
สมัยนี้เรื่องการลงทุนหุ้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ๆ หรือต้องโทรหาโบรกเกอร์เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะครับ ยุคดิจิทัลแบบนี้ แค่มีสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว เราก็สามารถ “เทรดหุ้นออนไลน์” ได้ง่ายๆ ทุกที่ทุกเวลา ผ่าน “`แอพลงทุนหุ้น`” เจ๋งๆ ที่มีให้เลือกมากมายในท้องตลาด
ลองนึกภาพดูนะ จากที่เมื่อก่อนถ้าอยากซื้อขายหุ้น ต้องไปเปิดบัญชีที่บริษัทหลักทรัพย์ รอเอกสารเป็นตั้งๆ แล้วก็ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอคอมพ์ หรือบางทีถึงขั้นต้องโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันย่อส่วนลงมาอยู่ในมือถือเราแล้วครับ การเทรดหุ้นออนไลน์ผ่าน `แอพลงทุนหุ้น` เนี่ย สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่ายสุดๆ ผลตอบแทนก็มาจากส่วนต่างราคาที่เราซื้อมากับขายไป (ศัพท์ทางการเงินเรียกว่า Capital Gain) หรือไม่ก็เงินปันผลจากบริษัทที่เราลงทุนนั่นแหละครับ
ทีนี้ พอรู้แล้วว่าการเทรดหุ้นออนไลน์เป็นยังไง และ `แอพเทรดหุ้น` มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นขนาดไหน คำถามต่อมาคือ แล้วจะเลือก `แอพลงทุนหุ้น` ตัวไหนดีล่ะ? มันก็เหมือนเราจะซื้อรถยนต์สักคันนั่นแหละครับ ไม่ใช่แค่ขับได้ แต่ต้องดูฟังก์ชัน ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย แล้วก็ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประกอบด้วย
เกณฑ์ง่ายๆ ในการเลือก `แอพเทรดหุ้น` ที่คนส่วนใหญ่ดูกันก็มีประมาณนี้ครับ:
อย่างแรกเลยคือ **”ฟังก์ชัน”** ครับ `แอพลงทุนหุ้น` ที่ดีควรมีฟังก์ชันครบครัน ตั้งแต่ซื้อ-ขายแบบเรียลไทม์, มีข้อมูล ข่าวสาร บทวิเคราะห์ให้อ่านแบบทันเหตุการณ์, มีเครื่องมือกราฟเทคนิคให้วิเคราะห์แนวโน้มราคาได้, มีอินดิเคเตอร์ช่วยดูสัญญาณต่างๆ หรือบางทีก็มีระบบ Auto Trade หรือตั้งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าอัตโนมัติได้เลย
ต่อมาคือเรื่อง **”ความปลอดภัยและความเชื่อถือ”** อันนี้สำคัญมากๆ นะครับ เพราะมันเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของเราโดยตรง ระบบต้องรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเงินได้ดี มีการเข้ารหัสที่แน่นหนา ไม่ใช่แอปอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่น่าไว้ใจ
แล้วก็เรื่อง **”ความใช้ง่าย ความเสถียร และความรวดเร็ว”** อันนี้ฟีลลิ่งล้วนๆ ครับ แอปต้องไม่ค้าง ไม่เด้งบ่อยๆ เวลาจะส่งคำสั่งซื้อขายก็ต้องไปเร็วทันใจ ไม่งั้นโอกาสดีๆ หลุดมือหมด หรือช่วงตลาดผันผวนแล้วแอปค้างนี่เรื่องใหญ่เลยครับ ก่อนเลือกก็ลองดูรีวิวจากผู้ใช้งานคนอื่นประกอบได้
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดคือ **”โบรกเกอร์ที่รองรับและค่าธรรมเนียม”** บาง `แอพเทรดหุ้น` จะผูกติดกับโบรกเกอร์ที่เราเปิดบัญชีด้วยครับ ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์ก็จะมีค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นที่แตกต่างกันออกไป (ทั้งค่าธรรมเนียมบริษัทหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ หรือค่าธรรมเนียมถอนเงิน) ค่าธรรมเนียมพวกนี้มีผลกับกำไรของเราโดยตรงเลยนะ แถมบางโบรกเกอร์อาจจะให้บทวิเคราะห์หรือฟีเจอร์สแกนหุ้นที่ดีกว่าตามเงื่อนไขของเขาด้วย
มาดู `แอพลงทุนหุ้น` ยอดฮิตในบ้านเรา (อ้างอิงข้อมูลถึงปี 2025 ที่มีการอัปเดตฟีเจอร์บางอย่าง) กันบ้างดีกว่าครับ ตัวแรกที่ต้องพูดถึงเลยคือ **Streaming** ครับ อันนี้เหมือนแอปสามัญประจำบ้านของนักลงทุนไทย พัฒนาโดย Settrade ซึ่งเป็นบริษัทลูกของตลาดหลักทรัพย์ฯ เลย ใช้ได้กับทุกโบรกเกอร์ในไทย
Streaming เป็นแอปหลักที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ใช้เป็นต้นแบบเลย ฟังก์ชันนี่หลากหลาย ครบครัน ทั้งข้อมูลพื้นฐาน กราฟเทคนิค เรียลไทม์ เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ ตั้งแต่เพิ่งเริ่มจนถึงมืออาชีพเลยครับ ข้อดีของเขานี่เยอะแยะเลย ทั้งแสดงข้อมูลหลักทรัพย์ อนุพันธ์แบบเรียลไทม์, มีเครื่องมือวิเคราะห์หลากหลาย ช่วยดูแนวโน้มได้, อินเทอร์เฟซก็ใช้ง่าย ทั้งมือใหม่มือเก่าใช้ได้หมด, มีฟังก์ชันแจ้งเตือนราคาหรือคำสั่งจับคู่, รองรับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA Order) และตั้งเวลาซื้อขายล่วงหน้าอัตโนมัติได้ แถมมีข่าวสาร บทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ให้อ่านด้วย ที่สำคัญคือระบบค่อนข้างเสถียร และมีการปรับปรุงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ อย่างปี 2025 ก็มีรายงานว่าเพิ่มฟีเจอร์แจ้งเตือนราคาผ่าน AI หรือวิเคราะห์กราฟขั้นสูงสำหรับ TFEX และหุ้นไทยเข้ามา แต่ก็มีข้อเสียบ้างนะครับ อย่างค่าธรรมเนียมอาจจะสูงกว่าบางแอปใหม่ๆ นิดหน่อย มีบางตลาดที่อาจเข้าถึงข้อมูลได้จำกัด แล้วก็มีรายงานปัญหาเรื่องการอัปเดตที่ต้องถอนโปรแกรมแล้วติดตั้งใหม่ หรือแอปเด้งออกบ่อยๆ บ้างเหมือนกันครับ โดยรวมแล้ว Streaming เหมาะมากๆ กับนักลงทุนมือใหม่ หรือคนที่ต้องการแอปที่เสถียร ฟังก์ชันครบๆ ในการเทรดหุ้นไทยและอนุพันธ์

อีกแอปยอดนิยมที่คนใช้เยอะคือ **efin Trade Plus** ครับ มาจาก efinanceThai ใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือเลย แอปนี้เขาเด่นเรื่องฟังก์ชัน AI ช่วยวิเคราะห์การลงทุนครับ มีระบบ Auto Trade ที่ตั้งค่าได้หลากหลายสุดๆ แล้วก็แสดงข้อมูลพอร์ตเราได้อย่างละเอียดมากๆ แถมมีข้อมูลเชิงลึกแน่นๆ ทั้งกราฟเทคนิค งบการเงิน ข่าวสารจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทยเองเลย ตอบโจทย์ได้ทั้งสายพื้นฐานที่ชอบดูงบ และสายเทคนิคที่ชอบดูกราฟ ข้อดีของ efin Trade Plus คือเขามีฟังก์ชัน Learning History ที่ใช้ AI วิเคราะห์จุดอ่อนการลงทุนที่เราเคยพลาดมา, Auto Trade ตั้งค่าได้หลายแบบ, ข้อมูลพอร์ตละเอียด, แจ้งเตือนกิจกรรมซื้อขายประจำวันได้, กราฟ งบ ข่าว ครบ, อินเทอร์เฟซก็เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ระบบเสถียร รวดเร็วทันใจ และมีการปรับปรุงเพิ่มฟีเจอร์แจ้งเตือนข่าวสำคัญเกี่ยวกับหุ้นแบบทันทีเข้ามาในปี 2025 ด้วยครับ ส่วนข้อเสีย อาจจะมีค่าธรรมเนียมบางอย่างที่แตกต่างกันไปตามแพ็กเกจ และสำหรับผู้เริ่มต้นบางฟังก์ชันอาจจะดูซับซ้อนไปนิดนึงครับ แอปนี้เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับที่ต้องการเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกและข้อมูลที่ครบถ้วนจริงๆ
มาดู `แอพลงทุนหุ้น` สาย Fintech น้องใหม่ที่มาแรงอย่าง **Liberator** กันบ้างครับ แอปนี้เขามาพร้อมสโลแกนเด็ด คือ ค่าคอมมิชชั่น 0% สำหรับหุ้นไทย! คือเราจ่ายแค่ค่าธรรมเนียมตลาดและ VAT เท่านั้นเอง ช่วยลดต้นทุนนักลงทุนได้เยอะมากๆ ครับ นอกจากเรื่องค่าคอมฯ ที่เป็นจุดเด่น Liberator เขาก็มีเทคโนโลยี AI ช่วยคัดกรองหุ้นที่น่าสนใจให้เราดูด้วย มีเครื่องมือวิเคราะห์กราฟหลากหลาย รวมทั้ง Timeframe สั้นๆ แบบ 15 นาทีก็มีนะ ที่น่าสนใจคือสามารถทดลองเทรดได้ก่อนลงเงินจริง มี Stop Order ตั้งล่วงหน้าได้ด้วย แล้วก็มักจะมีโปรโมชั่นเทรดฟรีค่าคอมฯ ในช่วงแรกหลังเปิดพอร์ตด้วยครับ ถ้าใครเน้นเรื่องลดต้นทุนค่าธรรมเนียม Liberator นี่น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ครับ (ข้อมูลดิบที่ได้มาไม่ได้ระบุข้อเสียชัดเจน อาจจะต้องลองศึกษาเพิ่มเติมเรื่องฟังก์ชันอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่ครบเท่าแอปเก่าแก่)
อีกแอปที่น่าจับตามองคือ **Dime!** ครับ มาจากบริษัทหลักทรัพย์ KKP Dime (ภายใต้เกียรตินาคินภัทร) เดิมทีแอปนี้จะเน้นเรื่องการลงทุนหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีจุดเด่นที่ให้ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ได้โดยตรงด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำที่ต่ำมากๆ คือเริ่มต้นแค่ 50 บาทเท่านั้นเองครับ ฟังไม่ผิดครับ ห้าสิบบาท! แต่ตอนนี้ Dime! ได้ขยายมาลองรับการซื้อขายหุ้นไทยแล้วด้วยนะครับ แถมในปี 2025 ก็มีรายงานว่าเพิ่มสินทรัพย์ใหม่ๆ อย่าง ETF และกองทุนรวมเข้ามาแล้วด้วย จุดเด่นของ Dime! เลยคือค่าธรรมเนียมค่อนข้างต่ำ อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย ทันสมัย เริ่มต้นลงทุนง่ายด้วยเงินน้อยๆ สินทรัพย์ก็หลากหลายขึ้น ซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ทั้งในและนอกเวลาทำการ แถมซื้อหุ้นสหรัฐฯ ได้ด้วยเงินบาทโดยไม่ต้องแลกเงินเองให้วุ่นวาย แต่ข้อเสียคือแม้จะเริ่มมีหุ้นไทยแล้ว แต่ตัวเลือกก็ยังน้อยกว่าแอปอื่นๆ ที่เน้นหุ้นไทยเป็นหลัก และเนื่องจากเป็นแอปใหม่ ฟีเจอร์บางอย่างอาจจะยังไม่ครอบคลุมเท่าแอปที่เปิดมานานกว่าตามข้อมูลปี 2025 ครับ Dime! เลยเหมาะมากๆ กับคนที่อยากเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศ ด้วยเงินไม่มาก และต้องการแอปที่ใช้งานง่ายมากๆ ครับ

นอกเหนือจาก `แอพเทรดหุ้น` ไทยที่เราคุ้นเคยแล้ว บางทีนักลงทุนหลายคนก็อยากจะกระจายความเสี่ยงหรือหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งก็มี `แอพลงทุนหุ้น` หรือแพลตฟอร์มที่รองรับการลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะด้วยครับ
อย่าง **InnovestX** นี่เรียกว่าเป็นแอปเดียวที่รวมสินทรัพย์หลากหลายมากๆ ครับ มาจากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (ชื่อเดิม SCBS ของแบงก์ไทยพาณิชย์) แอปนี้ให้ลงทุนได้ครบจบในที่เดียวจริงๆ ครับ ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ (รองรับถึง 31 ตลาดทั่วโลก), กองทุนรวม (กว่า 2,000 กอง จาก 21 บลจ. รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษี), กองทุนต่างประเทศ, สินทรัพย์ดิจิทัล (อย่าง Bitcoin, Ethereum) แถมมี Intelligent Portfolios ที่เป็นระบบบริหารพอร์ตอัตโนมัติให้ด้วย ที่เด็ดคือ InnovestX มีการอัปเกรดฟีเจอร์สำหรับเทรดหุ้นนอกโดยเฉพาะในปี 2025 ให้ข้อมูล Real-time จาก Nasdaq และตลาดอื่นๆ มี Advisory ให้คำแนะนำ กลยุทธ์ ข่าวสาร หรือ Invest Ideas น่าสนใจ มีเครื่องมือล้ำหน้าอย่าง Conditional Order สำหรับหุ้น US/HK, Price Alert, Portfolio Analytic หรือกราฟ Built-in จาก TradingView แถมแลกเงินข้ามสกุลได้ทันทีในแอปเลยครับ ข้อดีคือลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์และหลายประเทศในแอปเดียวจริงๆ มี Intelligent Portfolios ช่วยบริหารพอร์ต, หน้าตาแอปน่าใช้ ใช้งานง่าย, มีอัปเดตข้อมูล บทวิเคราะห์สม่ำเสมอ, เครื่องมือสำหรับตลาดต่างประเทศนี่ครบครันสุดๆ เปิดบัญชีครั้งเดียวลงทุนได้หมด (เชื่อมกับ SCB Easy ได้ด้วย) และระบบความปลอดภัยระดับโลกครับ
นอกจากนี้ก็ยังมีแอปอื่นๆ ที่เน้นตลาดต่างประเทศ อย่าง **Mitrade** ที่เป็นโบรกเกอร์ CFD รองรับการเทรดสินทรัพย์หลากหลายในรูปแบบ CFD ค่าธรรมเนียมต่ำ ใช้ง่าย แต่ไม่รองรับ MT4/MT5 หรือ **Interactive Broker** แพลตฟอร์มระดับโลก เข้าถึงตลาดได้กว่า 150 แห่งทั่วโลก ค่าคอมฯ ต่ำ แต่อาจจะซับซ้อนสำหรับมือใหม่ และ **Webull** ที่เน้นนักลงทุนรุ่นใหม่ มีข้อมูล Real-time ซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง เครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึก หน้าจอปรับแต่งได้ และมีสินทรัพย์หลากหลายครับ
นอกจาก `แอพเทรดหุ้น` ที่ใช้ซื้อขายโดยตรงแล้ว ยังมีแอปอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับการลงทุนและการบริหารจัดการเงินของเราด้วยนะครับ อย่าง **AomWise** ที่ช่วยเรื่องการออมและลงทุนให้ง่ายขึ้น, **Streaming Click2Win** อันนี้ดีมากๆ สำหรับมือใหม่เลยครับ เป็นแอปพลิเคชันจำลองการเทรดหุ้น ให้เราได้ลองฝึกดูข้อมูล ส่งคำสั่งในตลาดจำลองก่อนลงสนามจริงเจ็บจริง, **SET App** จากตลาดหลักทรัพย์ฯ เอง เป็นแหล่งข้อมูลความรู้การลงทุน มีกิจกรรม สัมมนา คลิปย้อนหลังให้เรียนรู้ได้, **Settrade App** ก็ให้ข้อมูล เครื่องมือสำหรับการลงทุน ฝึกฝน ติดตามข้อมูลหลักทรัพย์ กองทุน ข่าวสาร บทความต่างๆ และ **Happy Money App** ที่ช่วยบริหารจัดการเงินส่วนตัว สร้างเงินออม บันทึกรายรับรายจ่าย สินทรัพย์หนี้สิน วิเคราะห์สุขภาพการเงิน ให้คำแนะนำวางแผนด้านต่างๆ ครับ แอปพวกนี้ใช้คู่กับ `แอพลงทุนหุ้น` ตัวหลักของเราได้เลย
สรุปแล้ว การเลือก `แอพลงทุนหุ้น` ก็เหมือนกับการเลือกเครื่องมือคู่ใจในการเดินทางสู่โลกการลงทุน ไม่มีแอปไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน มีแต่แอปที่เหมาะสมกับความต้องการและสไตล์การลงทุนของเราที่สุดครับ ถ้าเพิ่งเริ่มต้น อยากลองสนามจำลองก่อน ก็ไปที่ Streaming Click2Win ก่อนได้เลย ถ้าเน้นหุ้นไทย อยากได้ฟังก์ชันครบๆ เสถียรๆ แอป Streaming หรือ efin Trade Plus ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ถ้าเน้นลดต้นทุนค่าคอมฯ ก็มองไปที่ Liberator ถ้าอยากเริ่มต้นด้วยเงินน้อยๆ หรือสนใจหุ้นต่างประเทศ Dime! ก็ตอบโจทย์ หรือถ้าอยากได้แอปเดียวจบ ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลก InnovestX ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆ ครับ
คำแนะนำง่ายๆ คือ:
1. **ลองใช้แอปจำลอง** อย่าง Streaming Click2Win ก่อน เพื่อให้คุ้นเคยกับการส่งคำสั่งและดูข้อมูล
2. **ศึกษาฟังก์ชันและค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์** แต่ละแห่ง เพราะมีผลต่อต้นทุนและเครื่องมือที่คุณจะได้ใช้
3. **เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย** ก่อน เมื่อคุ้นเคยแล้วค่อยเพิ่มเงินลงทุน
⚠️ **ข้อควรระวัง:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน และควรลงทุนในวงเงินที่ยอมรับความเสี่ยงได้นะครับ อย่าลืมว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง มีโอกาสทั้งกำไรและขาดทุนเสมอ การเลือก `แอพลงทุนหุ้น` เป็นแค่เครื่องมือสำคัญ แต่การศึกษาหาความรู้และวางแผนการลงทุนที่ดีคือสิ่งสำคัญที่สุดครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความสุขและได้ผลตอบแทนที่ดีนะครับ!