
เพื่อนซี้ชื่อ “น้องเม่า” เพิ่งไลน์มาถามผมเมื่อเช้าว่า “พี่คอลัมนิสต์คะ หนูอยากลงทุนให้เงินงอกเงย แต่ไม่อยากเฝ้าจอทุกวัน ไม่เก่งกราฟ ไม่ค่อยมีเวลา ควรเริ่มตรงไหนดีคะ?” คำถามนี้ทำเอาผมนึกย้อนไปถึงยุคที่คนไทยฮิตกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง LTF (Long Term Equity Fund) กันงอมแงม เพื่อหวังทั้งเงินออมระยะยาวและได้คืนภาษี แต่ก็นั่นแหละครับ โลกการเงินมันไม่เคยหยุดนิ่ง พอมาถึงวันนี้ LTF เก่าๆ ก็หมดสิทธิ์ลดหย่อนภาษีไปแล้วสำหรับเงินที่ลงทุนใหม่หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2562 แล้วอย่างนี้คนที่อยากลงทุนยาวๆ แบบน้องเม่าควรทำยังไงต่อล่ะ?
จริงๆ แล้ว การลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะใน “หุ้นระยะยาว” ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่มองหาความมั่งคั่งที่มั่นคงในอนาคต ต่างจากการเก็งกำไรระยะสั้นที่ต้องอาศัยจังหวะตลาด การลงทุนหุ้นระยะยาวคือการที่เราเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการจริงๆ ถือหุ้นของบริษัทที่เราเชื่อมั่นในศักยภาพ เติบโตไปด้วยกันกับบริษัทนั้น พูดง่ายๆ คือ ซื้อแล้วลืมไปเลย (แต่ก็ไม่ใช่ลืมจริงๆ นะ ยังต้องติดตามบ้าง) กลยุทธ์นี้เหมาะกับคนที่วางแผนชีวิตระยะยาว อยากมี Passive Income หรือเงินปันผลใช้ตอนเกษียณ แถมยังมีความผันผวนระยะสั้นต่ำกว่าการเทรดบ่อยๆ ด้วย ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ก่อนจะกระโดดเข้าไปลงทุน เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อน สำรวจข้อมูลว่าเราพร้อมแค่ไหน ทั้งความรู้และสภาพจิตใจ และที่สำคัญสุดๆ ต้องใช้ “เงินเย็น” ครับ เงินเย็นคือเงินที่เรามั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เงินค่าเทอมลูก หรือเงินผ่อนบ้าน เพราะถ้าต้องรีบใช้เงินตอนตลาดไม่ดี อาจจะต้องขายขาดทุนได้ ซึ่งเงินส่วนนี้ถ้าเสียไป ก็จะไม่กระทบกับการใช้ชีวิตของเรา พูดกันตรงๆ คือ เป็นเงินที่พร้อมจะแช่แข็งไปยาวๆ นั่นเอง
ทีนี้มาดูกันว่าถ้าอยากลงทุน “หุ้นระยะยาว” เราจะเลือกหุ้นแบบไหนดี จากข้อมูลและคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ มีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ที่นักลงทุนระยะยาวมักให้ความสนใจครับ หนึ่งคือ หุ้นกิจการขนาดใหญ่ ที่มีผลการดำเนินงานดี ฐานะการเงินมั่นคง เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก ไม่ว่าจะเจอพายุแบบไหนก็ยังยืนหยัดได้ ส่วนใหญ่มักอยู่ในกลุ่มดัชนี SET50 พวกธุรกิจพลังงาน ธนาคาร สื่อสาร ค้าปลีก ขนส่ง ที่เราเห็นกันคุ้นตาในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ สองคือ หุ้นเติบโต (Growth Stock) อันนี้เหมือนต้นกล้าที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด บริษัทพวกนี้มักจะลงทุนหนักกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ขยายนวัตกรรม เปิดตลาดใหม่ๆ ทำให้รายได้และกำไรเติบโตสูงกว่าตลาดมากๆ แต่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ก็มักจะสูงตามความคาดหวังไปด้วย ซึ่งก็มีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย หากการเติบโตไม่เป็นไปตามคาด และกลุ่มที่สามคือ หุ้นปันผล (Dividend Stock) นี่เหมือนต้นไม้ที่ออกผลให้เก็บกินได้สม่ำเสมอ บริษัทเหล่านี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลคืนผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่อัตราการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) จะไม่ต่ำกว่า 30-50% และมีผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) มากกว่า 5% ต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ที่เข้ากระเป๋าเราโดยตรงโดยไม่ต้องขายหุ้นเลยครับ การเลือกหุ้นกลุ่มไหน หรือจะผสมกัน ก็ต้องกลับมาดูที่ความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ และเป้าหมายการลงทุนของเรานั่นแหละครับ

นอกจากหุ้นรายตัวแล้ว “กองทุนรวม” ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ หรือคนที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลหุ้นรายตัว กองทุนรวมคือการระดมเงินจากนักลงทุนหลายๆ คนมารวมกัน แล้วให้ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ แทนเรา ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการเลือกลงทุนในหุ้นตัวเดียวโดดๆ กองทุนรวมมีหลายประเภทตามนโยบายการลงทุนและความเสี่ยงครับ ที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับการลงทุนระยะยาวและสิทธิประโยชน์ทางภาษีก็มีอยู่หลายกอง อย่างที่บอกไปว่า LTF เดิมได้ถูกยกเลิกสิทธิ์ลดหย่อนภาษีใหม่แล้ว แต่รัฐบาลก็ได้ออกมาตรการมาใหม่คือ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งซื้อได้ตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2567 (ตามข้อมูลอ้างอิง) และ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สองกองทุนนี้ก็ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข นอกจากนี้ยังมี กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่เน้นการออมเพื่อวัยเกษียณ หากลงทุนครบตามเงื่อนไขก็ไม่ต้องนำกำไรจากการขายคืนมารวมคำนวณภาษีครับ แต่ต้องระวังให้ดีนะครับ การลงทุนในกองทุนพวกนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาถือครอง อาจจะต้องคืนภาษีที่เคยลดหย่อนไปพร้อมเงินเพิ่มด้วยครับ การลงทุนในกองทุนรวมเหล่านี้ถือเป็นอีกวิธีในการลงทุน “หุ้นระยะยาว” หรือสินทรัพย์อื่นๆ ผ่านผู้เชี่ยวชาญครับ
พูดถึงกลยุทธ์การลงทุน ไม่ได้มีแค่การเลือกสินทรัพย์เท่านั้นนะครับ วิธีซื้อก็สำคัญไม่แพ้กัน สำหรับการลงทุนระยะยาวที่เหมาะกับคนไม่ชอบจับจังหวะตลาด หรือไม่มีเวลาเฝ้าจอดูราคา แนะนำกลยุทธ์ DCA หรือ Dollar Cost Averaging ครับ ชื่อภาษาอังกฤษอาจจะดูซับซ้อน แต่หลักการง่ายมากๆ คือการทยอยลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กันทุกงวด ไม่ว่าจะรายเดือน รายไตรมาส โดยไม่สนใจว่าตอนนั้นราคาหน่วยลงทุนหรือราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง ข้อดีคือช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนของเรา ทำให้ได้ราคาเฉลี่ยที่ไม่แพงเกินไป โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดผันผวน หรือเข้าสู่ “ตลาดหมี” (Bear Market) ที่ราคาหุ้นลงต่อเนื่อง เราก็จะได้ซื้อของดีราคาถูกลงมาเรื่อยๆ แถมยังช่วยสร้างวินัยในการออมและการลงทุนให้เราได้ด้วยครับ อีกกลยุทธ์คือ Market Timing หรือการลงทุนแบบเงินก้อน (Lump Sum) อันนี้ต้องอาศัยความสามารถในการประเมินและคาดการณ์ทิศทางตลาด ทั้งปัจจัยพื้นฐาน เศรษฐกิจ และเทคนิค เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อในราคาที่คิดว่าเหมาะสม กลยุทธ์นี้เหมาะกับผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาดค่อนข้างสูง มีเงินก้อนพร้อม และรอจังหวะได้ครับ แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เพิ่งเริ่มต้น DCA มักจะเป็นมิตรและใช้งานง่ายกว่าครับ
นอกเหนือจากหุ้นและกองทุนรวมแล้ว สินทรัพย์อื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาวก็มีอีก เช่น ตราสารหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนเป็นรายได้ประจำ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) การลงทุนในคริปโตก็สามารถทำได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวครับ วิธีที่เรียกว่า HODL ก็คือการถือครองเหรียญไว้ในระยะยาวโดยไม่ขายแม้ราคาจะผันผวน หรือการทำ Staking เพื่อรับผลตอบแทนจากการฝากเหรียญไว้ในระบบ แต่สินทรัพย์พวกนี้ก็มีความเสี่ยงและความผันผวนที่แตกต่างกันไปครับ รวมถึงตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งเป็นสัญญาทางการเงินที่ใช้บริหารความเสี่ยงได้ แต่ก็มีความซับซ้อนสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีครับ

จากข้อมูลที่มีการคาดการณ์แนวโน้มตลาดสำหรับปี 2025 จากแหล่งอ้างอิงบางแห่ง ชี้ว่าตลาดอาจมีแนวโน้มชะลอตัวลงทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจฟังดูไม่ดี แต่สำหรับนักลงทุน “หุ้นระยะยาว” แล้ว นี่อาจเป็นโอกาสทองในการเลือกเข้าลงทุนในหุ้นดีๆ ที่ราคาปรับตัวลงมาให้ซื้อได้ถูกลง เหมือนช่วงลดราคาสินค้าคุณภาพดีนั่นแหละครับ และตัวอย่างหุ้นต่างประเทศที่ถูกมองว่ามีศักยภาพเติบโตดีในระยะยาวก็มีหลายตัว เช่น Apple Inc. (AAPL) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่แข็งแกร่งด้วยผลิตภัณฑ์และระบบนิเวศของตัวเอง เตรียมปรับปรุงซอฟต์แวร์ใหญ่ๆ ในปี 2025 หรือ NVIDIA (NVDA) ผู้นำด้านเทคโนโลยี AI GPU ที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับการฝึกโมเดล Deep Learning แม้จะมีการแข่งขันสูง แต่ก็ยังมุ่งพัฒนา AI หุ่นยนต์ และยานยนต์อัตโนมัติครับ นอกจากนี้ยังมี Alphabet (GOOGL) บริษัทแม่ของ Google ที่ทุ่มทุนมหาศาลใน AI เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และ Microsoft (MSFT) ที่ไม่ได้มีแค่ Windows หรือ Microsoft Office แต่ยังมี Microsoft Azure บริการคลาวด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และกำลังเปิดตัวบริการใหม่ๆ ในปี 2568 อย่าง Microsoft 365 Backup Service ครับ อีกตัวที่น่าสนใจคือ Airbnb (ABNB) แพลตฟอร์มจองที่พักที่ใหญ่มากๆ และกำลังวางแผนขยายบริการให้ครอบคลุมทุกด้านของการเดินทาง โดยจะลงทุนเปิดตัวบริการใหม่ๆ บนแอปในปี 2025 ครับ ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงไอเดียจากแหล่งข้อมูลนะครับ ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อตาม เพราะก่อนลงทุนจริง ต้องศึกษาข้อมูลบริษัท งบการเงิน แนวโน้มอุตสาหกรรม และประเมินความเสี่ยงด้วยตัวเองให้ดีก่อนครับ
สุดท้ายนี้ อยากจะย้ำอีกครั้งนะครับว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน” นี่ไม่ใช่แค่คำเตือนตามกฎหมาย แต่เป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนเลยครับ เราต้องรู้จักตัวเอง ไลฟ์สไตล์ของเรา รับความเสี่ยงได้แค่ไหน การมองหาผลตอบแทนต้องมองควบคู่ไปกับความเสี่ยงเสมอ อย่าเห็นแต่ตัวเลขกำไรที่สวยหรูเพียงอย่างเดียว การมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน เหมาะสมกับตัวเรา เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ครับ ศึกษาข้อมูลสินทรัพย์ที่เราจะลงทุนให้ละเอียด ทั้งผลการดำเนินงานในอดีต (ที่ไม่ได้การันตีอนาคตนะ) และการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต รวมถึงแหล่งที่มาของข้อมูลที่เราศึกษา และคำเตือนต่างๆ สำหรับนักลงทุน เหมือนเวลาจะข้ามถนน ก็ต้องมองซ้าย มองขวาให้ดีก่อนก้าวออกไปครับ การลงทุน “หุ้นระยะยาว” ก็เหมือนกัน เป็นเส้นทางที่ต้องใช้ความอดทน วินัย และการศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่องครับ ถ้าทำได้ถูกวิธี การเดินทางบนเส้นทางนี้ก็จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้เราได้อย่างยั่งยืนแน่นอนครับ ขอเป็นกำลังใจให้นักลงทุนทุกคนที่กำลังเดินทางสายนี้ครับ