เจาะลึก pe ratio คือ อะไร? ดูยังไงให้ได้หุ้นดีมีอนาคต!

เคยไหมครับ เวลาที่เราเดินเข้าร้านแล้วเห็นสินค้าตัวหนึ่งสวยถูกใจ แต่พอพลิกป้ายราคาปุ๊บ ถึงกับร้อง “โอ้โห! ทำไมแพงจัง?” หรือบางทีเจอของอีกชิ้น ราคาไม่สูงมากนัก แต่ก็แอบคิดในใจว่า “ราคานี้มันสมเหตุสมผลแล้วเหรอ?”

เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีแค่กับการซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันนะครับ โลกของการลงทุนใน “หุ้น” ก็เหมือนกัน นักลงทุนอย่างเราๆ ก็อยากรู้ว่าหุ้นตัวที่เราเล็งอยู่น่ะ มัน “ถูก” หรือ “แพง” เกินไปหรือเปล่า เทียบกับศักยภาพของบริษัท แล้วเครื่องมือวัดยอดฮิตตัวหนึ่งที่นักลงทุนทั่วโลกใช้กันก็คือ P/E Ratio นี่แหละครับ สงสัยไหมครับว่า **pe ratio คือ** อะไรกันแน่? แล้วดูยังไงถึงจะรู้ว่าหุ้นที่เห็นเนี่ย มันน่าลงทุนหรือเปล่า?

ในฐานะคอลัมนิสต์สายการเงินที่คลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มานาน ผมขออาสาพาไปเจาะลึกเรื่อง P/E Ratio แบบเข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนครับ

ลองคิดภาพตามนะครับ ถ้าคุณกำลังจะซื้ออพาร์ตเมนต์ปล่อยเช่าสักหลัง คุณก็ต้องดูใช่ไหมครับว่าค่าเช่าต่อปีจะได้เท่าไหร่ แล้วถ้าเทียบกับราคาที่คุณซื้อ คุณจะต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะได้เงินค่าเช่าคืนครบเท่ากับเงินที่ลงทุนไป? P/E Ratio ก็คล้ายๆ แบบนั้นแหละครับ

**pe ratio คือ** ตัวย่อมาจาก Price/Earnings Per Share หรือชื่อไทยเต็มๆ คือ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ มันคือการเอา “ราคาหุ้น” ตอนนี้ มาหารด้วย “กำไรต่อหุ้น” ที่บริษัททำได้ พูดง่ายๆ คือมันบอกเราว่า นักลงทุนอย่างเราๆ ยินดีที่จะจ่ายเงิน “กี่เท่า” ของกำไรที่บริษัททำได้ เพื่อแลกกับการได้เป็นเจ้าของหุ้นตัวนี้ และยังเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นว่า ถ้าบริษัททำกำไรได้เท่าเดิมไปเรื่อยๆ เราจะใช้เวลากี่ปีในการ “คืนทุน” จากกำไรที่บริษัททำได้นั่นเองครับ

แต่ P/E Ratio ไม่ได้บอกแค่ตัวเลขเฉยๆ นะครับ มันยังสะท้อนถึง “จิตวิทยา” ของนักลงทุนในตลาดหุ้นด้วยว่าพวกเขากำลังคาดหวังกับอนาคตของบริษัทนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้า P/E สูงๆ ก็แปลว่าตลาดคาดหวังสูง ยอมจ่ายแพงเพื่อซื้อ “ความหวัง” ในอนาคต แต่ถ้า P/E ต่ำ ก็อาจจะแปลว่าตลาดไม่ได้คาดหวังอะไรมาก หรืออาจจะมีบางอย่างน่ากังวลก็ได้

แล้วเราคำนวณ P/E กันยังไงล่ะครับ? สูตรหลักๆ ก็ตามชื่อเลยครับ คือ **ราคาหุ้น (Price Per Share) หารด้วย กำไรต่อหุ้น (Earning Per Share หรือ EPS)** หรืออีกสูตรที่ให้ผลลัพธ์เหมือนกันเป๊ะคือ เอา **มูลค่าบริษัท (Market Cap)** ทั้งหมด หารด้วย **กำไรสุทธิ (Net Profit)** ทั้งหมดของบริษัท จะเห็นว่าทั้งสองสูตรก็คือการมองภาพรวมเดียวกัน เพียงแค่คิดจาก “ต่อหุ้น” หรือ “ทั้งบริษัท” เท่านั้นเอง

ทีนี้ P/E มันก็มีหลายแบบให้ดูนะครับ แบบที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ **P/E ย้อนหลัง (Trailing P/E หรือ TTM P/E)** ซึ่งจะใช้ข้อมูลกำไรจริงที่บริษัททำได้ใน 4 ไตรมาสล่าสุด หรือ 12 เดือนที่ผ่านมา อันนี้เชื่อถือได้เพราะเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็มีอีกแบบที่น่าสนใจคือ **P/E ล่วงหน้า (Forward P/E)** ซึ่งจะใช้ “กำไรที่คาดการณ์” ว่าบริษัทจะทำได้ในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า แบบนี้จะขึ้นอยู่กับการมองโลกของนักวิเคราะห์แต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีความผิดพลาดได้ครับ

พอคำนวณได้ตัวเลข P/E มาแล้ว **การตีความ** นี่แหละคือหัวใจสำคัญ! P/E ตัวเดียวบอกอะไรเราได้เยอะกว่าที่คิดครับ

ถ้าเจอหุ้นที่ **P/E สูงลิ่ว** เช่น 30 เท่า 50 เท่า หรือบางทีทะลุไปเป็นร้อยเท่าเลยก็มี อันนี้มักจะเกิดขึ้นกับหุ้นที่ตลาดคาดหวังว่า “กำไร” ของบริษัทจะ “เติบโต” ได้อย่างก้าวกระโดดในอนาคตครับ นักลงทุนเลยยอมจ่ายแพงเพื่อซื้อหุ้นเหล่านี้ เช่น หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี หรือกลุ่ม Healthcare ที่มีนวัตกรรมล้ำๆ หรือมีโปรเจกต์ใหญ่ที่ดูแล้วจะพลิกโลกได้ พวกนี้มักถูกเรียกว่า **หุ้นเติบโต (Growth Stocks)** ครับ P/E ที่สูงมากๆ ก็อาจจะมาจากการที่ “ราคาหุ้น (P)” วิ่งขึ้นไปแรงมากแล้ว แต่ “กำไร (E)” ยังตามมาไม่ทัน หรือที่เรียกกันว่า “re-rating” คือตลาดให้น้ำหนักกับความคาดหวังในอนาคตมากกว่ากำไรในอดีต

แต่ถ้าเจอหุ้นที่ **P/E ต่ำเตี้ย** ล่ะครับ เช่น 5 เท่า 8 เท่า หรือ 10-20 เท่า อันนี้อาจจะมองได้สองมุม มุมแรกคือ “โห! หุ้นตัวนี้ถูกจังเมื่อเทียบกับกำไร” พวกนี้มักเป็นหุ้นในกลุ่ม **หุ้นมูลค่า (Value Stocks)** คือเป็นบริษัทที่ค่อนข้างเติบโตเต็มที่แล้ว กำไรสม่ำเสมอ แต่อัตราการเติบโตอาจไม่สูงมาก ราคาหุ้นเลยไม่ค่อยหวือหวาเท่าหุ้นเติบโต หรือบางที P/E ต่ำก็เพราะราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนสไตล์เน้นคุณค่า

**แต่เดี๋ยวก่อน!** P/E ต่ำไม่ได้แปลว่าดีเสมอไปนะครับ บางที P/E ที่ต่ำสะท้อนถึง “ความกังวล” บางอย่างที่นักลงทุนมีต่อบริษัทก็ได้ครับ เช่น:

* **หุ้นวัฏจักร:** หุ้นบางตัวอย่างหุ้นที่ทำธุรกิจตามวัฏจักรเศรษฐกิจ พอเศรษฐกิจดี กำไรเขาก็พุ่งกระฉูด ทำให้ P/E ดูต่ำน่าสนใจ แต่พอเศรษฐกิจชะลอตัว กำไรก็อาจจะลดลงฮวบฮาบ ทำให้ P/E กลับไปสูงก็ได้
* **กำไรพิเศษ:** บางทีบริษัทมีกำไรก้อนใหญ่ๆ จากการขายสินทรัพย์ หรือการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นกำไรที่ไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกปี กำไรที่สูงผิดปกติในงวดนั้นก็ทำให้ P/E ดูต่ำลงชั่วคราว พองวดปกติกลับมา P/E ก็จะดีดกลับไปสูง ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดได้
* **กำไรผันผวนไม่ต่อเนื่อง:** ธุรกิจบางอย่างที่ต้องคอยหางานใหม่ๆ ตลอดเวลา เช่น รับเหมาก่อสร้าง รายได้และกำไรจะไม่แน่นอนเหมือนธุรกิจที่รายได้สม่ำเสมอ ความไม่แน่นอนนี้ทำให้นักลงทุนมองว่าเป็นความเสี่ยง จึงให้ค่า P/E ต่ำกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมที่กำไรคงที่กว่า เพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้ครับ

จากที่เล่ามา จะเห็นว่า P/E Ratio มันมีจังหวะของมันด้วยครับ เหมือนกับการเต้นรำของราคาและกำไร หุ้นมักจะพุ่งแรงๆ จากความ “คาดหวัง” ของนักลงทุนก่อน ทำให้ P/E พุ่งตาม (re-rating) จากนั้นก็ต้องรอดูว่า “กำไรจริง” จะวิ่งตามความคาดหวังได้ไหม ถ้ากำไรวิ่งตามทัน ราคาอาจจะยังไปต่อได้ หรือ P/E อาจจะทรงตัว แต่ถ้ากำไรตามไม่ทัน หรือแย่กว่านั้นคือลดลง ความคาดหวังก็จะลดลง ทำให้ P/E ลดลงตามไปด้วย หรือที่เรียกว่า “de-rating” ครับ

นอกจากนี้ กำไรในอนาคตที่ตลาดคาดหวังยังสัมพันธ์กับ **ROE (Return on Equity หรือผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น)** ของบริษัทด้วยนะครับ พูดง่ายๆ คือเงินกำไรที่บริษัทเก็บไว้ ไม่ได้เอามาปันผลให้ผู้ถือหุ้น บริษัทจะเอาไปลงทุนต่อเพื่อสร้างกำไรเพิ่ม ซึ่งความสามารถในการสร้างกำไรเพิ่มนี้ก็สะท้อนจากค่า ROE นั่นแหละครับ บริษัทที่มี ROE สูงๆ ก็มักจะถูกคาดหวังว่าจะมีกำไรเติบโตดีในอนาคตตามไปด้วย

ทีนี้มาถึงเรื่องเทคนิคการใช้งาน P/E Ratio ให้คุ้มค่า และ **ข้อควรระวัง** ที่สำคัญมากๆ ครับ

สิ่งแรกที่ต้องจำไว้เลยคือ **อย่าดู P/E ตัวเดียวโดดๆ!** มันเป็นแค่ “เครื่องมือ” ตัวหนึ่งในการประเมินมูลค่าหุ้น เหมือนคุณหมอวินิจฉัยโรค ก็ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบกัน ไม่ใช่แค่ดูอุณหภูมิอย่างเดียวครับ

เวลาใช้ P/E ควรจะ **เปรียบเทียบ P/E Ratio ของหุ้นตัวนั้นกับหุ้นอื่นๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน** หรือมีลักษณะธุรกิจคล้ายคลึงกันครับ เพราะหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมจะมีค่า P/E เฉลี่ยที่เป็น “ปกติ” หรือ “P/E Band” ของตัวเองที่แตกต่างกัน เช่น หุ้นโรงไฟฟ้ามักมี P/E ที่ไม่สูงเท่าหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นโรงพยาบาล นอกจากนี้ก็ควรดูแนวโน้ม P/E ในอดีตของบริษัทนั้นๆ เองด้วย เพื่อดูว่าตอนนี้ P/E มันสูงหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของเขามากน้อยแค่ไหน

แล้วจะรู้ได้ไงว่า **P/E เท่าไหร่ถึงจะ “เหมาะสม”?** จริงๆ ไม่มีตัวเลขตายตัวครับ แต่เบื้องต้นเราอาจจะใช้ P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือ P/E เฉลี่ยของตลาดเป็นจุดอ้างอิง แล้วเราก็อาจจะปรับค่า P/E ที่เหมาะสมตามมุมมองของเราเองว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจนี้จะเติบโตได้แค่ไหน

มีเทคนิคหนึ่งที่บางคนใช้คือ **Rule of Twenty** ครับ เขาบอกว่าค่า P/E เฉลี่ยของตลาดหุ้น บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ในประเทศ ควรจะรวมกันได้ประมาณ 20 เท่า อันนี้เป็นเพียงแนวคิดหนึ่งที่ใช้ดูภาพรวมตลาดนะครับ ไม่ใช่ใช้กับหุ้นรายตัวโดยตรง

บางครั้งเราก็ใช้ P/E Ratio เพื่อช่วย **หาราคาเป้าหมาย** ของหุ้นตัวนั้นๆ ได้ด้วยครับ โดยเอา **(P/E ที่เราคิดว่าเหมาะสม)** ไปคูณกับ **(กำไรต่อหุ้นที่เราคาดการณ์ว่าจะทำได้ในอนาคต)** ก็จะได้ราคาหุ้นที่เรามองว่าน่าจะเป็นราคาที่เหมาะสมครับ

**ทีนี้มาถึงข้อควรระวังตัวโตๆ เลยนะครับ:**

1. **P/E ใช้ไม่ได้กับบริษัทที่ “ขาดทุน”** ครับ เพราะถ้ากำไรเป็นลบ ค่า P/E ที่ได้ก็จะติดลบ หรือคำนวณไม่ได้ในทางปฏิบัติครับ
2. **กำไรต่อหุ้น (EPS) ไม่ได้คงที่ตลอดเวลา** ครับ บริษัททำกำไรได้มากน้อยต่างกันในแต่ละไตรมาสหรือแต่ละปี ดังนั้น ค่า P/E ที่คำนวณออกมาก็จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามราคาหุ้นและตามผลประกอบการ
3. **อย่าติดกับดัก “P/E ต่ำ” เสมอไป!** อย่างที่บอกครับ P/E ต่ำ อาจจะไม่ได้แปลว่าเป็นหุ้นราคาถูกน่าซื้อเสมอไป อาจจะสะท้อนถึงปัญหาที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่ หรือเป็นผลจากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นจนราคาและ P/E ต่ำลงมากก็ได้
4. **P/E เป็นแค่ส่วนประกอบ!** หัวใจสำคัญของการตัดสินใจลงทุนจริงๆ คือการดูภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่ P/E Ratio คุณต้องพิจารณาตัวชี้วัดทางการเงินอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น **อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio)** เพื่อดูว่าบริษัทมีหนี้เยอะไหม **อัตราการเติบโตของกำไร (Earning Growth)** เพื่อดูว่ากำไรโตจริงหรือเปล่า **อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Assets หรือ ROA)** และ **อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)** เพื่อดูประสิทธิภาพในการทำกำไร รวมถึงปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น ภาพรวมเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ หรือความเสี่ยงทางการเมือง

สรุปแล้ว **pe ratio คือ** เครื่องมือชั้นดีที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมว่า ราคาหุ้นที่เรากำลังพิจารณาอยู่นั้น มีความสมเหตุสมผลมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรของบริษัท และความคาดหวังของตลาดที่มีต่ออนาคตของบริษัทนั้นๆ

แต่จำไว้เสมอนะครับว่า มันเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ในการวิเคราะห์เท่านั้น การตัดสินใจลงทุนที่ดีต้องมาจากการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน ทำความเข้าใจในธุรกิจที่เราจะลงทุนอย่างลึกซึ้ง มองหาข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ประกอบ และที่สำคัญคือต้องประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเองเสมอครับ

หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ ค่อยๆ เรียนรู้เครื่องมือต่างๆ ไปทีละตัว รวมถึงทำความเข้าใจตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น D/E, ROA, ROE ควบคู่กันไปนะครับ การลงทุนเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ครับ ยิ่งมีชิ้นส่วนเยอะเท่าไหร่ ภาพรวมก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน การใช้ P/E Ratio เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ และไม่ได้รับประกันว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์ไว้เสมอไป ควรศึกษาข้อมูลบริษัทและอุตสาหกรรมอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งครับ