
ช่วงนี้เปิดตลาดหุ้นไทยมาทีไร… หลายคนอาจจะรู้สึกท้อใจ เหมือนบรรยากาศมันซึมๆ ราคาหุ้นที่เราถืออยู่ก็ย่อลงเรื่อยๆ บางตัวนี่ลงไปเยอะจนน่าตกใจ ทำเอาหลายคนเริ่มลังเลว่าจะเอายังไงดี บางทีก็ตื่นตระหนก อยากจะขายทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด หรือบางคนที่มีเงินสดในมือก็มองว่า “เอ๊ะ! หรือนี่จะเป็นโอกาสทองในการช้อนซื้อ หุ้นราคาถูก?”
คำถามนี้ผุดขึ้นมาบ่อยมากในภาวะตลาดแบบนี้ครับ เพราะตลาดหุ้นไทยตอนนี้อยู่ในช่วงที่ผันผวนและปรับตัวลงมาค่อนข้างหนักเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายท่านก็มีความเห็นที่แตกต่างกันไป บางส่วนก็กังวลว่าตลาดอาจจะยังลงได้อีก อาจถึงจุดต่ำกว่า 1,000 จุดก็ได้ ส่วนอีกมุมมองหนึ่งก็มองว่า การที่ตลาดลงมาขนาดนี้ คือสัญญาณของคำว่า “Bottom Out” หรือการที่ราคาหุ้นโดยรวมลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และมีแนวโน้มที่จะกลับตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ การปรับตัวลงนี่แหละคือโอกาสในการเข้าซื้อ หุ้นราคาถูก เพื่อรอรับการฟื้นตัวในระยะยาว
ลองมองภาพใหญ่ขึ้นมาอีกนิด เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ก็ปรับตัวลงเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยสงครามในหลายพื้นที่ทั่วโลก อย่างความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ที่เพิ่มความไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนย้ายเงินไปอยู่ในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือทองคำ อีกปัจจัยสำคัญคือ นโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) สูงขึ้น สินทรัพย์ปลอดภัยเหล่านี้ก็เลยให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดมากขึ้น ดึงดูดเงินลงทุนจำนวนมากออกจากตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย นอกจากนี้ ปัจจัยภายในประเทศอย่างเรื่องการเมืองก็อาจจะกดดันตลาดในช่วงสั้นๆ ได้เหมือนกัน แต่ความสำคัญของปัจจัยเหล่านี้มักจะลดลงเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้น
พอตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากปัจจัยสารพัดแบบนี้ ราคาหุ้นหลายๆ ตัวก็ย่อลงมาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดคำถามเรื่อง “หุ้นราคาถูก” ขึ้นมา ทีนี้… หุ้นราคาถูก ที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะพูดถึงกันเนี่ย มันมีหลายแบบครับ
แบบแรกที่นึกถึงกันเลยคือ หุ้นที่มีราคาต่อหุ้นต่ำๆ เช่น หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาทต่อหุ้น หุ้นกลุ่มนี้มักจะเป็นที่นิยมของนักลงทุนรายย่อย หรือคนที่เพิ่งเริ่มลงทุนและมีเงินลงทุนไม่สูงมาก ข้อดีคือ การซื้อขายแต่ละครั้งใช้เงินไม่เยอะ ทำให้รู้สึกซื้อง่ายขายคล่อง มีความคึกคักในการซื้อขายสูง เราจะเห็นการซื้อขายระยะสั้นๆ หรือที่เรียกว่า Trading หรือการเก็งกำไร (Speculative) เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ค่อนข้างมากในหุ้นกลุ่มนี้
แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องเข้าใจก็คือ หุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาท *ไม่ได้* แปลว่ามันเป็น “หุ้นราคาถูก” ในเชิงพื้นฐานเสมอไป ราคาหุ้นที่ต่ำ อาจจะสะท้อนว่าธุรกิจมีปัญหา ผลประกอบการไม่ดี หรือมีหนี้สินเยอะก็ได้ กลับกัน หุ้นที่ราคาเป็นร้อยเป็นพันบาท ก็อาจจะถือว่าเป็น “หุ้นราคาถูก” ในเชิงพื้นฐานได้ ถ้าเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรและการเติบโตของบริษัทนั้นๆ
ดังนั้น การมองหา หุ้นราคาถูก ที่แท้จริง ไม่ได้ดูแค่ตัวเลขราคาต่อหุ้นเพียงอย่างเดียวครับ แต่ต้องลงลึกไปดูที่ “ปัจจัยพื้นฐาน” ของบริษัท และ “อัตราส่วนทางการเงิน” ต่างๆ เพื่อประเมินว่า ราคาหุ้นในตลาดตอนนี้ มัน “ถูกหรือแพง” เมื่อเทียบกับคุณค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นๆ เหมือนเวลาเราจะซื้อบ้าน เราคงไม่ได้ดูแค่ว่าราคาถูก แต่ต้องดูสภาพบ้าน ทำเล โครงสร้าง พื้นฐานต่างๆ ด้วย ใช่ไหมครับ
ทีนี้ เราจะดูอะไรบ้างเพื่อหา หุ้นราคาถูก ที่มีพื้นฐานดี? นี่คืออัตราส่วนทางการเงินและปัจจัยสำคัญที่เราต้องพิจารณาครับ

* **อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio):** ตัวนี้ฮิตสุดๆ ครับ P/E บอกให้เรารู้ว่า นักลงทุนยอมจ่ายเงินเป็นกี่เท่าของ “กำไรต่อหุ้น” ของบริษัทนั้นๆ ยิ่ง P/E ต่ำๆ ก็อาจจะแปลว่า ราคาหุ้นในตลาดตอนนี้ “ถูก” เมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัททำได้ แต่เราต้องดู P/E ของบริษัทนั้นๆ เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเดียวกันด้วยนะครับ เพราะบางอุตสาหกรรมมี P/E สูงเป็นปกติ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่บางกลุ่มมี P/E ต่ำกว่า
* **มูลค่าตามบัญชี (Book Value) และมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share: BVPS Ratio):** ลองคิดง่ายๆ ว่า ถ้าบริษัทเลิกกิจการ แล้วขายทรัพย์สินทั้งหมด ใช้หนี้สินทั้งหมดไปแล้ว จะเหลือเงินเท่าไหร่ให้ผู้ถือหุ้น? นั่นแหละคือ มูลค่าตามบัญชี มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (BVPS) ก็คือมูลค่านี้หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดครับ นี่คือ “มูลค่าทางบัญชี” ของบริษัทตามที่บันทึกไว้ในงบการเงิน
* **อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book Value: P/BV Ratio):** ตัวนี้เอา ราคาตลาดต่อหุ้น มาเทียบกับ มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ครับ P/BV บอกเราว่า ราคาหุ้นในตลาดตอนนี้ เป็นกี่เท่าของมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ตัวเลขที่น่าสนใจคือ P/BV ที่ “ต่ำกว่า 1 เท่า” ซึ่งแปลว่า ราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดตอนนี้ “ถูกกว่า” มูลค่าตามบัญชีของบริษัท เหมือนเรากำลังจะซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าที่บันทึกไว้ในบัญชีเลยนะ! แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าซื้อได้เลยนะครับ ต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วยเสมอ
* **อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield):** สำหรับนักลงทุนที่ชอบรับเงินสดเป็นประจำ ตัวนี้สำคัญครับ Dividend Yield บอกว่า เราจะได้รับเงินปันผลกลับมาเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่เราจ่ายไป หุ้นที่จ่ายปันผลสูงๆ และจ่ายอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ หุ้นราคาถูก น่าสนใจขึ้นไปอีก
* **อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin):** ตัวนี้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทครับ บอกว่าบริษัทขายของได้ 100 บาท จะเหลือเป็นกำไรสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วกี่บาท ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงว่าบริษัทควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี ทำกำไรได้เก่ง
* **อัตราตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE):** ROE บอกให้เรารู้ว่า บริษัทเก่งแค่ไหนในการนำเงินทุนของ “ผู้ถือหุ้น” ไปสร้างผลกำไร ROE ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มักจะแสดงถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ดี
นอกเหนือจากอัตราส่วนเหล่านี้แล้ว หัวใจสำคัญของปัจจัยพื้นฐานคือ “กำไรสุทธิ” ของบริษัทครับ กำไรควรจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ กำไรนั้นควรจะมาจากการดำเนินงานตาม “ธุรกิจหลัก” (Core Business) ของบริษัทจริงๆ ไม่ใช่ได้กำไรก้อนใหญ่มาจากการขายสินทรัพย์เก่าๆ ทิ้ง หรือมาจากการควบรวมกิจการ (Mergers & Acquisition: M&A) เพียงชั่วคราว เพราะการเติบโตของกำไรจากธุรกิจหลักนี่แหละคือเครื่องยนต์ที่จะขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตในระยะยาว
ทีนี้ มาดูเกณฑ์การคัดเลือก หุ้นราคาถูก ที่น่าสนใจตามที่นักวิเคราะห์และแหล่งข้อมูลต่างๆ แนะนำกันบ้างครับ
บางแหล่งอย่าง THE STANDARD WEALTH เคยเสนอเกณฑ์คัดเลือกหุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาทที่น่าสนใจในปี 2565 โดยใช้เกณฑ์ P/E ต่ำกว่า 15 เท่า, อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ในปี 2565 YTD เกิน 4.00% ขึ้นไป และอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลัง YTD ในปี 2565 ยังคงเป็นบวก ซึ่งก็ได้รายชื่ออย่าง UVAN, TRUBB, SC, CHG, SENA, PRM, EP, ASW, LALIN, QH ออกมาพร้อมผลตอบแทนราคา YTD ที่ดีในช่วงนั้น (หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเกณฑ์คัดเลือกและผลลัพธ์ของปี 2565 ซึ่งเป็นข้อมูลอ้างอิงในอดีตนะครับ การลงทุนจริงต้องดูข้อมูลปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตด้วย)
อีกเกณฑ์ที่น่าสนใจคือ การมองหา หุ้นราคาถูก ที่มีราคาต่ำกว่า มูลค่าตามบัญชี หรือ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งบางบทความได้มีการคัดกรองโดยใช้เกณฑ์เพิ่มเติม เช่น P/E ต่ำกว่า 10 เท่า, กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 ปี (ปี 2564 – 2566), กำไรสุทธิเป็นบวก (ไม่ขาดทุน) 5 ปีต่อเนื่อง (ปี 2562 – 2566) และกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2567 เป็นบวก การใช้เกณฑ์เหล่านี้ร่วมกัน จะช่วยให้นักลงทุนเจอ หุ้นราคาถูก ที่ไม่ใช่แค่ P/BV ต่ำ แต่ยังมีแนวโน้มกำไรที่ดีและมีความสม่ำเสมอของผลประกอบการด้วย

ถ้าลองดูตัวอย่างหุ้นที่มีการพูดถึงหรือวิเคราะห์กันในช่วงที่ผ่านมา (เช่น ข้อมูล ณ วันที่ 09/08/2024 จาก LIB Talks Daily Notes หรือข้อมูลหุ้น SET100 ราคาต่ำปันผลสูง ณ 17 ก.ย. 2567) ก็พอจะเห็นภาพได้บ้างครับ เช่น
* บางท่านมองว่า **หุ้นในกลุ่มพลังงานอย่าง TOP** เทรดอยู่ที่ P/BV เพียง 0.6 เท่า ซึ่งถือว่าถูกมากในเชิงมูลค่าตามบัญชี และมองว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก (แต่ก็ต้องตามปัจจัยราคาน้ำมันและค่าการกลั่นด้วย)
* หุ้นที่ผลประกอบการโดดเด่นจริงๆ อย่าง **COCOCO** ที่กำไรทำ New High ต่อเนื่องถึง 5 ไตรมาสติดต่อกัน และยังเตรียมขยายกำลังการผลิตอีกในปี 2025 แบบนี้ แม้ราคาหุ้นอาจจะปรับขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าวัดจากความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตที่ชัดเจน ก็อาจจะยังมองว่าน่าสนใจอยู่
* ขณะที่หุ้นอย่าง **ICHI** ราคาก็อาจจะมีช่วงที่ปรับลดลงมาบ้างตามผลของฤดูกาล เพราะรายได้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ แต่ก็อาจจะมีปัจจัยบวกที่ต้องติดตามจากนโยบายภาครัฐอย่างโครงการ Digital Wallet
* หรืออย่างหุ้น **OR** และ **BCP** ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในตลาด อาจจะเผชิญความท้าทายด้านกำไรในช่วงที่ผ่านมา อย่าง OR ที่กำไรและยอดขายน้ำมันลดลง หรือ BCP ที่กำไรลดลงจากการปิดซ่อมโรงกลั่นชั่วคราว ซึ่งต้องติดตามดูการฟื้นตัวในไตรมาสถัดไป และความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง
รายชื่อหุ้นเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่มีการพูดถึงในเชิงวิเคราะห์จากแหล่งข้อมูลต่างๆ นะครับ ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อขายโดยตรง นักลงทุนที่สนใจ หุ้นราคาถูก ต้องนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอด ค้นคว้าข้อมูลล่าสุด และวิเคราะห์ด้วยตัวเองอีกครั้ง
สิ่งสำคัญที่ต้องระวังให้มากคือ “กับดัก หุ้นราคาถูก” ครับ บางทีหุ้นที่ราคาดูเหมือนจะถูกมากๆ มี P/E ต่ำ P/BV ต่ำกว่า 1 เนี่ย ไม่ใช่เพราะมันถูกแล้วน่าซื้อนะครับ แต่เป็นเพราะ “พื้นฐาน” ของบริษัทมันมีปัญหาจริงๆ ต่างหาก เช่น ธุรกิจกำลังถดถอยอย่างหนัก ยอดขายและกำไรลดลงต่อเนื่อง สินค้าหรือบริการไม่เป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่อไป มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้บริหารไม่เก่งหรือมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล หรืออุตสาหกรรมที่บริษัททำอยู่กำลังเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างรุนแรง
หุ้นเหล่านี้ถึงแม้ราคาจะต่ำ แต่ก็ไม่ถือเป็น “หุ้นราคาถูก” ที่น่าลงทุนเลยครับ กลับเป็น “กับดักมูลค่า” (Value Trap) ที่ทำให้นักลงทุนที่เข้าไปซื้อเพราะเห็นว่าราคาถูก ต้องติดดอย หรือขาดทุนอย่างหนักได้ การแยกให้ออกระหว่าง “หุ้นพื้นฐานดีแต่ราคาถูกชั่วคราว” (Value Stock) กับ “หุ้นพื้นฐานแย่ราคาถูกแล้วถูกอีก” (Value Trap) คือหัวใจสำคัญของการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เลย
สรุปแล้ว ช่วงที่ตลาดหุ้นซึมๆ ปรับตัวลงมาเยอะๆ แบบนี้ การมองหา หุ้นราคาถูก ที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และมีอัตราส่วนทางการเงินที่น่าสนใจ ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนระยะยาวครับ มันคือโอกาสในการซื้อของดีในราคาที่ย่อมเยาลงมา
แต่จำไว้เสมอนะครับว่า การลงทุนไม่ได้ง่ายแค่เห็นราคาหุ้นต่ำๆ แล้วพุ่งเข้าไปซื้อ ต้อง “ทำการบ้านให้หนัก” ครับ
* ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทให้ละเอียด
* เช็คอัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆ เทียบกับคู่แข่งและอุตสาหกรรม
* ดูแนวโน้มการเติบโตของกำไรในอนาคต
* พิจารณาความเสี่ยงต่างๆ ที่บริษัทอาจเผชิญ
* อย่าลืมกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่ทุ่มเงินทั้งหมดไปที่ หุ้นราคาถูก เพียงไม่กี่ตัว
⚠️ **การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน** ราคาหุ้นอาจผันผวนขึ้นลงได้ และผลตอบแทนในอดีตไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต โดยเฉพาะ หุ้นราคาถูก บางตัวที่มีสภาพคล่องต่ำ (ซื้อขายกันน้อย) อาจทำให้ขายหุ้นได้ยากในยามที่ต้องการใช้เงิน หรือราคาอาจร่วงแรงได้อย่างรวดเร็วเมื่อมีคนเทขาย ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องนี้ด้วย หากเงินลงทุนของคุณเป็นเงินที่ต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ ควรพิจารณาทางเลือกการลงทุนอื่นที่เหมาะสมกับสภาพคล่องและความเสี่ยงที่คุณรับได้มากกว่านะครับ