
จำได้ไหมครับว่าเมื่อก่อนถ้าอยากจะซื้อขายหุ้น ต้องโทรหาพี่มาร์เก็ตติ้งประจำตัว แจ้งชื่อหุ้น จำนวน ราคา แล้วก็ต้องรอ รอ รอ… บางทีจะได้ซื้อได้ขายทันใจก็ต้องลุ้นกันน่าดูเลย
แต่มาถึงปี พ.ศ. 2568 นี้ โลกการลงทุนเปลี่ยนไปเยอะมาก ชนิดที่ว่าแค่มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว เราก็สามารถเข้าถึงตลาดหุ้นได้ทั่วโลกแล้วครับ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘แอพเทรดหุ้น’ (Stock Trading Application) ที่พัฒนาไปไกลจนมีฟังก์ชันครบครัน ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว จนการเทรดหุ้นออนไลน์กลายเป็นช่องทางหลักสำหรับนักลงทุนไทยไปแล้วครับ ไม่ว่าจะหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวม หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัล ก็เข้าถึงได้ง่ายดายมากๆ ครับ
ทีนี้ หลายคนที่เป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือแม้แต่มือเก๋าก็อาจจะเริ่มงงๆ เพราะมี แอพเทรดหุ้น ออกมาให้เลือกเยอะแยะเต็มไปหมด แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าแอปไหนดี แอปไหนเหมาะกับเรา เหมือนเลือกร้านอาหารแหละครับ ต้องดูหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ดูว่ามีเมนูเยอะหรือเปล่า แต่ต้องดูตั้งแต่ความสะอาด รสชาติ บริการ ไปจนถึงราคาเลย
การเทรดหุ้นออนไลน์ พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อขายหุ้นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านอินเทอร์เน็ตครับ พอเราซื้อหุ้น เราก็เหมือนได้เป็นเจ้าของกิจการนั้นตามสัดส่วนหุ้นที่เราถืออยู่ การจะซื้อขายหุ้นได้เนี่ย เราต้องทำผ่าน ‘บริษัทหลักทรัพย์’ (Securities Company) หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘โบรกเกอร์’ (Broker) ครับ โบรกเกอร์จะเป็นตัวกลางส่งคำสั่งซื้อขายของเราไปที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดูแลเรื่องการชำระเงิน ส่งมอบหุ้น รวมถึงแจ้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เราควรได้รับในฐานะผู้ถือหุ้นด้วย
ผลตอบแทนหลักๆ จากการเทรดหุ้นก็มีสองอย่างครับ อย่างแรกคือ ‘ส่วนต่างกำไร’ (Capital Gain) คือการที่เราซื้อหุ้นมาในราคาถูก แล้วขายไปในราคาที่สูงกว่า ส่วนต่างตรงนั้นก็คือกำไรของเรา อีกอย่างคือ ‘เงินปันผล’ ครับ ถ้าบริษัทที่เราถือหุ้นทำกำไรได้ดี เขาก็อาจจะแบ่งกำไรส่วนหนึ่งมาคืนให้กับผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผล

ความสะดวกสบายที่ได้จาก แอพเทรดหุ้น นี่แหละครับที่ทำให้ชีวิตนักลงทุนง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องโทรหาโบรกเกอร์แล้วครับ อยากซื้ออยากขายตอนไหน ราคาเท่าไหร่ แค่เปิดแอปบนมือถือ หรือเข้าเว็บไซต์ผ่านคอมพิวเตอร์ ก็ทำรายการได้ทันที สะดวกมากๆ ครับ
แต่พอมีตัวเลือกเยอะ การเลือก แอพเทรดหุ้น ที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนและความต้องการของเราก็เลยสำคัญมากๆ ครับ ถ้าเลือกผิด ชีวิตอาจจะยุ่งยาก หรือพลาดโอกาสดีๆ ไปได้เลย มีปัจจัยอะไรที่เราควรพิจารณาบ้าง มาดูกันครับ
ข้อแรกที่สำคัญที่สุด ไม่พูดไม่ได้เลย คือ ‘ความน่าเชื่อถือ’ ครับ เงินในกระเป๋าเราทั้งนั้นนะ ต้องเลือกแอปที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อย่างบ้านเราก็คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ครับ โบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตจะมีรายชื่ออยู่ในเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. (sec.or.th/licensecheck) หรือจะใช้แอป SEC Check First ตรวจสอบก็ได้ครับ หรือโทรไปสอบถามที่เบอร์ 1207 ก็ได้ครับ ถ้าเป็นโบรกเกอร์ต่างประเทศ ก็ต้องตรวจสอบการจดทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินที่น่าเชื่อถือในประเทศนั้นๆ ครับ ความปลอดภัยของเงินลงทุนต้องมาเป็นอันดับแรกจริงๆ
ถัดมาก็เรื่องของ ‘ฟีเจอร์’ หรือความสามารถของแอปนี่แหละครับ ลองนึกภาพว่าเรากำลังจะซื้อขายหุ้น เราก็อยากได้แอปที่ส่งคำสั่งได้เร็วๆ ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน มีข้อมูลข่าวสารและบทวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ให้เราดูประกอบการตัดสินใจ มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ทางเทคนิค อย่าง ‘กราฟ’ หรือ ‘อินดิเคเตอร์’ ต่างๆ ให้เราใช้ดูแนวโน้มราคาหุ้น หรือบางคนอาจจะชอบระบบที่ตั้งซื้อขายอัตโนมัติได้ หรือที่เรียกกันว่า ‘ระบบ Auto Trade’ ไว้ช่วยตั้งราคาซื้อขายตามเงื่อนไขที่เรากำหนดไว้ อันนี้ก็สะดวกดีครับ
นอกจากฟีเจอร์แล้ว ‘ความเสถียรและความปลอดภัย’ ก็สำคัญไม่แพ้กันครับ แอปค้างตอนจะส่งคำสั่งซื้อขายในจังหวะสำคัญนี่หัวใจจะวายนะครับ แอปที่ดีควรส่งคำสั่งได้รวดเร็ว ไม่ค้างหรือผิดพลาดบ่อยๆ อัตราการหยุดทำงาน (Downtime) ควรจะต่ำ สามารถตรวจสอบจากรีวิวของผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้ครับ ส่วนเรื่องความปลอดภัย ระบบของแอปควรมีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่แข็งแกร่ง มีการเข้ารหัสข้อมูล มีการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกง รวมถึงมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนครับ
‘ความหลากหลายของสินทรัพย์’ ที่ลงทุนได้ก็เป็นอีกข้อที่ควรดูครับ บางคนอาจจะอยากเทรดแค่หุ้นไทย แต่อนาคตอาจจะสนใจ ‘หุ้นต่างประเทศ’ (Foreign Stock), ‘กองทุนรวม’ (Mutual Fund), ‘ตราสารหนี้’ (Debt Instrument), หรือแม้แต่ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ (Digital Asset) การเลือก แอพเทรดหุ้น ที่รองรับสินทรัพย์หลากหลายประเภทไว้ในแอปเดียว ก็ช่วยให้เรากระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุนได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องเปิดหลายบัญชีให้วุ่นวายครับ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ‘ค่าธรรมเนียม‘ ครับ แม้จะดูเล็กน้อย แต่ถ้าเทรดบ่อยๆ ค่าธรรมเนียม ‘โบรกเกอร์’ นี่แหละครับ ตัวแปรสำคัญที่กัดกินกำไรเราได้ ควรพิจารณาค่าธรรมเนียมบริษัทหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการซื้อขายแต่ละครั้ง รวมถึงค่าธรรมเนียมการถอนเงินด้วยครับ บางทีค่าธรรมเนียมที่ดูเหมือนถูก อาจจะมีค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ครับ
ทีนี้ มาดูกันว่ามี ‘แอพเทรดหุ้น’ ยอดนิยมตัวไหนน่าสนใจบ้างในตลาดไทยปี 2568 นี้ จากข้อมูลที่เราได้มา มีหลายแอปที่โดดเด่นและมีฐานผู้ใช้งานเยอะครับ
เริ่มต้นที่แอปที่คุ้นเคยกันดีอย่าง ‘Streaming’ ครับ แอปนี้พัฒนาโดยบริษัทลูกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นเหมือนแอปมาตรฐานที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในไทยใช้ซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์ จุดเด่นคือข้อมูลเรียลไทม์ ฟังก์ชันหลากหลายมาก ทั้งดูกราฟ ตั้งแจ้งเตือน ตั้งคำสั่ง DCA (Dollar Cost Averaging) ตั้งเวลาซื้อขายอัตโนมัติ มีข่าวสาร บทวิเคราะห์ให้อ่าน และระบบค่อนข้างเสถียรครับ ล็อกอินด้วยลายนิ้วมือได้สะดวก เหมาะกับทั้งนักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพที่เน้นความครบครันในการเทรดตลาดหุ้นไทยครับ ข้อจำกัดอาจจะมีเรื่องค่าธรรมเนียมที่อาจจะสูงกว่าบางแอป และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลบางตลาดครับ
อีกแอปที่มีฟีเจอร์วิเคราะห์น่าสนใจคือ ‘efin Trade Plus’ ครับ แอปนี้ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์การลงทุนได้ด้วยครับ จุดเด่นคือมีฟังก์ชัน Learning History ที่ AI จะช่วยวิเคราะห์จุดอ่อนในการเทรดของเราได้ มีระบบ Auto Trade ที่หลากหลาย แสดงข้อมูลพอร์ตลงทุนได้ละเอียดมาก มีแจ้งเตือนกิจกรรมซื้อขาย กราฟเทคนิค งบการเงินบริษัท ข่าวจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย และระบบก็เสถียรดีครับ อาจจะมีบางฟังก์ชันที่ซับซ้อนนิดหน่อยสำหรับมือใหม่ และค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปตามแพ็กเกจที่เลือก เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับที่ต้องการเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกครับ

ถ้าพูดถึงเรื่องการลดต้นทุน ‘Liberator’ น่าจะโดนใจหลายคนครับ แอปนี้มาจากบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด มีนโยบายเด่นคือ ‘ค่าคอมมิชชั่น 0%’ สำหรับการซื้อขายหุ้นไทยครับ คือเราจ่ายแค่ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ฯ และภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้นักลงทุนได้มากเลยครับ นอกจากนี้ยังมี AI ช่วยคัดกรองหุ้นที่น่าสนใจ มีกราฟวิเคราะห์แนวโน้ม มีเครื่องมือวิเคราะห์ให้ใช้ฟรีในอนาคตก็มีแผนจะมีบัญชีมาร์จิ้นและให้จองซื้อหุ้น IPO ได้ด้วยครับ สามารถทดลองเทรดก่อนได้ และตั้ง Stop Order ล่วงหน้าได้ด้วยครับ เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นการลดค่าธรรมเนียมมากๆ ครับ
สำหรับคนที่สนใจตลาดต่างประเทศตั้งแต่แรก ‘Dime!’ แอปจากบริษัทหลักทรัพย์ KKP Dime ภายใต้กลุ่มเกียรตินาคินภัทร เดิมทีโดดเด่นเรื่องให้ ‘ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ’ ได้ง่ายๆ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 50 บาท และค่าธรรมเนียมต่ำมากครับ อินเทอร์เฟซของแอปใช้งานง่าย ทันสมัย สามารถซื้อหุ้นสหรัฐฯ ได้ด้วยเงินบาทโดยไม่ต้องแลกเงินให้ยุ่งยาก ตั้งเวลาลงทุนแบบ DCA ได้ ซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ทั้งในและนอกเวลาทำการตลาดด้วย ล่าสุดก็เปิดให้ซื้อขาย ‘หุ้นไทย’ ได้แล้วครับ อาจจะยังมีข้อจำกัดที่เดิมเน้นตลาดสหรัฐฯ ทำให้ตัวเลือกหุ้นไทยอาจจะยังไม่ครอบคลุมเท่าแอปอื่นที่เน้นตลาดไทยโดยตรง และเป็นแอปใหม่ ฟีเจอร์บางอย่างอาจจะยังไม่เทียบเท่าแอปที่อยู่ในตลาดมานาน เหมาะกับผู้เริ่มต้นลงทุนที่สนใจตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ ครับ
‘Finansia HERO’ เป็นอีกแอปที่มีจุดเด่นที่ฟีเจอร์ ‘Social Trading’ ครับ คือเราสามารถเข้าไปดู ติดตาม และเรียนรู้กลยุทธ์การเทรดของนักลงทุนมืออาชีพคนอื่นๆ ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่มากๆ ครับ แอปดีไซน์เรียบง่าย ใช้งานง่าย มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลากหลายรูปแบบ อัปเดตข่าวสาร บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสม่ำเสมอครับ ข้อจำกัดอาจจะมีเรื่องค่าธรรมเนียมแฝงบางอย่าง เช่น ค่าถอนเงิน หรือค่าธรรมเนียมใช้ฟีเจอร์บางตัว และระบบอาจจะไม่เสถียรบ้างในบางครั้งครับ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเครื่องมือวิเคราะห์หลากหลาย อยากได้ข้อมูลเชิงลึก และสนใจเรียนรู้จากนักลงทุนคนอื่นๆ ครับ
มาถึงแอปที่เรียกว่าเป็น ‘ซูเปอร์แอป’ การลงทุนอย่าง ‘InnovestX’ ครับ แอปนี้มาจากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (ชื่อเดิมคือ SCBS) รวมสินทรัพย์หลากหลายไว้ในแอปเดียวอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ ‘หุ้นไทย’ หรือ ‘หุ้นต่างประเทศ’ (รองรับถึง 31 ตลาดทั่วโลก) แต่ยังมี ‘กองทุนรวม’ กว่า 2,000 กองจาก 21 บลจ., กองทุนต่างประเทศ, ‘ตราสารหนี้’, และ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ อย่างบิตคอยน์ อีเธอเรียม ด้วยครับ จุดเด่นคือการลงทุนที่ครบวงจรในแอปเดียว เปิดบัญชีครั้งเดียวลงทุนได้ทุกอย่าง เชื่อมกับ SCB Easy ได้ มีฟังก์ชัน ‘Intelligent Portfolios’ ช่วยบริหารพอร์ตอัตโนมัติเหมือนมีผู้เชี่ยวชาญส่วนตัว มีข้อมูลเรียลไทม์ (อาจมีค่าบริการสำหรับข้อมูล Nasdaq) มีเครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ เช่น กราฟจาก TradingView ฟังก์ชันตั้งคำสั่งแบบมีเงื่อนไข (Conditional Order) สำหรับหุ้นสหรัฐฯ ฮ่องกง เพื่อล็อกกำไร-ตัดขาดทุนอัตโนมัติ แจ้งเตือนราคา วิเคราะห์พอร์ตลงทุนหลายมิติ แลกเงินข้ามสกุลเงินได้ทันที และใช้ Point แลกค่าธรรมเนียมได้ด้วยครับ ระบบความปลอดภัยระดับโลก ข้อจำกัดคืออาจมีค่าบริการสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ในบางตลาด เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับที่ต้องการแพลตฟอร์มการลงทุนที่ครบวงจรในทุกสินทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศครับ
นอกจากนี้ยังมี ‘แอพเทรดหุ้น’ หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก เช่น ‘Mitrade’ ที่เป็นโบรกเกอร์ CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) ใช้งานง่ายสำหรับมือใหม่ รองรับ CFD หลากหลายสินทรัพย์ เช่น ฟอเร็กซ์ ทองคำ หุ้นสหรัฐฯ ดัชนี ค่าธรรมเนียมต่ำ แต่ไม่รองรับแพลตฟอร์ม MT4/MT5 ครับ เหมาะกับมือใหม่ที่สนใจเทรด CFD ส่วน ‘Interactive Broker’ เป็นโบรกเกอร์ที่เข้าถึงตลาดทั่วโลกได้เยอะมากๆ กว่า 150 แห่ง ค่าคอมมิชชั่นต่ำ แต่ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับมือใหม่ เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ครับ และ ‘Webull’ เป็นแพลตฟอร์มระดับโลกที่เน้นเทคโนโลยีการเงิน มีข้อมูลเรียลไทม์ กราฟ ข่าว เครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึก ซื้อขายได้เกือบ 24 ชั่วโมง ปรับแต่งหน้าจอได้ สินทรัพย์หลากหลาย เน้นที่หุ้นสหรัฐฯ ครับ
นอกเหนือจาก ‘แอพเทรดหุ้น’ โดยตรง ยังมีแอปดีๆ ที่ช่วยเสริมการลงทุนของเราได้ด้วยครับ อย่าง ‘Streaming Click2Win’ ที่ให้เราลองเทรดหุ้นจำลองก่อนลงสนามจริง เหมาะมากๆ สำหรับมือใหม่ที่อยากฝึกฝนการส่งคำสั่งซื้อขายก่อนใช้เงินจริง เข้าถึงได้สะดวกผ่าน Facebook, Line, Gmail ครับ หรือ ‘SET App’ และ ‘Settrade App’ ที่เป็นคลังข้อมูลความรู้จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ติดตามข้อมูลซื้อขายหลักทรัพย์ อนุพันธ์ กองทุน ข่าวสาร บทความ เครื่องมือศึกษา วิเคราะห์ และเตรียมพร้อมลงทุนได้ครบวงจรครับ และยังมี ‘Happy Money App’ ที่ช่วยบริหารจัดการเงินส่วนตัว สร้างเงินออม บันทึกรายรับ-จ่าย วิเคราะห์สุขภาพการเงิน และให้คำแนะนำวางแผนด้านต่างๆ ซึ่งสำคัญมากๆ สำหรับนักลงทุนทุกคนครับ เพราะการบริหารเงินที่ดีคือพื้นฐานของการลงทุนที่สำเร็จครับ
สรุปแล้ว ‘แอพเทรดหุ้น’ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้นักลงทุนไทยเข้าถึงโอกาสในตลาดทุนได้ง่ายกว่าเดิมมากๆ ครับในปี 2568 นี้ มีหลากหลายแอปให้เลือกใช้ตามความต้องการและสไตล์การลงทุนของเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกแอปที่ ‘น่าเชื่อถือ’ ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจาก ก.ล.ต. หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ มี ‘ฟีเจอร์’ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของเรา มี ‘ความเสถียรและความปลอดภัย’ สูง และมี ‘ค่าธรรมเนียม‘ ที่สมเหตุสมผล
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนคือ ลองเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่สนใจหลายๆ ที่ (บางโบรกเกอร์ให้เปิดบัญชีออนไลน์ได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีขั้นต่ำ) ศึกษาข้อมูลแต่ละแอปให้ดีก่อนตัดสินใจ ดูว่าฟีเจอร์ไหนที่เราจำเป็นจริงๆ ค่าธรรมเนียมเป็นยังไง และที่สำคัญสุดคือ ‘ความปลอดภัย’ ครับ อย่าลืมตรวจสอบใบอนุญาตกับ ก.ล.ต. เสมอ ถ้ายังไม่มั่นใจ ลองใช้แอปเทรดหุ้นจำลองอย่าง Streaming Click2Win ฝึกฝนก่อนก็ได้ครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การเข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือที่ดีก็ช่วยลดความเสี่ยงลงได้ครับ เลือก ‘แอพเทรดหุ้น’ ที่ใช่ แล้วเริ่มต้นเส้นทางการลงทุนในแบบของคุณได้เลยครับ!
⚠️ การลงทุนในหลักทรัพย์มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน