
เดินเข้าเซเว่นฯ เห็นคนจ่ายเงินด้วย Apple Pay เปิด YouTube ดูวิดีโอจากช่องต่างประเทศ เล่นเกมที่พัฒนาโดยบริษัทระดับโลก หรือแม้แต่เห็นรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนวิ่งเต็มถนน… แบรนด์ระดับโลกพวกนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเราเต็มไปหมดเลยนะครับ แล้วเคยสงสัยไหมว่า ถ้าเราอยากจะเป็น “เจ้าของ” ส่วนเล็กๆ ของบริษัทพวกนี้บ้าง จะทำยังไง? คำตอบง่ายๆ ก็คือ การซื้อหุ้นต่างประเทศ นี่แหละครับ
หลายคนอาจจะคิดว่าเรื่อง การซื้อหุ้นต่างประเทศ เป็นเรื่องไกลตัว ต้องมีเงินเยอะๆ ต้องเก่งภาษา ต้องยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้ว ในยุคนี้ การลงทุนข้ามประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แถมยังเป็นเครื่องมือที่นักลงทุนไทยหลายคนเริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะโลกของการลงทุนมันกว้างใหญ่กว่าแค่ในบ้านเราครับ
ทำไม การซื้อหุ้นต่างประเทศ ถึงน่าสนใจ? ลองนึกภาพตามนะครับ ตลาดหุ้นไทยมีบริษัทดีๆ ให้เลือกมากมายก็จริง แต่บางอุตสาหกรรม บางเทรนด์ที่กำลังมาแรงมากๆ ทั่วโลก อย่างเทคโนโลยีอวกาศ, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือรถยนต์ไฟฟ้า อาจจะยังไม่มีบริษัทขนาดใหญ่ในไทยให้เราเลือกลงทุนโดยตรง การออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือจีน ทำให้เรามีโอกาสเป็นเจ้าของบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้จริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, NVIDIA, Tesla, Alibaba หรือ Tencent ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก และยังช่วยให้พอร์ตลงทุนของเรา “กระจายความเสี่ยง” ได้ดีขึ้น ไม่ต้องกังวลถ้าตลาดหุ้นไทยช่วงไหนไม่ค่อยดี เพราะเรายังมีส่วนอื่นๆ ในพอร์ตที่เติบโตจากตลาดอื่นทั่วโลกเข้ามาช่วยถัวเฉลี่ยได้ครับ

อีกข้อดีคือ ตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสหรัฐฯ อย่าง NASDAQ หรือ NYSE มีสภาพคล่องสูงมาก แปลว่าเราสามารถซื้อขายหุ้นได้ง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องไม่มีคนอยากจะซื้อหรือขายกับเราเหมือนหุ้นบางตัวในตลาดเล็กๆ แถมหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกพวกนี้ ด้วยมูลค่าตลาดที่มหาศาล ทำให้โอกาสที่จะถูก “ปั่นราคา” ก็ยากกว่าหุ้นเล็กๆ เยอะ ทำให้ การซื้อหุ้นต่างประเทศ ในหุ้นใหญ่ๆ ดูปลอดภัยในแง่ความผันผวนแบบไร้เหตุผลมากกว่าครับ
ทีนี้ มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า “แล้วจะเริ่มยังไงล่ะ?” สำหรับมือใหม่ที่สนใจ การซื้อหุ้นต่างประเทศ ขั้นตอนพื้นฐานก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดครับ หลักๆ เลยคือ
1. **เปิดบัญชี:** เราต้องมีบัญชีสำหรับซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันโบรกเกอร์ไทยหลายแห่งก็มีบริการตรงนี้ให้แล้วครับ หรือบางแพลตฟอร์มที่เป็นพันธมิตรกับโบรกเกอร์ต่างประเทศก็มีให้เลือก
2. **เตรียมเงิน:** ฝากเงินบาทเข้าบัญชีลงทุนของเรา
3. **แลกเงิน:** ตรงนี้สำคัญครับ เพราะ การซื้อหุ้นต่างประเทศ ส่วนใหญ่ต้องใช้สกุลเงินของประเทศนั้นๆ เช่น ซื้อหุ้นอเมริกาต้องใช้ USD, ซื้อหุ้นฮ่องกงต้องใช้ HKD เราก็ต้องแลกเงินบาทเป็นสกุลที่ต้องการก่อนครับ บางแพลตฟอร์มแลกได้ทันทีผ่านแอปฯ สะดวกมากๆ
4. **ส่งคำสั่ง:** พอมีเงินสกุลต่างประเทศในบัญชีแล้ว ก็เข้าแอปฯ หรือเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ เลือกหุ้นที่อยากได้ ระบุจำนวนเงินหรือจำนวนหุ้น แล้วก็กดซื้อ/ขายได้เลยครับ
5. **ยื่นแบบฟอร์มภาษี (ถ้าจำเป็น):** อย่างการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ถ้าเรายื่นแบบฟอร์ม W-8BEN (แบบฟอร์มลดหย่อนภาษีสำหรับคนต่างชาติ) ผ่านโบรกเกอร์ เราก็จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเงินปันผล (Dividend Tax) จาก 30% เหลือ 15% ครับ อันนี้สำคัญและโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีบริการช่วยอำนวยความสะดวกตรงนี้ให้ฟรี
แต่ถ้าฟังขั้นตอนข้างบนแล้วรู้สึกว่า “เอ๊ะ…ต้องแลกเงิน ต้องเปิดบัญชีใหม่ อาจจะยุ่งยากไปหน่อย” ก็ยังมี “ทางเลือก” อื่นๆ ใน การซื้อหุ้นต่างประเทศ ที่ง่ายขึ้นอีกครับ และหลายวิธีก็ลงทุนได้ผ่านตลาดหุ้นไทย (SET) ของเรานี่แหละ!
* **ลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (Foreign Investment Fund – FIF):** อันนี้ง่ายสุดๆ ครับ แค่ไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่มีนโยบายไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ กองทุนพวกนี้จะรวบรวมเงินของนักลงทุนหลายๆ คนไปให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหาร จัดการซื้อขายหุ้นทั่วโลกให้เราเอง เราแค่ซื้อหน่วยลงทุนเป็นเงินบาท แล้วรอรับผลตอบแทนเป็นเงินบาท ข้อดีคือง่าย ไม่ต้องศึกษาหุ้นรายตัว ไม่ต้องแลกเงินเอง แต่ก็มีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการกองทุน และผลตอบแทนก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุนครับ
* **ลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทยโดยตรง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงหุ้นต่างประเทศ:** อันนี้น่าสนใจสำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้นตัวดังๆ แต่ไม่อยากเปิดบัญชี Offshore ครับ
* **DR (Depositary Receipt) และ DRx:** นี่คือ “ตัวช่วย” ที่ทำให้ การซื้อหุ้นต่างประเทศ ง่ายขึ้นมากๆ ครับ DR/DRx คือตราสารที่ออกโดยผู้ออกในไทย (อย่างเช่น ธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ออก DR/DRx หลายตัว) โดยผู้ออกจะไปซื้อหุ้นต่างประเทศจริงๆ มาเก็บไว้ แล้วออก “ใบแสดงสิทธิ์” หรือ DR/DRx นี้มาให้เราซื้อขายกันในตลาดหุ้นไทยเป็นเงินบาท ข้อดีคือ ซื้อขายง่ายเหมือนหุ้นไทย ใช้บัญชีหุ้นไทยเดิมได้เลย ไม่ต้องแลกเงินตราต่างประเทศ และที่สำคัญคือกำไรส่วนต่างราคา (Capital Gain) จาก การซื้อขาย DR/DRx ในไทย “ไม่ต้องเสียภาษี” ครับ (ตามกฎปัจจุบัน) มี DR/DRx ตัวดังๆ ให้เลือกเพียบ เช่น Alibaba, BYD, Tencent, Xiaomi, หรือแม้แต่หุ้นอเมริกาอย่าง Apple, Tesla, Microsoft ก็มี DRx ให้เลือกซื้อแล้วครับ ลงทุนเริ่มต้นแค่หลักสิบ หลักร้อยบาทก็ยังได้ด้วยนะ
* **ETF (Exchange Traded Fund):** คล้ายกองทุนรวม แต่ซื้อขายเหมือนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย อ้างอิงดัชนีหรือสินทรัพย์ต่างประเทศ ช่วยกระจายความเสี่ยงในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ต้นทุนต่ำ เหมาะกับการลงทุนระยะยาว
* **DW (Derivative Warrants):** อันนี้เป็นตราสารอนุพันธ์ที่ให้สิทธิ์เราซื้อหรือขายหุ้นหรือดัชนีต่างประเทศในราคาและเวลาที่กำหนด เหมาะสำหรับคนที่เข้าใจกลยุทธ์ซับซ้อนขึ้น และสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลงครับ
เห็นไหมครับว่า การซื้อหุ้นต่างประเทศ มีหลายช่องทางให้เลือก ไม่ได้มีแค่วิธีเดียวเสียหน่อย ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะ “ง่าย” แค่ไหน หรืออยากจะ “ลึกซึ้ง” กับหุ้นรายตัวแค่ไหน
แน่นอนครับว่า ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง การซื้อหุ้นต่างประเทศ ก็เช่นกันครับ สิ่งที่เราต้องเตรียมรับมือก็มีหลายอย่าง เช่น
* **ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน:** นี่คือสิ่งที่ต่างจากการลงทุนในไทยล้วนๆ ครับ เพราะเราต้องแปลงเงินบาทไปเป็นสกุลเงินอื่น เช่น USD ถ้าตอนที่เราจะขายหุ้นแล้วแลกเงินกลับมาเป็นบาท เงินบาทดันแข็งค่าขึ้นมากๆ กำไรจากหุ้นของเราอาจจะลดลง หรือขาดทุนมากขึ้นได้ครับ หรือถ้าบาทอ่อนค่าก็อาจจะได้กำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งเราควบคุมตรงนี้ไม่ได้เลย
* **ความผันผวนของตลาด:** ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหญ่ๆ มีความผันผวนสูงมากครับ บางวันราคาอาจจะวิ่งขึ้นหรือลงแรงมากๆ ได้ จากข่าวสาร ผลประกอบการ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งในตลาดสหรัฐฯ ไม่มีการกำหนดราคา Ceiling/Floor เหมือนตลาดหุ้นไทย ทำให้ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวได้ “ไม่จำกัด” ในแต่ละวัน ใครใจไม่แข็ง อาจจะตกใจได้ง่ายๆ ครับ
* **อุปสรรคด้านข้อมูลและเวลา:** ข้อมูลบริษัทต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ การจะหาข้อมูลเชิงลึก หรือติดตามข่าวสารอาจจะยากกว่าหุ้นไทยที่เราคุ้นเคย เวลาทำการซื้อขายก็ต่างกันด้วยครับ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเปิดทำการช่วงกลางคืนของไทย เราอาจจะต้องตื่นมาเทรดดึกๆ หรือส่งคำสั่งทิ้งไว้
* **ค่าธรรมเนียม:** แม้บางแพลตฟอร์มจะดูค่าธรรมเนียมถูกลงมาก แต่ การซื้อหุ้นต่างประเทศ ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอยู่ครับ หลักๆ คือค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ซึ่งจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่า หรือต่อจำนวนหุ้น แล้วแต่ตลาดและแพลตฟอร์ม บางตลาดมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำด้วย นอกจากนี้ก็อาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการแลกเงิน ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ (อย่าง SEC Fee หรือ TAF Fee ในสหรัฐฯ) ซึ่งเราต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนครับ

ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมเนี่ย แต่ละแพลตฟอร์ม แต่ละตลาดก็ไม่เหมือนกันเลยนะครับ ยกตัวอย่างค่าธรรมเนียมการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ของบางตลาด (ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบกับผู้ให้บริการอีกครั้งนะครับ)
* สหรัฐฯ: อาจจะคิดเป็น USD ต่อหุ้น หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่า โดยมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ
* ฮ่องกง: อาจจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่า โดยมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำเป็น HKD
* ยุโรป, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, สหราชอาณาจักร, เวียดนาม, แคนาดา ฯลฯ ก็มีโครงสร้างที่แตกต่างกันไป ทั้งแบบคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือต่อจำนวนหุ้น และมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในสกุลเงินของตลาดนั้นๆ
บางแพลตฟอร์มก็มีโมเดลค่าธรรมเนียมที่น่าสนใจ เช่น Dime! ที่มีโปรโมชั่นเทรดฟรีเดือนละ 1 รายการ หรือคิดค่าธรรมเนียมแบบยืดหยุ่นตามราคาหุ้น หรือมีให้ลงทุนแบบไม่เต็มหุ้นได้ด้วยครับ การเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมระหว่างโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มก่อนตัดสินใจก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ครับ
แล้วจะไปลงทุน การซื้อหุ้นต่างประเทศ ที่ไหนดีล่ะ? ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มและโบรกเกอร์ไทยหลายแห่งให้บริการครับ อย่าง InnovestX ก็เป็นแอปพลิเคชันที่ให้เราเข้าถึงหุ้นและ ETF ทั่วโลกได้กว่า 10,000 ตัว ใน 4 ทวีป ครอบคลุมกว่า 25 ประเทศ หรืออย่าง Dime! ที่เน้นให้ การซื้อหุ้นต่างประเทศ ในตลาดสหรัฐฯ เข้าถึงง่ายขึ้น เริ่มต้นลงทุนน้อยได้ มีฟีเจอร์ DCA (การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนอัตโนมัติ) ให้ด้วย ส่วนใครที่เน้นหุ้นตัวดังๆ และอยากเทรดเป็นเงินบาทในตลาดหุ้นไทย ก็มองหา DR/DRx ที่ออกโดยสถาบันที่ได้รับอนุญาตอย่างธนาคารกรุงไทยได้เลยครับ
ไม่ว่าจะเลือกช่องทางไหน สิ่งสำคัญที่สุดก่อนจะเริ่ม การซื้อหุ้นต่างประเทศ คือการ “ทำการบ้าน” ครับ ศึกษาข้อมูลบริษัทที่เราสนใจ ทำความเข้าใจธุรกิจ งบการเงิน แนวโน้มอุตสาหกรรม ลองใช้แหล่งข้อมูล บทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ ประกอบการตัดสินใจ นอกจากนี้ การเรียนรู้เพิ่มเติมจากคอร์สออนไลน์ หรือบทความเกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศก็เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ครับ อย่างตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็มีหลักสูตรและข้อมูลดีๆ ให้ศึกษาฟรี
ท้ายที่สุดแล้ว การซื้อหุ้นต่างประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจมากๆ ในโลกการลงทุน ที่ช่วยเปิดโอกาสให้เรา “โตไปพร้อมกับโลก” กระจายความเสี่ยง และเป็นเจ้าของธุรกิจที่เราชื่นชอบได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมากครับ แต่เหมือนทุกการลงทุน… ต้องทำการบ้านหนักๆ ศึกษาให้ดี ทำความเข้าใจช่องทางที่เลือก ค่าธรรมเนียม และที่สำคัญคือ “เข้าใจความเสี่ยง” ก่อนเสมอ และเริ่มต้นจากเงินจำนวนน้อยๆ ที่เราพร้อมจะเรียนรู้ไปกับมันก็ได้ครับ
⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน