเสียหายหนัก เราควรคำนวณก่อนว่าถ้าเราจะซื้อที่ราคานี้ และตั้ง Stop Loss ที่ราคานั้น แปลว่าถ้าพลาดเราจะขาดทุนกี่บาทต่อหุ้น แล้วเรายอมรับการขาดทุนได้สูงสุดกี่บาทในพอร์ต (เช่น 1% หรือ 2% ของพอร์ต) จากนั้นก็คำนวณย้อนกลับไปว่าควรซื้อหุ้นจำนวนกี่หุ้นถึงจะคุมการขาดทุนไม่ให้เกินที่เรารับได้ครับ
3. **แบ่งขายทำกำไรที่แนวต้านบ้าง:** ถ้าหุ้นที่เราซื้อเกิดรีบาวด์ขึ้นไปจริงๆ แล้วไปเจอ “แนวต้าน” (ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเยอะ) ลองแบ่งขายออกไปบ้างสัก 20% หรือ 30% เพื่อล็อคกำไรไว้ก่อนก็ไม่เสียหายครับ ถ้าหุ้นยังไปต่อได้ค่อยถือส่วนที่เหลือ แต่ถ้ามันรีบาวด์ขึ้นไปชนแนวต้านแล้วย่อลงมา เราก็ยังมีกำไรส่วนหนึ่งติดไม้ติดมือกลับมาครับ
มาทวนศัพท์ที่ควรรู้อีกนิดนะครับ นอกจาก รีบาวด์, Dead Cat Bounce, Reverse แล้ว ก็มีคำว่า “แนวรับ” (Support) กับ “แนวต้าน” (Resistance) ซึ่งก็คือระดับราคาที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นจุดที่น่าจะมีการซื้อเยอะ (แนวรับ) หรือขายเยอะ (แนวต้าน) ส่วน “Overbought” (ซื้อมากเกินไป) กับ “Oversold” (ขายมากเกินไป) ก็บอกสภาวะตลาดที่เราอาจจะต้องระวังการกลับตัวระยะสั้นๆ ครับ ตัวชี้วัดอย่าง SMA หรือ EMAV ก็คือ “เส้นค่าเฉลี่ย” ที่ช่วยให้เรามองเห็นแนวโน้มของราคาได้ง่ายขึ้น
สรุปง่ายๆ คือ “รีบาวด์” ไม่ได้แปลว่าตลาดจะกลับตัวเป็นขาขึ้นเสมอไป โดยเฉพาะในภาวะตลาดขาลงที่เต็มไปด้วยความผันผวน อาการ “รีบาวด์เพื่อลงต่อ” เป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยและเป็นกับดักสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีแผนหรือเข้าซื้อด้วยอารมณ์

หัวใจหลักในการเทรดหรือลงทุนในภาวะตลาดแบบนี้ คือ “การวางแผน” ที่ดี และ “การควบคุมความเสี่ยง” อย่างเข้มงวด ด้วยการใช้เครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ ตั้งจุด Stop Loss ที่ชัดเจน และบริหารขนาดการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ อย่าเพิ่งกระโดดใส่เต็มตัวเวลาเห็นหุ้นเด้งแรงๆ ตรวจสอบให้ดีก่อนนะครับว่ามันเป็นแค่ “ลูกแมวเด้ง” หรือเป็นการ “กลับตัว” ที่แท้จริง
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหากมีข้อสงสัย