หุ้นการไฟฟ้าฯ กับอนาคตพลังงานไทย: โอกาสและความท้าทายที่นักลงทุนต้องรู้!

เคยไหมครับ? เช้าวันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมา กดสวิตช์ปุ๊บ ไฟก็สว่างปั๊บ หรือเปิดแอร์เย็นฉ่ำในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว… เคยสงสัยไหมครับว่าเบื้องหลังความสะดวกสบายพวกนี้คืออะไร? ใครกันที่เป็นหัวใจหลักในการส่งพลังงานมาให้เราใช้กันทุกวัน?

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องชีวิตประจำวันนะครับ แต่เชื่อมโยงไปถึงโลกของการเงิน การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย โดยเฉพาะกับ “หุ้นโรงไฟฟ้า” ที่นักลงทุนหลายคนมองว่าเป็น “หุ้นปลอดภัย” หรือ Defensive Stock เลยทีเดียว และเมื่อพูดถึงพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย เราจะมองข้ามผู้เล่นคนสำคัญที่สุดไปไม่ได้ นั่นก็คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม “กฟผ.”

**กฟผ. คือใคร? สำคัญแค่ไหนในระบบไฟฟ้าไทย?**

ถ้าให้เปรียบ กฟผ. ก็เหมือนกับพี่ใหญ่ใจดีในวงการพลังงานของบ้านเราครับ เป็นรัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง พูดง่ายๆ คือเป็นแขนขาของภาครัฐในการดูแลเรื่องไฟฟ้าทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การจัดหา ไปจนถึงการส่งไฟฟ้าให้ถึงมือเรา

หลายคนอาจจะเข้าใจว่า กฟผ. แค่ผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วบทบาทของ กฟผ. กว้างขวางกว่านั้นมากครับ นอกจากโรงไฟฟ้าของตัวเองที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 54 แห่ง มีกำลังผลิตรวมมหาศาลถึง 16,261.02 เมกะวัตต์ โดยใช้เชื้อเพลิงหลากหลายประเภท ทั้งพลังความร้อน พลังความร้อนร่วม พลังน้ำ หรือแม้แต่พลังงานสะอาดอย่างลมและแสงอาทิตย์ กฟผ. ยังทำหน้าที่ “รับซื้อ” ไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ด้วยนะ ทั้งผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) 13 ราย ซึ่งมีกำลังผลิตรวมกันถึง 19,598.50 เมกะวัตต์ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ที่มีกำลังผลิต 9,319.88 เมกะวัตต์ และที่น่าสนใจคือยังรับซื้อจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว และมาเลเซีย ด้วย กำลังผลิตรวมๆ แล้วก็เกือบ 6,234.90 เมกะวัตต์ ลองคิดดูสิครับว่าปริมาณไฟฟ้ารวมๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในระบบมันเยอะขนาดไหน!

หลังจากได้ไฟฟ้ามาแล้ว ไม่ว่าจะผลิตเองหรือรับซื้อมา กฟผ. ก็มีหน้าที่ “ส่ง” ไฟฟ้าผ่านโครงข่ายสายส่งแรงดันสูงที่เหมือนถนนหลวงสำหรับไฟฟ้า ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อกระจายต่อไปให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่เป็นคนขายไฟให้เราตามบ้าน หรือขายตรงให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ รวมถึงส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านบางส่วนด้วย

**กฟผ. ไม่ได้มีแค่โรงไฟฟ้า แต่มี “ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง” ด้วยนะ (ตามแผนปี 2567)**

ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกว่า 50 ปี กฟผ. ก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่ธุรกิจไฟฟ้าหลักๆ ครับ ตอนนี้เขามีการขยายธุรกิจเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ที่น่าสนใจ

1. **กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าและระบบส่ง:** อันนี้คือการเอาความเชี่ยวชาญดั้งเดิมมาต่อยอดครับ รับงานวิศวกรรมและก่อสร้างโรงไฟฟ้าและระบบส่ง รับงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าให้คนอื่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว หรือโรงไฟฟ้าในเวียดนาม) รวมถึงงานดูแลระบบส่งด้วย พูดง่ายๆ คือใครอยากสร้างโรงไฟฟ้า อยากซ่อมบำรุงระบบส่ง ก็มาปรึกษา กฟผ. ได้เลย เขายังมีความเชี่ยวชาญเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) การเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ต่างๆ อีกด้วย
2. **กลุ่มธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน:** อันนี้ดูทันสมัยหน่อยครับ เน้นเรื่องนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่น การนำวัตถุพลอยได้จากการผลิตไฟฟ้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ การพัฒนาโซลูชันพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจร หรือแม้แต่โซลูชันเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง อันนี้แสดงให้เห็นว่า กฟผ. ก็มองไปข้างหน้าในเรื่องพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีใหม่ๆ เหมือนกัน

**แล้ว “หุ้นโรงไฟฟ้า” ในตลาดหลักทรัพย์ฯ คืออะไร? เกี่ยวกับ กฟผ. ยังไง?**

ทีนี้มาดูในมุมนักลงทุนกันบ้างครับ “หุ้นโรงไฟฟ้า” เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมในตลาดหุ้นไทยมาตลอด มีจุดเด่นที่หลายคนชอบคือ “ความมั่นคง” ครับ เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศมันมีอยู่เรื่อยๆ ตราบใดที่เศรษฐกิจยังขับเคลื่อน และผลการดำเนินงานของบริษัทโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ความผันผวนไม่สูงเท่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ทำให้ถูกจัดว่าเป็น “หุ้นปลอดภัย” หรือ Defensive Stock เหมาะกับคนที่มองหาความสม่ำเสมอและเงินปันผลดีๆ มากกว่าจะหวังการเติบโตแบบก้าวกระโดด

หุ้นโรงไฟฟ้าในตลาดฯ ก็มีหลายแบบนะครับ แบ่งตามประเภทเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตหลักๆ ได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ครับ

1. **โรงไฟฟ้าพลังงานจากฟอสซิล (Conventional Energy):** กลุ่มนี้ใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน น้ำมันเตา ซึ่งข้อดีคือมีความเสถียรสูง ผลิตไฟได้ปริมาณมากเป็นพลังงานหลักของประเทศเลย แต่ข้อเสียคือใช้ทรัพยากรที่หมดไป และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น ปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มนี้ก็อย่างเช่น GULF, EGCO, RATCH, GPSC, BGRIM, BPP, SCG (อันนี้แค่ยกตัวอย่างนะครับ ไม่ได้แนะนำให้ซื้อตัวไหนเป็นพิเศษนะ!)
2. **โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy):** กลุ่มนี้มาแรงในช่วงหลังครับ เพราะกระแสโลกเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Net Zero Emissions) เป็นพลังงานสะอาดที่ใช้แล้วหมุนเวียนได้ เช่น แสงอาทิตย์ ลม น้ำ ชีวมวล ขยะ ความร้อนใต้พิภพ ข้อดีคือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ข้อจำกัดคือความเสถียรอาจจะไม่สูงเท่าพลังงานฟอสซิล (ลมไม่พัด แดดไม่ออก ฝนไม่ตก ก็ผลิตได้น้อยลง) และขนาดกำลังผลิตมักจะเล็กกว่า ตัวอย่างหุ้นกลุ่มนี้มีเยอะมากครับ เช่น EA, BCPG, SSP, ACE, SUPER, TSE, TPIPP, CKP เป็นต้น

**จะวิเคราะห์ “หุ้นโรงไฟฟ้า” ต้องดูอะไรบ้าง?**

ถ้าคุณสนใจหุ้นกลุ่มนี้ ลองพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ดูนะครับ

1. **แนวโน้มอุตสาหกรรม:** ดูภาพใหญ่ก่อนเลยครับว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศเป็นยังไง? มันก็สัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจนั่นแหละครับ ถ้าเศรษฐกิจดี คนใช้ไฟเยอะ บริษัทโรงไฟฟ้าก็มีแนวโน้มรายได้ดีตามไปด้วย อีกปัจจัยสำคัญคือ “นโยบายภาครัฐ” ครับ อย่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) หรือแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) พวกนี้เหมือนแผนที่วางไว้ว่าในอนาคตประเทศจะใช้พลังงานแบบไหน สัดส่วนเท่าไหร่ ใครจะได้สร้างโรงไฟฟ้าแบบไหนบ้าง อันนี้สำคัญมากครับ
2. **สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA):** นี่คือเส้นเลือดใหญ่ของบริษัทโรงไฟฟ้าเลยครับ รายได้หลักๆ ของพวกเขามาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานรัฐอย่าง กฟผ., กฟน., กฟภ. นี่แหละ ความมั่นคงของรายได้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในสัญญานี้เลยครับ บางโครงการโดยเฉพาะพวกพลังงานหมุนเวียน อาจจะมีเงินสนับสนุนพิเศษจากรัฐบาลอย่าง Adder หรือ Feed-in Tariff ด้วย นอกจากนี้ยังมีสัญญาแบบเอกชนกับเอกชน (Private PPA) ที่เริ่มเห็นมากขึ้นด้วย
3. **ขนาดกำลังการผลิตและรูปแบบรายได้:** ลองดูว่าบริษัทนั้นเป็นโรงไฟฟ้าแบบไหนครับ
* **IPP (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่):** กำลังผลิตมักจะใหญ่กว่า 90 เมกะวัตต์ รายได้มั่นคงสูงมาก เพราะส่วนใหญ่มีสัญญาระยะยาวกับ กฟผ. และมักมีเงื่อนไขการรับประกันปริมาณซื้อขั้นต่ำ (Minimum Take) ด้วย คือ กฟผ. ต้องซื้อไฟจากเขาตามปริมาณที่ตกลงกัน ไม่ว่าจะใช้จริงเท่าไหร่ก็ตาม (ตามเงื่อนไขสัญญา)
* **SPP (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก):** กำลังผลิต 10-90 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟกับ กฟผ. และมีบางส่วนขายตรงให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียง รายได้ก็ค่อนข้างมั่นคงเช่นกัน
* **VSPP (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก):** กำลังผลิตน้อยกว่า 10 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ขายไฟให้ กฟน. หรือ กฟภ. และได้รับเงินสนับสนุนแบบ Adder หรือ Feed-in Tariff กลุ่มนี้รายได้อาจจะผันผวนกว่า IPP/SPP หน่อย เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศหรือวัตถุดิบ
4. **ประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารต้นทุน:** ธุรกิจไฟฟ้ามันพิเศษตรงที่ผลิตแล้วต้องใช้เลย เก็บสต็อกไม่ได้ครับ (ยกเว้นพวกโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับหรือระบบกักเก็บพลังงาน) ดังนั้นการจัดการระบบการผลิตและระบบส่งให้มีประสิทธิภาพ การลดต้นทุนเชื้อเพลิง (สำหรับโรงไฟฟ้าฟอสซิล) หรือการบริหารจัดการให้ผลิตไฟได้เต็มที่ที่สุด (สำหรับพลังงานหมุนเวียน) เป็นเรื่องสำคัญมาก การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System หรือ BESS) ก็เป็นเรื่องที่กำลังมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความไม่เสถียรของพลังงานหมุนเวียน

**สรุปง่ายๆ และข้อคิดทิ้งท้าย**

จะเห็นว่า กฟผ. มีบทบาทสำคัญมากๆ เป็นเหมือนรากฐานของระบบไฟฟ้าไทย ทั้งในมุมการผลิต การรับซื้อ และการส่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมและ “หุ้นโรงไฟฟ้า” ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครับ

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคง ผลตอบแทนจากเงินปันผลสม่ำเสมอ และไม่ชอบความผันผวนสูง แต่การเติบโตอาจจะไม่ได้หวือหวาเท่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มอื่นๆ ที่เน้นการเติบโตสูงๆ

เวลาดูข้อมูลหุ้นรายตัวในตลาดฯ อย่าง บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ก็จะมีรายละเอียดประมาณนี้ที่เราเห็นกันตามกระดานเทรด เช่น ราคาล่าสุด ราคาสูงสุด/ต่ำสุดของวัน ปริมาณและมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งพวกนี้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่เราต้องนำไปประกอบกับการวิเคราะห์เชิงลึกถึงปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น

💡 **ถ้าคุณสนใจ “หุ้นโรงไฟฟ้า” ลองเริ่มจาก…**

* ทำความเข้าใจภาพรวมของอุตสาหกรรมและบทบาทของ กฟผ. ก่อนครับ
* ศึกษาแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ล่าสุด เพื่อดูทิศทางพลังงานในอนาคต
* ดูว่าบริษัทโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งมีโรงไฟฟ้าแบบไหนบ้าง สัญญาซื้อขายไฟเป็นอย่างไร (กับใคร ระยะเวลากี่ปี มี Minimum Take ไหม ได้รับ Adder/FiT หรือเปล่า)
* พิจารณาฐานะทางการเงินของบริษัทนั้นๆ
* เปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน

⚠️ **สำคัญที่สุด:** ข้อมูลที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเพียงข้อมูลเชิงอุตสาหกรรมและการวิเคราะห์เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อขายหลักทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนในวงเงินที่พร้อมจะสูญเสียได้เสมอ หากคุณไม่คุ้นเคยกับการวิเคราะห์หุ้นรายตัว หรือไม่มีเวลาติดตามข่าวสาร อาจจะพิจารณาลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในกลุ่มพลังงานแทนก็ได้ครับ!