
เงินทองไม่พอใช้ใช่ไหม? ยิ่งเศรษฐกิจยุคนี้ ข้าวของแพงขึ้น เงินเฟ้อก็จ่อคอหอย เงินเก็บที่มีดูเหมือนจะลดค่าลงไปเรื่อยๆ หลายคนจึงเริ่มหันมามองหาช่องทางอื่น ที่จะทำให้เงินงอกเงยขึ้นมาได้บ้าง และหนึ่งในคำที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ “ลงทุน” (Investing) หรือที่บางคนอาจจะคุ้นเคยในชื่อ “เล่นเทรด” (Trading)
เอ… แล้วสองคำนี้เหมือนหรือต่างกันนะ? เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งเพิ่งมาปรึกษา เธอบอกว่าได้ยินคนพูดถึงการ “เล่นเทรดหุ้น” แล้วได้กำไรกันเยอะแยะ ดูน่าสนใจ แต่ก็กลัวว่าจะเสียหมดตัว เพราะไม่มีความรู้เลย เธอเลยมาถามผมว่าจริงๆ แล้วการลงทุน หรือจะเรียกว่าการเล่นเทรดนี่ มันคืออะไรกันแน่ แล้วเราที่เป็นมือใหม่จะเริ่มตรงไหนได้บ้าง?
ถ้าคุณกำลังคิดแบบเดียวกับเพื่อนผมล่ะก็ แสดงว่ามาถูกที่แล้วครับ ในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงิน ผมจะพยายามอธิบายเรื่องซับซ้อนเหล่านี้ให้เข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกันสบายๆ นะครับ
เอาล่ะ มาเริ่มที่พื้นฐานก่อน การลงทุน (Investing) คือการนำเงินหรือสินทรัพย์ที่เรามี ไปทำให้มันเติบโต หรือสร้างผลตอบแทนในอนาคต ส่วนการเทรด (Trading) หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “เล่นเทรด” เนี่ย ก็คือกระบวนการซื้อมาขายไปสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่มันขึ้นๆ ลงๆ ครับ จุดต่างสำคัญอยู่ตรงที่ “เวลา” และ “เป้าหมาย” ครับ การลงทุนมักจะมองไปข้างหน้าหลายๆ ปี เน้นการเติบโตระยะยาว หรือการได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ส่วนการเล่นเทรดจะเน้นการซื้อขายที่รวดเร็วกว่า อาจจะแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมง หรือบางครั้งก็แค่ไม่กี่นาที เพื่ออาศัยความผันผวนของราคาทำกำไร
แล้วทำไมเราต้องลงทุนหรือเล่นเทรดด้วยล่ะ? เหตุผลหลักๆ ก็มีอยู่สามข้อที่สำคัญมากๆ ครับ อย่างแรกเลยคือ “เพื่อชนะเงินเฟ้อ” ที่เล่าไปตอนต้น ถ้าเราแค่ฝากเงินไว้ในธนาคาร เงินนั้นอาจจะโตไม่ทันราคาของที่แพงขึ้น เงินเฟ้อเหมือนปลวกที่ค่อยๆ กัดกินกำลังซื้อของเราไปเรื่อยๆ ครับ การลงทุนช่วยให้เงินของเรามีโอกาสโตเร็วกว่าเงินเฟ้อ อย่างที่สองคือ “เพื่อสร้างรายได้แบบ Passive Income” หรือรายได้ที่ไหลเข้ามาเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องลงแรงทำงานตลอดเวลา เช่น เงินปันผลจากหุ้น หรือค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ และข้อสุดท้ายที่สำคัญมากคือ “เพื่อรับประโยชน์จากผลตอบแทนทบต้น” พลังของดอกเบี้ยทบต้นนี่แหละครับ ที่ทำให้นักลงทุนรุ่นใหญ่หลายคนมั่งคั่งขึ้นมาได้ในระยะยาว มันคือการที่เงินปันผลหรือกำไรที่เราได้ เอาไปสร้างกำไรต่ออีกทอดหนึ่ง เหมือน snowball effect ก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ทีนี้ ก่อนที่เราจะกระโดดเข้าไปในตลาด แล้วเริ่ม “เล่นเทรด” หรือลงทุน มีสิ่งสำคัญที่เราต้องเตรียมตัวก่อนครับ เปรียบเสมือนการเตรียมตัวก่อนออกเดินทางไกลเลยทีเดียว อย่างแรกเลย คุณต้องมีเงินออมสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็นเสียก่อนครับ อย่างที่สอง คุณต้องมี “เงินสำรองฉุกเฉิน” (Emergency Fund) อย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เผื่อมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น จะได้ไม่ต้องไปดึงเงินลงทุนออกมาใช้กลางคัน เพราะถ้าทำแบบนั้นอาจจะเสียโอกาส หรือต้องขายตอนราคาไม่ดีก็ได้ครับ อย่างที่สาม ถ้าคุณมี “หนี้ดอกเบี้ยสูง” อย่างหนี้บัตรเครดดิต หรือหนี้นอกระบบ ควรจัดการปิดตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อนครับ เพราะดอกเบี้ยหนี้พวกนี้มันสูงกว่าผลตอบแทนที่คุณคาดหวังจากการลงทุนส่วนใหญ่แน่นอน และสุดท้ายที่สำคัญมากๆ คือ “ตั้งเป้าหมายทางการเงิน” ให้ชัดเจนครับว่าลงทุนไปเพื่ออะไร (เพื่อเกษียณ เพื่อดาวน์บ้าน เพื่อการศึกษาลูก หรือแค่ต้องการให้เงินงอกเงย) และประเมินตัวเองว่า “รับความเสี่ยงได้แค่ไหน” เพราะเป้าหมายและความเสี่ยงที่รับได้ จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณควรจะเลือกสินทรัพย์แบบไหน และใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบไหนครับ
เมื่อเราเตรียมตัวเรื่องเงินทองและเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว คำถามต่อไปคือ แล้วเราจะเอาเงินไปลงทุน หรือ “เล่นเทรด” ในอะไรได้บ้าง? ในตลาดการเงินมีสินทรัพย์ให้เลือกหลากหลายมากเลยครับ แต่ละชนิดก็มีลักษณะเฉพาะตัว มีระดับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป ลองมาดูกันคร่าวๆ นะครับ
* **หุ้น (Stocks):** คือการที่เราเข้าไปเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นๆ ครับ เวลาบริษัทมีกำไร เราก็มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล หรือถ้าบริษัทเติบโต ราคาหุ้นก็อาจจะสูงขึ้น ทำให้เราได้กำไรจากส่วนต่างราคา หุ้นมีหลายประเภท เช่น “หุ้นสามัญ” (Common Stock) ที่มีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุม และ “หุ้นบุริมสิทธิ” (Preferred Stock) ที่มีสิทธิ์พิเศษกว่า เช่น ได้รับเงินปันผลก่อน การซื้อขายหุ้นก็ทำกันใน “ตลาดหุ้น” (Stock Market) ครับ
* **ตราสารหนี้ (Bonds):** อันนี้เหมือนเราให้บริษัทหรือภาครัฐยืมเงิน แลกกับดอกเบี้ยที่เขาจะจ่ายให้เป็นงวดๆ และจะคืนเงินต้นให้เราตอนครบกำหนดครับ ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ผลตอบแทนก็มักจะน้อยกว่า
* **กองทุนรวม (Mutual Funds):** อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาหุ้นรายตัว หรืออยากให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการให้ มันคือการที่นักลงทุนหลายๆ คนเอารวมเงินกัน แล้วให้ผู้จัดการกองทุนนำเงินก้อนใหญ่นี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ แทนเราครับ มีหลายประเภทมาก เช่น กองทุนรวมหุ้น, กองทุนรวมตราสารหนี้, กองทุนดัชนี (Index Fund) ที่ลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้นใหญ่ๆ
* **ETF (Exchange Traded Funds):** คล้ายๆ กองทุนดัชนีครับ แต่ซื้อขายได้สะดวกในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นเลย
* **อนุพันธ์ (Derivatives):** อันนี้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าอ้างอิงอยู่กับสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น ดัชนี ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ มีความซับซ้อนและความเสี่ยงสูง เหมาะกับการเก็งกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง เช่น DW (Derivative Warrants) หรือการเทรดในตลาด TFEX ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50
* **เงินตราต่างประเทศ (Forex):** หรือที่เราเรียกว่าการเทรด Forex เป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก เป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ และผันผวนสูง ซื้อขายได้เกือบ 24 ชั่วโมง
* **ทองคำ (Gold):** เป็นสินทรัพย์ที่คนนิยมใช้เก็บมูลค่า และถือเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) เวลาเศรษฐกิจไม่ดี ซื้อขายได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือเทรดผ่านกองทุน/DR ที่อ้างอิงราคาทอง
* **Bitcoin / สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets):** สกุลเงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน มีความผันผวนสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูงและศึกษาข้อมูลมาอย่างดี
* **อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate):** การลงทุนในที่ดิน อาคาร เพื่อเก็งกำไรราคาที่ดิน หรือปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้
จากสินทรัพย์ทั้งหมดที่ว่ามา สำหรับ “นักลงทุนมือใหม่” ที่ยังไม่คุ้นเคยกับตลาด การเริ่มต้นด้วย “กองทุนรวมดัชนี” (Index Fund) หรือ “ETF” ที่อ้างอิงกับดัชนีตลาดหุ้นใหญ่ๆ อย่าง S&P 500 ของสหรัฐฯ หรือ SET50 ของไทย อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีครับ เพราะมันช่วยกระจายความเสี่ยงได้ในตัวเอง และเราไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นรายตัวให้ปวดหัว เหมือนได้ลงทุนในหุ้นดีๆ หลายๆ ตัวไปพร้อมกัน

ทีนี้ มาถึงเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องเน้นย้ำเลยครับ การลงทุน หรือ “เล่นเทรด” นั้น “มีความเสี่ยง” ครับ ไม่ว่าจะในสินทรัพย์ประเภทไหนก็ตาม ความเสี่ยงที่ควรรู้จักหลักๆ ก็มี:
* **ความเสี่ยงด้านราคา:** คือราคาของสินทรัพย์ที่เราซื้ออาจจะตกลง ทำให้ขาดทุนได้
* **ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง:** คือการที่สินทรัพย์บางตัวซื้อขายยาก ถ้าอยากจะขายตอนนั้น อาจจะหาคนซื้อไม่ได้ หรือได้ราคาที่ไม่ดี
* **ความเสี่ยงด้านธุรกิจ:** เกิดขึ้นกับหุ้นเป็นหลัก คือบริษัทที่เราลงทุนมีปัญหา ผลประกอบการแย่ลง อาจถึงขั้นล้มละลาย
* **ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ:** พวกปัจจัยใหญ่ๆ อย่าง เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย การเมือง หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้
* **ความเสี่ยงด้านบุคคล:** อันนี้คือความเสี่ยงที่มาจากตัวเราเองครับ เช่น การไม่มีความรู้ ขาดประสบการณ์ การตัดสินใจด้วยอารมณ์ หรือการไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน
แล้วจะป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างไรล่ะ? วิธีจัดการความเสี่ยงก็มีหลายอย่างครับ สิ่งแรกคือ “การกระจายความเสี่ยง” หรือที่เรียกว่า “การจัดพอร์ต” (Portfolio Diversification) คือการแบ่งเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท หลายๆ อุตสาหกรรม หรือหลายๆ ตลาด แทนที่จะทุ่มทั้งหมดไปในสินทรัพย์เดียว เหมือนเราไม่วางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียว ถ้าตะกร้าใบหนึ่งตก ไข่ในตะกร้าอื่นก็ยังปลอดภัยครับ
อีกวิธีสำคัญคือการ “ตั้งจุด Stop Loss” หรือ “จุดตัดขาดทุน” ครับ โดยเฉพาะเวลา “เล่นเทรด” ถ้าซื้อสินทรัพย์มาแล้วราคาตกลงมาถึงจุดที่เรากำหนดไว้ เราจะขายทิ้งทันทีเพื่อจำกัดการขาดทุน ไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ หรืออยากสร้างวินัยในการลงทุน ก็มีกลยุทธ์ที่เรียกว่า “DCA” (Dollar-Cost Averaging) หรือ “การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน” ครับ คือการที่เราลงทุนในสินทรัพย์เดิม ด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน เป็นงวดๆ สม่ำเสมอ เช่น เดือนละ 5,000 บาท ในกองทุนดัชนีทุกวันที่ 1 DCA จะช่วยให้เราซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาเฉลี่ย ทั้งตอนที่ราคาถูกและราคาแพง และสร้างวินัยการลงทุนให้เราในระยะยาวครับ
มาถึงเรื่องการ “เล่นเทรดอนุพันธ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด TFEX อันนี้ต้องบอกเลยว่า “ความเสี่ยงสูงมาก” ครับ โอกาสทำกำไรสูงก็จริง แต่โอกาสเสียหายก็หนักหนาสาหัสเช่นกัน ถ้าคิดจะ “เล่นเทรด” ประเภทนี้ ต้องมีแผนชัดเจนและมี “กฎเหล็ก” ที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดครับ ตามข้อมูลที่ผมได้มา มี 5 กฎเหล็กที่น่าจะเป็นประโยชน์มากครับ
1. **ไม่ควรลงทุนแบบสวนเทรนด์ หากไม่มั่นใจมากพอ:** การพยายามเก็งว่าราคาจะกลับตัว ทั้งๆ ที่เทรนด์หลักยังไปอีกทาง มีโอกาสผิดพลาดสูงมากครับ
2. **ตั้งจุด Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) ให้ชัดเจน:** อันนี้สำคัญมาก ห้ามละเลยเด็ดขาด เพื่อจำกัดความเสียหาย
3. **วางมาร์จิ้น (Margin หรือเงินหลักประกัน) ให้เหมาะสม:** ต้องมีเงินหลักประกันที่เพียงพอสำหรับรองรับความผันผวนของราคา ไม่ใช่ว่าวางน้อยๆ เพื่อหวังใช้ leverage สูงๆ เพราะถ้าผิดทางจะเสียหายหนักและรวดเร็วมาก
4. **ติดตามราคาของสินค้าอ้างอิงอย่างใกล้ชิด:** เพราะมูลค่าของอนุพันธ์ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่มันอ้างอิง (เช่น หุ้น ดัชนี ทองคำ) ต้องอัปเดตข่าวสารและราคาอยู่ตลอด
5. **ดูอายุสัญญาให้แม่นยำ:** สัญญาอนุพันธ์มีวันหมดอายุ ต้องเลือกสัญญาที่มีอายุเหมาะสมกับการคาดการณ์ของเรา และไม่ถือสัญญาจนหมดอายุโดยไม่มีแผน เพราะมันอาจจะกลายเป็นศูนย์ได้
แล้วจะเริ่ม “เล่นเทรด” หรือลงทุนจริงๆ จังๆ ได้ยังไง?
ขั้นตอนแรกคือการ “ศึกษาข้อมูล” ครับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) มีแพลตฟอร์ม e-Learning ที่ดีมากๆ มีคอร์สเรียนฟรีสำหรับ “นักลงทุนมือใหม่” หลายหลักสูตร เช่น “ลงทุนหุ้นฉบับมือใหม่” ที่สอนตั้งแต่พื้นฐาน ผลตอบแทน ความเสี่ยง การวิเคราะห์ และการซื้อขาย หรือคอร์ส “Mindset for Successful Investor” ที่ช่วยปรับวิธีคิดของเราให้พร้อมสำหรับการลงทุนครับ
จากนั้นก็ “เลือกแพลตฟอร์มหรือบริษัทหลักทรัพย์” ที่น่าเชื่อถือ มีเครื่องมือและข้อมูลที่เราต้องการ บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง เช่น บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (Yuanta) หรือ CIMB Thai ก็มีบทวิเคราะห์และคำแนะนำดีๆ ให้เราศึกษาครับ
ก่อนจะใช้เงินจริง ลอง “เปิดบัญชีทดลอง” (Paper Trading Account) เพื่อฝึกฝนก่อนครับ แพลตฟอร์มซื้อขายหลายแห่ง เช่น Settrade Streaming หรือ Webull มีบริการนี้ ให้เราได้ลองซื้อขายด้วยเงินสมมติ โดยไม่เสียเงินจริง เป็นสนามฝึกที่ดีมากๆ
สุดท้ายคือ “เริ่มต้นลงทุน” ครับ โดยกำหนดงบประมาณที่เหมาะสม ไม่ใช่เอาเงินทั้งหมดมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง เริ่มจากน้อยๆ ก่อนก็ได้ครับ และจำไว้เสมอว่าต้องมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์
สรุปแล้ว ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่า “ลงทุน” หรือ “เล่นเทรด” หัวใจสำคัญคือการ “มีความรู้” และ “เข้าใจความเสี่ยง” ครับ การเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะอยู่รอดและทำกำไรในระยะยาวได้ ต้องอาศัยวินัย การศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และการจัดการความเสี่ยงที่ดีเยี่ยมครับ
**⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ** การลงทุนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน อนุพันธ์ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล ล้วนมีความผันผวนและโอกาสในการขาดทุนได้ หากเงินที่คุณมีสภาพคล่องไม่สูงนัก หรือเป็นเงินที่ต้องใช้ในระยะเวลาอันใกล้ การนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมครับ ควรประเมินตัวเองและวางแผนให้ดีก่อนเสมอครับ