ช่วงนี้ใครที่ติดตามข่าวสารการเงินการลงทุน น่าจะได้ยินชื่อ “ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา” กันบ่อยมากๆ เลยใช่ไหมครับ? บางคนอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ตลาดนี้มันสำคัญยังไงนะ แล้วเราซึ่งเป็นนักลงทุนชาวไทย จะไปลงทุนที่นั่นได้อย่างไร มีอะไรน่าสนใจบ้าง วันนี้ผมในฐานะคอลัมนิสต์การเงินรุ่นเก๋า จะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับ ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา แบบเจาะลึก เข้าใจง่าย สไตล์เพื่อนคุยกันครับ
**ส่องภาพรวม ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?**
ถ้าจะให้เล่าสถานการณ์ล่าสุด ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ช่วงนี้ต้องบอกว่า “คึกคัก” ทีเดียวครับ โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหลักๆ อย่าง ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500), ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average – DJI), และ ดัชนีแนสแด็ก (Nasdaq) ต่างก็ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง เป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบหลายเดือนเลยก็ว่าได้ครับ

หัวหอกสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดรอบนี้ก็หนีไม่พ้น “หุ้นเทคโนโลยี” ครับ เหล่ายักษ์ใหญ่สายเทคอย่าง เอ็นวิเดีย (Nvidia), อะเมซอนดอทคอม (Amazon.com), แอปเปิล (Apple) ยังคงเป็นที่ต้องการของนักลงทุน ทำให้กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นมากๆ (ลองดูตัวเลขนะครับ ดัชนีเทคโนโลยีดาวโจนส์ บวกไป 3.85% ส่วนดัชนี PHLX เซมิคอนดักเตอร์ ที่รวมหุ้นชิปต่างๆ ก็พุ่งไปถึง 5.32% เลยทีเดียว) นอกจากกลุ่มเทคแล้ว ภาคการเงินและการบริโภคก็ดูดีมีอนาคตเช่นกันครับ ขณะที่บางภาคส่วนอย่างโทรคมนาคมหรือพลังงานก็อาจจะมีเคลื่อนไหวต่างออกไปบ้าง
ที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่หุ้นตัวใหญ่เท่านั้นที่วิ่งขึ้น หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางเองก็ปรับตัวดีขึ้นประมาณ 3% ด้วยครับ อย่างดัชนีรัสเซลล์ 2k (Russell 2000) ที่สะท้อนหุ้นขนาดเล็ก ก็เพิ่งจะขยับขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวรอบนี้เริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นแล้วครับ
**แล้วอะไรเป็นปัจจัยหนุน ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ล่ะ?**
เบื้องหลังความคึกคักนี้ ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ยังคงอยู่ในโทน “ผ่อนคลาย” แม้ว่าจะมีเสียงกระซิบแผ่วๆ ออกมาบ้างแล้วว่า อาจจะเริ่มลดบทบาทการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ (มาตรการคิวอี) เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมั่นคงจริงๆ แต่โดยรวมแล้ว เฟดยังคงยืนยันว่าจะดูแลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ทำให้นักลงทุนยังสบายใจได้ระดับหนึ่งครับ

นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงเร็ว ก็ช่วยคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อไปได้บ้าง และที่เซอร์ไพรส์ตลาดเมื่อไม่นานมานี้คือข่าวการยืนยันของอดีตประธานาธิบดีอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะไม่ปลดนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดคนปัจจุบัน ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ
ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจเอง ก็ต้องบอกว่ามีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไปครับ อย่างสต็อกน้ำมันดิบที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (อีไอเอ) รายงานออกมาว่าเพิ่มขึ้น สวนทางกับที่คาดไว้ แต่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ยอดขายบ้านใหม่เดือนล่าสุดพุ่งขึ้นสูงมากๆ เป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีเลยนะครับ ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะลดลงบ้างตามดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ทั้งภาคการผลิตและบริการโดยรวมของเอสแอนด์พี โกลบอล ก็ปรับตัวลงเล็กน้อย เป็นสัญญาณผสมผสานที่บอกว่าเศรษฐกิจยังคงเคลื่อนไหวอย่างซับซ้อนครับ
ส่วนเรื่องการค้าระหว่างประเทศ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ก็ส่งสัญญาณเชิงบวกว่ามีโอกาสที่สหรัฐฯ กับจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่ได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา และตลาดโลกครับ
**ทำไม “ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา” ถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทย?**
เอาจริงๆ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็นแค่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้นนะครับ แต่ยังเป็นศูนย์รวมของบริษัทที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกอีกด้วย คิดดูสิครับ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยเราเป็นร้อยเท่าเลยนะ! การเคลื่อนไหวของตลาดที่นี่มักจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกด้วย
ตลาดหลักๆ ที่นักลงทุนควรรู้จัก ก็มี 2 แห่งที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ที่เหมือนผู้ใหญ่ใจดี มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งอยู่บนถนนวอลล์สตรีท เป็นที่อยู่ของบริษัทเก่าแก่ชื่อดังมากมาย กับ ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) ที่ดูทันสมัยกว่า ก่อตั้งมาทีหลัง และเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการเติบโตสูงๆ เป็นพิเศษ เป็นบ้านของพวก “หุ้น 7 นางฟ้า” ที่เราได้ยินชื่อกันบ่อยๆ นั่นแหละครับ และที่สำคัญ Nasdaq ยังเป็นตลาดแรกของโลกที่ใช้ระบบซื้อขายด้วยอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบด้วยนะ

ดัชนีตลาดหุ้นที่นักลงทุนนิยมดูกันก็มีหลายตัว แต่ตัวที่สำคัญมากๆ คือ
* **ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI):** เก่าแก่ที่สุด คำนวณจากหุ้นใหญ่ 30 ตัว เน้นถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น หุ้นตัวไหนแพงก็มีอิทธิพลเยอะหน่อย แต่อาจจะไม่ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมด
* **ดัชนี S&P 500 (เอสแอนด์พี 500):** ถือว่าเป็นตัวแทน ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ที่ดีที่สุด เพราะคำนวณจากหุ้น 500 ตัวใหญ่ๆ ครอบคลุมมูลค่าตลาดกว่า 80% เน้นถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization) เหมือนดูขนาดของบริษัท ยิ่งบริษัทใหญ่มากก็มีผลต่อดัชนีมาก
* **ดัชนี Nasdaq Composite:** รวมหุ้นทั้งหมดที่ซื้อขายใน Nasdaq
* **ดัชนี Nasdaq 100:** อันนี้คัดมา 100 ตัวใหญ่ของ Nasdaq (ไม่รวมกลุ่มการเงิน) เป็นตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตสูงๆ ได้ดีมากๆ ครับ
ทีนี้ ทำไมนักลงทุนไทยถึงควรสนใจล่ะ? นอกจากขนาดและความสำคัญแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีหุ้นให้เลือกเยอะมากๆ ครับ มีอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะพวกบริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ จริงๆ ทั้งซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์ม ยา ซึ่งแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีในไทยที่มักจะเป็นลักษณะการให้บริการมากกว่า และที่ว้าวมากๆ คือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่มีระบบ Floor/Ceiling เหมือนบ้านเรานะครับ ราคาหุ้นจะขึ้นจะลงเท่าไหร่ก็ได้ในหนึ่งวัน (บ้านเรา +/- 30%) ตรงนี้ก็ต้องระวังเหมือนกันครับ
**นักลงทุนไทย จะไปลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ได้ยังไงบ้าง?**
ไม่ต้องบินไปถึงอเมริกา ก็ลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ได้นะครับ! ตอนนี้มีหลายช่องทางที่สะดวกมากๆ สำหรับนักลงทุนไทยครับ
1. **ลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ:** อันนี้ง่ายสุดครับ แค่ไปซื้อกองทุนรวมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในไทย เลือกได้เลยว่าจะลงทุนตามดัชนีไหน (เช่น S&P 500, Nasdaq) หรือตามธีมที่เราสนใจ (เช่น หุ้นปัญญาประดิษฐ์ – AI, หุ้นเซมิคอนดักเตอร์)
2. **ลงทุนผ่านตราสาร DR (Depositary Receipt) หรือ ตราสาร DRx (Fractional Depositary Receipt):** อันนี้ก็สะดวกครับ เหมือนเราซื้อใบแสดงสิทธิในหุ้นหรือกองทุนอีทีเอฟต่างประเทศ ช่วยให้เราซื้อขายหุ้นอเมริกาได้ง่ายขึ้น ผ่านตลาดหุ้นไทยนี่แหละครับ ตราสาร DRx ยิ่งสะดวกไปอีก เพราะซื้อขายเป็นจำนวนเงินบาทก็ได้ หรือจะซื้อแบบไม่เต็มหุ้นก็ได้ แถมยังซื้อขายได้ตามเวลาทำการของ ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา โดยตรงเลยด้วยนะ (ปกติคือช่วงค่ำๆ ถึงเช้ามืดบ้านเรา)
3. **เปิดบัญชีหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยตรง:** ช่องทางนี้จะยุ่งยากขึ้นมาหน่อย แต่ก็ให้เราเข้าถึงหุ้นรายตัวได้เต็มที่ ต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่ให้บริการนี้ครับ ปัจจุบันก็มีหลายเจ้าที่เปิดให้บริการแล้ว เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส หรือ ดาโอ ซีเคียวริตี้ส์ หรืออย่างแอปฯ ไดม์! ก็เป็นอีกทางเลือกที่ทำให้การลงทุนต่างประเทศดูง่ายขึ้นครับ
ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนรวม, ตราสาร DR, หรือ ตราสาร DRx คือ เราจะไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gain Tax) ตรงนี้ช่วยประหยัดไปได้เยอะเลยครับ
ส่วนเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย อย่างเวลาซื้อขาย (ต้องดูช่วง Daylight Saving Time ด้วยนะครับ จะมีเวลาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย) สกุลเงินที่ใช้ (ส่วนใหญ่เป็นดอลลาร์สหรัฐฯ – USD แต่บางแพลตฟอร์มก็ซื้อด้วยเงินบาทได้) ขั้นต่ำในการซื้อขาย (ส่วนใหญ่ 1 หุ้น หรือบางแพลตฟอร์มซื้อไม่เต็มหุ้นได้) ค่าใช้จ่ายต่างๆ (มีทั้งค่านายหน้าซื้อขาย, ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์, ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์ก็มีโปรโมชั่นต่างกันไป) และการคุ้มครองผู้ลงทุน (มีการคุ้มครองตามกฎหมายสหรัฐฯ สูงสุดถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ นะครับ) รายละเอียดพวกนี้ แนะนำให้ลองสอบถามกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เราสนใจไปใช้บริการโดยตรงนะครับ
**เปรียบเทียบกันชัดๆ ดัชนี S&P 500 กับ Nasdaq 100 เลือกแบบไหนดี?**
นักลงทุนที่สนใจตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา มักจะลังเลระหว่างสองดัชนีนี้ครับ คือ ดัชนี S&P 500 กับ ดัชนี Nasdaq 100 ทั้งสองตัวมีหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำตัวท็อปๆ อยู่ในตะกร้าเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิล, ไมโครซอฟท์ (Microsoft), อัลฟาเบท (Alphabet – บริษัทแม่ Google), อะเมซอน, เอ็นวิเดีย ซึ่งหุ้นพวกนี้มีสัดส่วนค่อนข้างสูงในทั้งสองดัชนีเลยครับ
แต่ความต่างอยู่ที่การกระจายตัวครับ ดัชนี S&P 500 จะกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่า ทั้งเทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ พลังงาน ฯลฯ สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ดีกว่า เปรียบเหมือนเราลงทุนในบริษัทใหญ่ๆ ของอเมริกาแบบครบวงจร
ส่วน ดัชนี Nasdaq 100 จะเน้นหนักไปที่กลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทที่มีการเติบโตสูงๆ เป็นหลัก และที่สำคัญคือ **ไม่รวม** บริษัทในกลุ่มสถาบันการเงินครับ ทำให้ดัชนีนี้เป็นตัวแทนของ “หุ้นเทค” หรือ “หุ้นเติบโต” ได้ชัดเจนมากๆ สัดส่วนของหุ้นเทคตัวใหญ่ๆ ใน Nasdaq 100 จะสูงกว่าใน S&P 500 พอสมควรเลยครับ
ถามว่าอันไหนดีกว่ากัน? ไม่มีคำตอบตายตัวครับ ขึ้นอยู่กับสไตล์และความสนใจของเราเอง ถ้าอยากลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรม และสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจก็น่าจะมอง S&P 500 แต่ถ้าเน้นไปที่หุ้นเทคโนโลยีและบริษัทนวัตกรรมที่เชื่อว่าจะมีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต ก็อาจจะสนใจ Nasdaq 100 มากกว่าครับ แต่โดยรวมแล้ว ทั้งสองดัชนีมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันครับ
**บทสรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุนไทย**
ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา คือโอกาสที่น่าสนใจมากๆ สำหรับนักลงทุนไทยที่อยากกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุนในบริษัทระดับโลกที่มีนวัตกรรมล้ำหน้า การเข้าถึงก็ง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ ทั้งผ่านกองทุนรวม ตราสาร DR/DRx หรือการเปิดบัญชีตรง ทำให้เราสามารถเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทที่เราเห็นในชีวิตประจำวันได้ไม่ยากครับ
อย่างไรก็ตาม ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง การลงทุนใน ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ก็เช่นกันครับ นอกจากความผันผวนของราคาหุ้นตามผลประกอบการและปัจจัยต่างๆ แล้ว ยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (เงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ) รวมถึงความเสี่ยงเฉพาะตัวของหุ้นแต่ละตัวด้วยครับ การที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่มี Floor/Ceiling ก็หมายความว่าราคาหุ้นอาจปรับตัวขึ้นลงแรงมากๆ ได้ในวันเดียว
⚠️ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะผ่านช่องทางไหนก็ตาม แนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทำความเข้าใจลักษณะของตลาด หุ้น หรือดัชนีที่เราจะลงทุน และประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้เสมอ หากเป็นนักลงทุนมือใหม่ อาจจะเริ่มจากช่องทางที่ง่ายและกระจายความเสี่ยงอย่างกองทุนรวม หรือตราสาร DR/DRx ก่อนก็ได้ครับ และที่สำคัญอย่าลืมจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับแผนการเงินของตัวเองนะครับ ขอให้นักลงทุนไทยทุกคนโชคดีกับการลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ครับ!