สินทรัพย์หมุนเวียนได้แก่ อะไร? ไขความลับสภาพคล่องธุรกิจฉบับเข้าใจง่าย

เคยไหมครับ? นั่งดูงบการเงินบริษัทที่คุณสนใจลงทุน หรือแม้แต่งบง่ายๆ ของธุรกิจตัวเอง แล้วเจอคำว่า “สินทรัพย์หมุนเวียน” (Current Assets)? อ่านแล้วก็ยังงงๆ ตกลงมันคืออะไรกันแน่? ทำไมต้องรู้? แล้วมันสำคัญกับชีวิตเรา (หรือธุรกิจเรา) ยังไง? ในฐานะคนเขียนคอลัมน์การเงินที่คลุกคลีกับตัวเลขและเรื่องราวของธุรกิจมานาน วันนี้ผมจะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเจ้า “สินทรัพย์หมุนเวียน” ให้เข้าใจง่ายๆ สไตล์ชาวบ้านกันครับ ไม่ต้องจบการเงินก็รู้เรื่อง!

เริ่มง่ายๆ เลยนะครับ ลองนึกภาพเงินที่คุณมีในกระเป๋า หรือในบัญชีธนาคารที่คุณกดออกมาใช้ได้ทันที นั่นแหละครับ คือภาพที่ใกล้เคียงกับ “สินทรัพย์หมุนเวียน” ที่สุดในชีวิตประจำวัน คุณใช้มันจ่ายค่าข้าว ค่าน้ำ ค่าเดินทาง ได้ทันที เพราะมันมี “สภาพคล่อง” สูงปรี๊ด! ในโลกธุรกิจและการเงิน “สินทรัพย์หมุนเวียน” ก็คือ ทรัพย์สินต่างๆ ของกิจการที่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็น ‘เงินสด’ ได้อย่างรวดเร็ว หรือคาดว่าจะใช้หมดไป แปลงเป็นเงินสด หรือถูกขายไปภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่ในงบดุล หรือภายใน 1 รอบระยะเวลาการดำเนินงานตามปกติของธุรกิจ (แล้วแต่ว่าอันไหนจะนานกว่า) หัวใจสำคัญของสินทรัพย์กลุ่มนี้คือ “สภาพคล่อง” (Liquidity) ครับ ยิ่งสภาพคล่องสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเอาไปใช้ประโยชน์ได้เร็วเท่านั้น ลองจินตนาการถึงธุรกิจที่ต้องจ่ายค่าของ ค่าแรงทุกวัน ถ้าไม่มีเงินสดหรือสิ่งที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันท่วงที ก็คงไปต่อไม่ไหวใช่ไหมล่ะครับ

ทีนี้มาดูกันว่า เจ้า “สินทรัพย์หมุนเวียน” นี่มีอะไรบ้างในโลกธุรกิจ? ไม่ได้มีแค่เงินสดในลิ้นชักนะครับ แต่มีหลายอย่างเลย หลักๆ ที่เจอบ่อยๆ ก็ประมาณนี้ครับ ไล่เรียงตามระดับความพร้อมใช้ (สภาพคล่อง) ที่สูงมากๆ ไปหาน้อยลงหน่อย: อย่างแรกเลยก็คือ “เงินสด” (Cash) อันนี้ชัดเจนสุด พร้อมใช้จ่ายทันที ไม่มีอะไรสภาพคล่องสูงไปกว่านี้แล้ว ถัดมาคือ “เงินฝากธนาคาร” (Bank Deposits) ก็เหมือนเงินสด แต่เก็บในธนาคาร รวมถึงเช็คที่ถึงกำหนดแล้วที่นำไปเข้าบัญชีได้เลย ต่อมาคือ “รายการเทียบเท่าเงินสด” (Cash Equivalents) พวกนี้คือเงินลงทุนระยะสั้นมากๆ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรระยะสั้น ที่ครบกำหนดภายใน 3 เดือน มีสภาพคล่องสูงลิบลิ่ว เหมือนเงินสดเป๊ะๆ แต่ได้ดอกเบี้ยนิดหน่อย เหนือจากนั้นก็เป็น “เงินลงทุนระยะสั้น” (Short-term Investments) พวกนี้เอาเงินไปลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่ตั้งใจจะถือไว้ไม่เกิน 1 ปี หวังทำกำไรเร็วๆ เช่น ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือแม้แต่ทองคำที่ตั้งใจเก็งกำไรระยะสั้นๆ ก็ถือเป็น “สินทรัพย์หมุนเวียน” ได้ ถ้ามีเจตนาจะขายใน 1 ปี

ยังมี “สินทรัพย์หมุนเวียน” อีกหลายประเภทที่สำคัญไม่แพ้กันครับ เช่น “ลูกหนี้การค้า” (Accounts Receivable) นี่คือเงินที่ลูกค้าติดหนี้เราจากการซื้อสินค้าหรือบริการแบบติดเครดิต คาดว่าจะเก็บเงินได้ใน 1 ปี อันนี้สำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ขายของเงินเชื่อ แต่ระวัง! ถ้ามีลูกหนี้เยอะเกินไป หรือค้างชำระนานผิดปกติ อาจแปลว่าเราเก็บเงินลูกค้าไม่ค่อยได้ หรือลูกค้ามีปัญหาทางการเงิน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนะครับ ถัดไปคือ “ตั๋วรับเงิน” หรือ “ตั๋วเงินรับ” (Notes Receivable) เป็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุว่าเราจะได้รับเงินจากลูกหนี้ภายใน 1 ปี เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืมระยะสั้นๆ คล้ายลูกหนี้การค้า แต่มีหลักฐานเป็นเอกสารทางการมากกว่า แล้วก็มี “เงินให้กู้ยืมระยะสั้น” (Short-term Loans Receivable) คือเงินที่เราให้ผู้อื่นกู้ยืมไป แล้วคาดว่าจะได้รับคืนภายใน 1 ปี ซึ่งอันนี้ต้องระวังเรื่องความเสี่ยงในการไม่ได้คืนด้วย อีกรายการใหญ่ที่สำคัญมากๆ คือ “สินค้าคงเหลือ” หรือ “สินค้าคงคลัง” (Inventory) ซึ่งรวมตั้งแต่ วัตถุดิบที่ยังไม่ใช้ งานระหว่างผลิต และสินค้าสำเร็จรูปที่มีไว้เพื่อจำหน่าย ถ้ากองเป็นภูเขาเลากา ขายไม่ออก อันนี้ก็มีปัญหาเหมือนกันนะ เพราะเงินมันจมอยู่ในสต็อก ไม่ได้หมุนกลับมาเป็นเงินสดครับ นอกจากนี้ยังมี “วัสดุสิ้นเปลือง” หรือ “วัสดุสำนักงาน” (Supplies) เช่น พวกกระดาษ ปากกา หมึกพิมพ์ ที่ซื้อมาไว้ใช้ในออฟฟิศแล้วคาดว่าจะใช้หมดไปใน 1 ปี และ “รายได้ค้างรับ” (Accrued Revenue) คือรายได้ที่เกิดขึ้นแล้วจากการให้บริการหรือขายของ แต่ยังไม่ได้รับเงินสด มีแนวโน้มที่จะได้รับแน่นอนในอนาคต เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากที่ยังไม่ถึงกำหนดจ่าย หรือค่าเช่าที่ยังไม่ถึงกำหนดรับ และสุดท้ายคือ “ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า” หรือ “ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า” (Prepaid Expenses) เช่น ค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปก่อน ค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้า ซึ่งเราจ่ายเงินสดออกไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับประโยชน์ครบถ้วน ถือเป็นสินทรัพย์จนกว่าจะได้รับประโยชน์ครบใน 1 ปีครับ เห็นไหมครับว่ามีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละอันก็มีระดับ “สภาพคล่อง” ไม่เท่ากัน แต่ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ คาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือใช้ประโยชน์หมดไปภายใน 1 ปี หรือรอบการดำเนินงานตามปกติ

แล้วไอ้เจ้า “สินทรัพย์หมุนเวียน” เนี่ย มันสำคัญยังไง? ลองนึกภาพว่าธุรกิจคือคนๆ หนึ่ง สภาพคล่องก็เหมือนเลือดที่ไหลเวียนในร่างกาย ถ้าเลือดน้อยไป ร่างกายก็อ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย “สินทรัพย์หมุนเวียน” นี่แหละคือแหล่งเลือดสำคัญ ช่วยให้ธุรกิจมีเงินสดพอหมุนเวียนจ่ายค่าไฟ ค่าพนักงาน ซื้อของเข้ามาขาย จ่ายหนี้สั้นๆ ที่ต้องถึงกำหนด เพื่อให้การดำเนินงานประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุด เปรียบเหมือนมีเงินสดในกระเป๋าพอใช้จ่ายรายวันนั่นแหละครับ นอกจากนี้ การมี “สินทรัพย์หมุนเวียน” ที่เพียงพอ ยังช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เช่น ลูกค้าจ่ายเงินช้ากว่าปกติ หรือต้องมีการใช้จ่ายฉุกเฉิน ก็ยังมีสภาพคล่องสำรองไว้ใช้ เหมือนมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้ใช้ตอนจำเป็นนั่นแหละ และยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าและสถาบันการเงินด้วยครับ เพราะแสดงให้เห็นว่ากิจการมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น

แล้วในมุมของ ‘นักลงทุน’ ล่ะ? เจ้า “สินทรัพย์หมุนเวียน” สำคัญมากๆ เลยครับ เวลาเราดูงบการเงินบริษัทที่เราจะซื้อ ‘หุ้น’ หรือ ‘หุ้นกู้’ การดูสัดส่วนของ “สินทรัพย์หมุนเวียน” บอกอะไรเราได้หลายอย่างเลยนะครับ มันเป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ “สุขภาพทางการเงิน” (Financial Health) ของบริษัท โดยเฉพาะในระยะสั้น เราใช้มันเพื่อประเมิน “สภาพคล่อง” ของบริษัทว่ามีเงินสดหรือสิ่งที่แปลงเป็นเงินสดได้เร็วพอที่จะจ่ายหนี้สินระยะสั้น หรือค่าใช้จ่ายที่กำลังจะมาถึงหรือไม่ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เราประเมิน “ความเสี่ยง” ในการลงทุนได้ ถ้าบริษัทสภาพคล่องดี ก็มีแนวโน้มที่จะบริหารจัดการได้ดีกว่า ไม่ต้องกู้เงินฉุกเฉิน หรือขายสินทรัพย์ราคาถูกเพื่อเอาเงินมาหมุน นักลงทุนใช้ข้อมูลนี้ประกอบการตัดสินใจลงทุนใน ‘หุ้น’ หรือ ‘หุ้นกู้’ โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจมีความผันผวน หรือเกิดวิกฤต บริษัทที่มี “สินทรัพย์หมุนเวียน” แข็งแกร่ง มักมีความสามารถในการเอาตัวรอดได้ดีกว่า เพราะมี ‘กระแสเงินสด’ (Cash Flow) หมุนเวียนพอที่จะผ่านช่วงยากลำบากไปได้ ลองนึกภาพปี 2008 ช่วงวิกฤตการเงิน บริษัทที่มีสภาพคล่องดีกว่า ย่อมมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่าบริษัทที่เงินช็อตทันทีใช่ไหมครับ

เอ้า! แล้วมันต่างจาก “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” (Non-current Assets) ยังไงล่ะ? ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับ “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” ก็ตรงข้ามกับ “สินทรัพย์หมุนเวียน” นั่นเอง ความแตกต่างง่ายๆ คือ ‘ระยะเวลา’ และ ‘ความง่าย’ ในการเปลี่ยนกลับเป็น ‘เงินสด’ ครับ “สินทรัพย์หมุนเวียน” คือสิ่งที่แปลงเป็นเงินสดได้เร็ว (ภายใน 1 ปี) มีสภาพคล่องสูง ส่วน “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” ก็คือ ทรัพย์สินที่กิจการมีไว้ใช้ดำเนินงานในระยะยาว ไม่ได้ตั้งใจขายหรือเปลี่ยนเป็นเงินสดในเร็ววัน ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลาในการแปลงเป็นเงินสดนานกว่า 1 ปี หรือมีสภาพคล่องต่ำกว่านั่นเองครับ เช่น ที่ดิน อาคาร โรงงาน เครื่องจักรขนาดใหญ่ๆ ที่ซื้อมาเพื่อใช้ผลิตสินค้าในระยะยาว เงินลงทุนระยะยาวในบริษัทอื่น หรือพวกทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ ค่าความนิยม (Goodwill) พวกนี้สภาพคล่องต่ำกว่าเยอะครับ นึกภาพจะขายตึกใหญ่ๆ หรือโรงงานทั้งโรง ใช้เวลานานกว่าจะหาคนซื้อได้ และต้องมีขั้นตอนเยอะกว่าจะจบการซื้อขายใช่ไหมครับ? ดังนั้น “สินทรัพย์หมุนเวียน” จึงเน้นดูเรื่อง “สภาพคล่อง” และการบริหารเงินทุนในระยะสั้น ส่วน “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” จะเน้นเรื่อง ‘การเติบโต’ และการดำเนินงานในระยะยาวของกิจการ

สรุปง่ายๆ ก็คือ “สินทรัพย์หมุนเวียน” เป็นเหมือนพลังงานสำรองระยะสั้นของธุรกิจ ที่บอกเราว่าเขามีเงินสดหรือสิ่งที่แปลงเป็นเงินสดได้เร็วแค่ไหน สำคัญมากๆ ทั้งสำหรับธุรกิจเองในการอยู่รอดและการเติบโตในแต่ละวัน และสำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ ในการประเมินความแข็งแกร่งและความเสี่ยงของบริษัท ก่อนจะตัดสินใจเอาเงินไปร่วมลงทุนครับ สำหรับนักลงทุน การดู “สินทรัพย์หมุนเวียน” ประกอบกับ “หนี้สินหมุนเวียน” (Current Liabilities) ซึ่งก็คือหนี้ที่บริษัทต้องจ่ายคืนภายใน 1 ปี จะช่วยให้เราประเมินสุขภาพทางการเงินระยะสั้นของบริษัทได้ดีขึ้น ลองดูอัตราส่วนง่ายๆ ที่เรียกว่า “อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน” (Current Ratio) ที่เอา “สินทรัพย์หมุนเวียน” ตั้ง แล้วหารด้วย “หนี้สินหมุนเวียน” ถ้าค่ายิ่งสูงกว่า 1 เท่า ก็แปลว่ามีสินทรัพย์ระยะสั้นมากกว่าหนี้ระยะสั้น สภาพคล่องก็ดูดีขึ้น มีความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้นได้มากขึ้น

แต่ก็ไม่ใช่ว่ายิ่งสูงยิ่งดีเสมอไปนะครับ บางที “สินทรัพย์หมุนเวียน” สูงมากๆ อาจจะมาจากลูกหนี้ที่ค้างนานเกินไป หรือสินค้าที่ค้างสต็อกเยอะจนขายไม่ออก ซึ่งพวกนี้แม้จะนับเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน แต่สภาพคล่องจริงๆ อาจจะไม่ดีเท่าที่ควรครับ และ ⚠️ การดู “สินทรัพย์หมุนเวียน” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์งบการเงินทั้งหมดนะครับ ต้องดูงบอื่นๆ ประกอบด้วยเสมอ เช่น งบกำไรขาดทุน (Income Statement) ที่บอกผลการดำเนินงาน และงบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) ที่บอกเงินเข้าเงินออกจริงๆ ของบริษัท และต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมที่บริษัทอยู่ สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และกลยุทธ์ของบริษัทด้วย อย่าเพิ่งตัดสินใจลงทุนแค่ดูตัวเลข “สินทรัพย์หมุนเวียน” ตัวเดียว หรืออัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเพียงอย่างเดียวนะครับ! การเข้าใจส่วนประกอบเหล่านี้ จะช่วยให้เรามองภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและรอบคอบมากขึ้นครับ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง “สินทรัพย์หมุนเวียน” ได้ง่ายขึ้นนะครับ แล้วไว้พบกันใหม่ในคอลัมน์หน้านะครับ!