เคยไหมครับที่ให้ใครยืมเงินไปแล้วถึงเวลาก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ เมื่อเห็นลูกหนี้ของเราไปจ่ายหนี้คนอื่นก่อน หรือบางทีทรัพย์สินของลูกหนี้ก็ถูกแบ่งสันปันส่วนไปให้เจ้าหนี้คนโน้นคนนี้จนเราแทบไม่ได้อะไรเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยในโลกของการเงินและหนี้สิน ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคลหรือระดับธุรกิจ และหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่กำหนดว่าใครจะได้เงินก่อนหรือหลังในกองหนี้กองเดียวกันเนี่ย มันมีชื่อเรียกทางกฎหมายว่า “**บุริมสิทธิ**” ครับ
ถ้าจะให้เปรียบง่ายๆ “**บุริมสิทธิ คือ**” สิทธิพิเศษที่กฎหมายใจดีมอบให้เจ้าหนี้บางคน ให้ได้เข้าคิวรับชำระหนี้เป็นแถวแรกๆ เลย ไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ รวมกับเจ้าหนี้ธรรมดาๆ ทั่วไป เหตุผลที่กฎหมายต้องมีสิทธิแบบนี้ก็เพราะบางครั้งหนี้บางประเภท หรือเจ้าหนี้บางกลุ่มเนี่ย เขาสมควรได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษในสังคม เช่น หนี้ค่าแรงงานของลูกจ้างที่ทำงานให้เรา หรือหนี้ภาษีอากรที่เราต้องจ่ายให้รัฐ หรือแม้แต่หนี้ค่ารักษาพยาบาลที่จำเป็นมากๆ กฎหมายมองว่าหนี้พวกนี้สำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน หรือสำคัญกับระบบโดยรวม เลยต้องมีกลไกพิเศษมารองรับ

ทีนี้ไอ้เจ้า **บุริมสิทธิ คือ** อะไรที่ซับซ้อนนิดหน่อยตรงที่มันไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว และการใช้งานก็มีเงื่อนไขต่างกันไปครับ โดยหลักๆ แล้วบุริมสิทธิเนี่ยมันเป็นสิทธิที่เกิดขึ้น *ตามกฎหมาย* ทันทีที่เกิดหนี้บางประเภท ไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องจดทะเบียนอะไรให้วุ่นวาย *ในบางกรณี* นะครับ และมันก็ใช้ได้กับทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้เลยก็ได้ (อันนี้เรียก **บุริมสิทธิทั่วไป**) หรือจะเจาะจงแค่ทรัพย์สินบางอย่างของลูกหนี้ก็ได้ (อันนี้เรียก **บุริมสิทธิพิเศษ**)
ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าลูกหนี้คนหนึ่งมีหนี้เต็มไปหมด ทั้งหนี้บัตรเครดิต (อันนี้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้สามัญ) หนี้ค่าจ้างพนักงาน หนี้ค่าภาษี และหนี้ซื้อบ้านที่ติดจำนองไว้ แล้วเกิดวันดีคืนดีลูกหนี้ไม่มีเงินจ่ายหนี้แล้วต้องมีการขายทรัพย์สินเพื่อมาใช้หนี้ ใครจะได้เงินก่อน? เจ้าหนี้ที่มี **บุริมสิทธิ คือ** คนที่จะได้เงินก่อนเจ้าหนี้บัตรเครดิตธรรมดาๆ แน่นอนครับ ส่วนเจ้าหนี้ที่มีบุริมสิทธิด้วยกันเอง หรือเจ้าหนี้จำนองเนี่ย ใครจะได้ก่อนได้หลังอีกที อันนี้แหละคือเรื่องที่ต้องมาดูรายละเอียดของกฎหมายและประเภทของบุริมสิทธิกัน

**บุริมสิทธิทั่วไป** ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๕๓ เนี่ย จะใช้ได้กับทรัพย์สิน *ทั้งหมด* ของลูกหนี้เลยครับ เช่น หนี้ค่าจ้างแรงงาน (อันนี้สำคัญมาก กฎหมายคุ้มครองลูกจ้าง), หนี้ค่าภาษีอากรต่างๆ, หนี้ค่ารักษาพยาบาล, หนี้ค่าปลงศพ หรือหนี้ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน พวกนี้กฎหมายถือว่าสำคัญ เลยให้บุริมสิทธิครอบคลุมทรัพย์สินทุกอย่างที่ลูกหนี้มีอยู่
ส่วน **บุริมสิทธิพิเศษ** ตามมาตรา ๒๗๓ เป็นต้นไป จะเจาะจงลงไปที่ทรัพย์สิน *บางอย่าง* เท่านั้นครับ เช่น หนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาอสังหาริมทรัพย์ (สมมติซ่อมแซมบ้าน), หนี้ค่าจ้างทำของที่ทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์ (เช่น ค่าก่อสร้างบ้านบนที่ดินแปลงนี้) หรือหนี้ค่าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ยังค้างชำระอยู่ (อันนี้สำคัญมาก เดี๋ยวจะเล่าต่อ) บุริมสิทธิประเภทนี้จะใช้ได้กับทรัพย์สินชิ้นนั้นๆ โดยเฉพาะ ไม่ได้ลามไปถึงทรัพย์สินอื่นๆ ของลูกหนี้
ทีนี้มาถึงจุดที่สำคัญมากๆ และเป็นเรื่องที่คนมักสับสน โดยเฉพาะกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์อย่างที่ดินหรือบ้านครับ อย่างที่บอกไปว่าบุริมสิทธิส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามกฎหมายโดยไม่ต้องจดทะเบียน แต่ **บุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์** นี่แหละครับที่มีความพิเศษ!
ทำไมถึงพิเศษ? ก็เพราะกฎหมายบอกไว้ว่า ถ้าบุริมสิทธิของคุณเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เนี่ย ถ้าคุณอยากจะใช้สิทธิพิเศษนี้ “ยันบุคคลภายนอกได้” หรือพูดง่ายๆ ให้คนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องหนี้ของคุณรู้ด้วย และยอมรับว่าคุณมีสิทธิพิเศษเหนือทรัพย์สินชิ้นนี้จริงๆ คุณ **ต้องนำไปจดทะเบียน** ครับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘๙ และมาตรา ๓๐๕ นี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญมากๆ
ลองคิดดูนะครับ ถ้าเจ้าของที่ดินไปกู้เงินจากธนาคารแล้วจดจำนองที่ดินไว้ แล้วเจ้าของที่ดินคนเดียวกันก็ไปจ้างผู้รับเหมามาสร้างบ้านบนที่ดินแปลงนี้ แล้วยังไม่ได้จ่ายค่าสร้างบ้าน ถ้าค่าสร้างบ้านนี้เป็นหนี้ที่มี **บุริมสิทธิ คือ** บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ แต่ผู้รับเหมาไม่ได้เอาบุริมสิทธินี้ไปจดทะเบียนที่กรมที่ดิน คนอื่นเช่นธนาคารที่รับจำนอง หรือคนที่อาจจะมาซื้อที่ดินต่อจากเจ้าของ ก็อาจจะไม่รู้เรื่องบุริมสิทธิค่าก่อสร้างนี้เลย พอถึงเวลาต้องบังคับคดีขายที่ดิน ธนาคารผู้รับจำนองซึ่งได้จดทะเบียนสิทธิของตัวเองไว้แล้ว ก็มักจะได้เปรียบในลำดับการชำระหนี้ครับ

แต่มีข้อยกเว้นที่น่าสนใจมากๆ นะครับ สำหรับบุริมสิทธิในมูลหนี้ *ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์* ที่ยังค้างชำระราคาอยู่ ถ้าเจ้าหนี้ (ผู้ขาย) นำบุริมสิทธินี้ไปจดทะเบียนไว้ กฎหมายบางมาตรา (เช่น มาตรา ๒๘๗, ๒๘๘) บอกว่าบุริมสิทธิที่จดทะเบียนนี้ **อาจมีผลให้ได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้จำนอง** เสียอีกครับ อันนี้เป็นจุดที่ซับซ้อนและต้องตีความตามกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นกรณีๆ ไป แต่มันแสดงให้เห็นว่าการจดทะเบียนบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์นั้นมีผลอย่างยิ่งต่อลำดับการชำระหนี้ และสำคัญต่อทั้งผู้ให้กู้ (ธนาคาร, สถาบันการเงิน) และนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากๆ
แล้วถ้าเป็นค่าจ้างทำของ เช่น ค่าก่อสร้างบ้านล่ะ? **บุริมสิทธิ คือ** สิทธิที่เกิดขึ้นตามกฎหมายแล้ว แต่ถ้าจะใช้ยันบุคคลภายนอกเหนืออสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องจดทะเบียนครับ และข่าวดีคือแม้แต่งานยังไม่เริ่ม ก็สามารถขอจดทะเบียนบุริมสิทธิในมูลจ้างทำของนั้นได้แล้ว เพื่อให้สิทธิพิเศษนี้ปรากฏในทางทะเบียนตั้งแต่เนิ่นๆ ป้องกันปัญหาในภายหลัง ส่วนการจะเลิกหรือปลอดบุริมสิทธิที่จดทะเบียนไว้ ก็สามารถทำได้ตามตกลงกันแล้วนำไปจดทะเบียนเช่นกันครับ เหมือนการปลดจำนองนั่นแหละ
เรื่องของ **บุริมสิทธิ คือ** อะไรที่ไม่ได้อยู่ในตำราเรียนเฉยๆ แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศเลยนะครับ สำหรับสถาบันการเงินหรือผู้ที่ให้สินเชื่อ การเข้าใจเรื่องบุริมสิทธิอย่างถ่องแท้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการ **ประเมินความเสี่ยงสินเชื่อ** ก่อนจะให้ใครกู้เงิน ต้องดูให้ดีว่าลูกหนี้มีหนี้ประเภทไหนที่มีบุริมสิทธิอยู่ก่อนแล้วบ้างไหม โดยเฉพาะบุริมสิทธิที่ติดอยู่กับทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกัน (เช่น ที่ดินติดจำนอง) เพราะถ้ามีบุริมสิทธิที่ได้รับชำระก่อนจำนอง ธนาคารก็อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับชำระหนี้คืนไม่เต็มจำนวน หรือได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ทำให้ต้องมีการบริหารจัดการหนี้และทรัพย์สินที่รัดกุมมากขึ้น
ในทางกลับกัน สำหรับเจ้าหนี้ที่มีบุริมสิทธิ เช่น พนักงานที่ยังไม่ได้ค่าแรง ผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือรัฐที่เก็บภาษี **บุริมสิทธิ คือ** เกราะป้องกันทางกฎหมายที่ทำให้พวกเขามีโอกาสได้รับชำระหนี้คืนสูงกว่าเจ้าหนี้ทั่วไป และมีสิทธิพิเศษในการบังคับคดีเหนือทรัพย์สินบางอย่างของลูกหนี้
กฎหมายหลักๆ ที่ควบคุมเรื่อง **บุริมสิทธิ คือ** ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในบรรพ ๒ ลักษณะ ๔ มาตรา ๒๕๑ ถึง ๒๘๙ ครับ นี่คือแก่นหลักที่ต้องศึกษา แต่แน่นอนว่ากฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร บางครั้งการตีความหรือการนำไปใช้ในสถานการณ์จริงก็มีแง่มุมที่ต้องพิจารณา คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผ่านมาจึงเป็นเหมือน “คู่มือปฏิบัติ” ที่สำคัญมากๆ ครับ
ยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1532/2552 ที่ยืนยันหลักการเรื่องการจัดลำดับการชำระหนี้ว่าต้องพิจารณาความสอดคล้องของกฎหมายแต่ละมาตรา หรือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8650/2560 ที่ตอกย้ำว่าเจ้าหนี้บุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์มีสิทธิบังคับคดีเพื่อรับชำระหนี้ของตนเองก่อนได้ หรือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 378/2559 ที่ชี้ให้เห็นว่าการบังคับคดีของเจ้าหนี้รายหนึ่ง ไม่ควรไปกระทบกระเทือนบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นของบุคคลภายนอกที่เขามีอยู่ก่อนแล้ว คำพิพากษาเหล่านี้ช่วยให้ภาพการนำบุริมสิทธิไปใช้ในทางปฏิบัติชัดเจนขึ้นครับ
สรุปแล้ว **บุริมสิทธิ คือ** กลไกทางกฎหมายที่ซับซ้อนแต่สำคัญอย่างยิ่งในโลกการเงินและหนี้สิน มันไม่ใช่แค่เรื่องของนักกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืม การกู้ยืม การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่การเป็นลูกจ้าง ควรทำความเข้าใจไว้บ้าง
สำหรับคนที่เป็นเจ้าหนี้ (ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน หรือแค่เพื่อนยืมเงิน) การรู้ว่าหนี้ที่เรามีนั้นมีบุริมสิทธิหรือไม่ และบุริมสินนั้นมีผลกับทรัพย์สินอะไรบ้าง จะช่วยให้เราประเมินความเสี่ยงในการเรียกคืนหนี้ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ อย่าลืมตรวจสอบและพิจารณาเรื่อง **การจดทะเบียนบุริมสิทธิ** ให้ดีนะครับ มันคือการติดป้ายประกาศสิทธิพิเศษของเราให้คนอื่นรับรู้ ป้องกันปัญหาในภายหลังได้มหาศาล
ส่วนคนที่เป็นลูกหนี้ การเข้าใจเรื่อง **บุริมสิทธิ คือ** อะไร ก็ช่วยให้เราบริหารจัดการหนี้สินได้ถูกต้อง รู้ว่าหนี้ก้อนไหนมีความสำคัญเป็นพิเศษที่เราควรจัดสรรเงินไปชำระก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจตามมา
โลกการเงินเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อน **บุริมสิทธิ คือ** หนึ่งในนั้นที่เรามองข้ามไม่ได้ การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยให้เราวางแผนทางการเงินได้รอบคอบขึ้น ลดความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด และปกป้องสิทธิของตัวเองได้ดียิ่งขึ้นครับ
⚠️ การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินและทรัพย์สินมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเรื่องบุริมสิทธิที่ซับซ้อนและต้องตีความตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเฉพาะกรณีเสมอ บทความนี้ให้ข้อมูลในภาพรวมเท่านั้น หากมีกรณีเฉพาะเจาะจง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหรือการเงินที่มีใบอนุญาตก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ เสมอครับ