ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหนก็ได้ยินแต่คำว่า AI เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นข่าวเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างน้องสมศรีก็ไลน์มาถามว่า “พี่คะ หนูเห็นเค้าพูดถึง ‘หุ้นai’ กันเยอะมากเลยค่ะ มันคืออะไร น่าซื้อไหมคะ?”
คำถามนี้ของน้องสมศรีทำเอาผมยิ้มเลยครับ เพราะมันสะท้อนถึงกระแสที่กำลังมาแรงสุดๆ ในโลกการเงินและการลงทุนยุคนี้ นั่นก็คือเรื่องของ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่กำลังเข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงวงการลงทุนด้วย

ลองนึกภาพตามนะครับ ปกติเวลาเราจะตัดสินใจซื้อหุ้นสักตัว เราต้องดูข้อมูลสารพัด ทั้งผลประกอบการ งบการเงิน ข่าวสารบ้านเมือง ทิศทางอุตสาหกรรม บางคนถึงกับต้องดูกราฟ ดูตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ ซึ่งข้อมูลพวกนี้มีเยอะมากกกก ชนิดที่คนธรรมดาอย่างเราๆ อาจจะประมวลผลไม่หวาดไม่ไหว แต่เจ้า AI เนี่ยแหละครับ คือตัวช่วยที่จะเข้ามาจัดการกับข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์เยอะเลย
ปัจจุบัน AI ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด การประเมินความเสี่ยง การพัฒนากลยุทธ์การลงทุนอัตโนมัติ ไปจนถึงการคาดการณ์ราคาหุ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่าง ChatGPT (แชทจีพีที) ที่เป็นโมเดลภาษา AI ก็เริ่มมีบทบาทในการช่วยสรุปข้อมูลข่าวสาร หรือแม้แต่ให้ไอเดียเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัทต่างๆ แล้ว
ด้วยศักยภาพที่มหาศาลขนาดนี้ ตลาด AI ทั่วโลกจึงมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดครับ มีการคาดการณ์ว่าในปี 2567 นี้ ตลาด AI ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึงกว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่นักลงทุนทั่วโลกจะให้ความสนใจใน ‘หุ้นai’ หรือหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี้เป็นพิเศษ เพราะต่างคาดหวังผลตอบแทนจากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมนี้

พอพูดถึง ‘หุ้นai’ ระดับโลกเนี่ย ชื่อแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาเลยก็คือบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เป็นหัวหอกในการพัฒนา AI ทั้งในส่วนของ Hardware (ฮาร์ดแวร์) และ Software (ซอฟต์แวร์) ครับ อย่างเช่น Nvidia (อินวิเดีย) ที่เป็นเจ้าพ่อชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งสำคัญมากๆ สำหรับการฝึกฝน AI, Microsoft (ไมโครซอฟท์) ที่มีบริการคลาวด์ Azure (อาเชอร์) และลงทุนใน OpenAI (โอเพนเอไอ) ผู้พัฒนา ChatGPT, Alphabet (อัลฟาเบท) บริษัทแม่ของ Google (กูเกิล) ที่มีหน่วยงานวิจัย AI ชั้นนำอย่าง DeepMind (ดีพมายด์), หรือแม้แต่ Amazon (อเมซอน) ที่มีบริการคลาวด์ AWS (เอดับเบิลยูเอส) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับนักพัฒนา AI ทั่วโลก
บริษัทเหล่านี้ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการวิจัยและพัฒนา AI ทำให้หุ้นของพวกเขากลายเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่ต้องการเกาะกระแส ‘หุ้นai’ ครับ ความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มนี้คือไม่ได้มีแค่บริษัทที่ทำ AI โดยตรง แต่ยังรวมถึงบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องและได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของ AI เช่น บริษัทที่ทำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Data Center), บริษัทที่ทำเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) หรือชิปต่างๆ, บริษัทที่พัฒนา Software (ซอฟต์แวร์) ที่ใช้ AI ในการทำงาน เป็นต้น
แล้วในบ้านเราล่ะ มี ‘หุ้นai’ แบบนี้บ้างไหม? ผู้เชี่ยวชาญในไทยก็มองว่ากระแส ‘หุ้นเทค’ ที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 เลยครับ อย่างที่คุณยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เคยให้มุมมองไว้ว่า ในการจัดพอร์ตลงทุนสำหรับปีนี้และปีหน้า ก็ควรพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI ด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่ใช่แค่กระแสแฟชั่น แต่เป็นเมกะเทรนด์ที่ส่งผลต่อการลงทุนในระยะยาว
ทีนี้มาดูเคสที่น่าสนใจมากในตลาดหุ้นไทยครับ คือมีบริษัทจดทะเบียนอยู่บริษัทหนึ่งที่ใช้ Ticker (สัญลักษณ์หุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า AI เป๊ะๆ เลยครับ นั่นคือ บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็น ‘หุ้นai’ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์โดยตรงเหมือนพวก Nvidia หรือ Microsoft

แต่จริงๆ แล้ว ธุรกิจหลักของ บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) คือการผลิตและจำหน่ายฉนวนไฟฟ้าชนิดต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง และพวงมาลัยรถยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่แตกต่างจากเทคโนโลยี AI โดยสิ้นเชิงครับ การที่หุ้นตัวนี้มีสัญลักษณ์ AI ไม่ได้หมายความว่าบริษัททำธุรกิจ AI แต่อย่างใด
ลองดูข้อมูลล่าสุดของหุ้น AI (ตัวนี้ในตลาดหุ้นไทย) ที่ผมรวบรวมมาให้ดูนะครับ (ข้อมูล ณ ประมาณวันที่ 22 เม.ย. 2568)
* ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.28 บาท
* ราคาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย (-2.38%) เช่นเดียวกับรายเดือน (-0.61%) และรายปี (-18.81%)
* ราคาสูงสุดในรอบหลายปีเคยไปถึง 14.88 บาท เมื่อปี 2021
* มูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ประมาณ 2,300 ล้านบาท
* ข้อมูลทางการเงินที่น่าสนใจคืออัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ในปี 2024 ที่สูงถึง 9.29% และปีก่อนหน้าอยู่ที่ 4.65% โดยมีอัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) ปี 2024 ที่ 61.78%
* ค่าเบต้า (Beta) อยู่ที่ 0.55 ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ หมายความว่าราคาหุ้นมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดโดยรวม
* ตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ จากแหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ยังให้สัญญาณเป็นกลางถึงขาย
จะเห็นได้ว่า ‘หุ้นai’ ชื่อเดียวกัน แต่ธุรกิจต่างกันลิบลับ และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาหุ้นก็แตกต่างกันด้วย หุ้น AI ในไทยตัวนี้ได้รับอิทธิพลจากผลประกอบการในอุตสาหกรรมที่ทำอยู่ การจ่ายเงินปันผล และปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับกระแสเทคโนโลยี AI ระดับโลกโดยตรง
นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า การลงทุนในตลาดหุ้นมีความซับซ้อน และมีความเสี่ยงซ่อนอยู่เสมอครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเร็วมากๆ และมีคำศัพท์เทคนิคใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
**ความเสี่ยงที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน ‘หุ้นai’ หรือหุ้นตัวไหนก็ตาม:**
1. **ความผันผวนของราคา:** ราคาหุ้นอาจขึ้นหรือลงแรงมากๆ ได้จากปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น สภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบาย สงคราม หรือแม้แต่แค่ข่าวลือ
2. **ความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินลงทุน:** การลงทุนในตราสารทางการเงินทุกชนิดมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้ ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์
3. **ข้อมูลอาจไม่เรียลไทม์หรือคลาดเคลื่อน:** ข้อมูลที่เราเห็นจากแหล่งต่างๆ อาจไม่ใช่ข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่อัปเดตวินาทีต่อวินาที หรือบางครั้งอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ การพึ่งพาข้อมูลเพื่อการซื้อขายโดยตรงโดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบมีความเสี่ยง
4. **ความเสี่ยงจากการใช้เครื่องมือทางการเงิน:** การซื้อขายด้วยมาร์จิน (Margin Trading) หรือการใช้เงินกู้ยืมจากโบรกเกอร์มาลงทุน จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนให้สูงขึ้นหลายเท่าตัว
5. **ความสับสนจากชื่อหรือสัญลักษณ์:** อย่างที่เราเห็นในเคสของหุ้น AI ในตลาดไทย การมีสัญลักษณ์หุ้นที่เหมือนกับคำที่กำลังเป็นกระแส (อย่าง AI) ไม่ได้หมายความว่าบริษัททำธุรกิจนั้นจริงๆ ผู้ลงทุนต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจธุรกิจจริงๆ ของบริษัทนั้นๆ
สรุปง่ายๆ คือ เทรนด์ AI มาแรงจริง และน่าจับตาในฐานะโอกาสการลงทุนในระยะยาว ทั้งในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก และบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือได้รับอานิสงส์ แต่ก่อนจะโดดเข้าใส่ ‘หุ้นai’ ตัวไหนก็ตาม ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำการบ้านครับ
**ก่อนตัดสินใจลงทุน คุณควรพิจารณา:**
* **รู้จักธุรกิจจริงๆ:** บริษัทนั้นทำอะไรกันแน่ ใช่เทคโนโลยี AI โดยตรง หรือเป็นแค่อุตสาหกรรมที่อาจได้รับอานิสงส์จาก AI? (อย่างเคส AI ตัวที่เราคุยกัน)
* **ศึกษาข้อมูลบริษัท:** ดูงบการเงิน ผลประกอบการ แนวโน้มธุรกิจ แผนการในอนาคต
* **ดูราคาหุ้น:** ราคาน่าสนใจไหม แพงไปหรือยังเมื่อเทียบกับศักยภาพและการเติบโต
* **บริหารความเสี่ยง:** ลงทุนเท่าที่คุณยอมรับการสูญเสียได้ อย่าทุ่มเงินทั้งหมดไปที่หุ้นตัวเดียว ควรจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
* **พิจารณาวัตถุประสงค์การลงทุน:** คุณลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว? หวังผลจากราคาที่พุ่งขึ้น หรือหวังเงินปันผล?
ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนพนัน แต่เป็นการลงทุนที่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจและความอดทนครับ อย่าเพิ่งเชื่อทุกอย่างที่ได้ยินหรือเห็นในโซเชียลมีเดีย ควรหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง และพิจารณาด้วยวิจารณญาณของตัวเอง
สุดท้ายนี้ อยากฝากคำเตือนที่สำคัญมากๆ ครับ
⚠️ **คำเตือน:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ/คะ หากไม่เข้าใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน