
เคยสงสัยไหมว่า… เวลาเราเดินซูเปอร์มาร์เก็ต หยิบข้าวของใส่ตะกร้า หรือแม้แต่สั่งอาหารผ่านแอปเดลิเวอรี่ เรากำลังอุดหนุนธุรกิจอะไรอยู่บ้าง? ใช่แล้วครับ ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้น “อาหาร” นี่แหละ ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือจะแย่ คนเราก็ยังต้องกินต้องใช้ ทำให้ “อุตสาหกรรมอาหาร” เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีเสน่ห์น่าจับตาสำหรับนักลงทุนเสมอมาครับ โดยเฉพาะในบ้านเราที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครัวโลก
ถ้าลองมองภาพใหญ่ดู ข้อมูลล่าสุด ณ กลางเดือนมิถุนายน 2568 นี้ ชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารไทยมีบทบาทสำคัญมากในเวทีโลก การส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อน แม้บางช่วงจะเจอความท้าทาย แต่ภาพรวมแล้วความต้องการยังมีสูงต่อเนื่องทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว การท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก ยิ่งส่งผลดีต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน
ตัวเลขจากปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่โลกกำลังปรับตัวหลังโควิด-19 ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการส่งออกสินค้าอาหารของไทยที่โดดเด่นทีเดียวครับ มูลค่าส่งออกพุ่งไปถึงประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ขยายตัวถึง 11.8% ทำให้ไทยยังคงเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 13 ของโลก ตลาดสำคัญของเราก็มีตั้งแต่จีน (อันดับ 1) ซึ่งโตระเบิดถึง 50% หลักๆ มาจากผลไม้สดและแป้งมันสำปะหลัง รองลงมาก็คือกลุ่มประเทศ CLMV และญี่ปุ่น แถมยังมีตลาดดาวรุ่งอย่างอินเดียที่โตสูงถึง 219.7% จากน้ำมันปาล์ม ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าสินค้าเกษตรและอาหารไทยยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก ปัจจัยหนุนก็มีหลายอย่างครับ เช่น ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่สูงขึ้นในช่วงนั้น เงินบาทที่อ่อนค่าเอื้อต่อผู้ส่งออก ความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในหลายประเทศ
ทีนี้ ถ้าเราในฐานะนักลงทุนอยากจะเข้าไปทำความรู้จักกับหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดหุ้นไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เราจะหากลุ่มนี้เจอได้ที่ไหน? ตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาจะมีการจัดหมวดหมู่หุ้นไว้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจ เพื่อให้นักลงทุนดูภาพรวมได้ง่ายขึ้น ซึ่งหุ้นที่มีพื้นฐานธุรกิจคล้ายกันก็จะถูกจัดไว้ด้วยกัน และมีดัชนีราคาของกลุ่มอุตสาหกรรมหรือหมวดธุรกิจนั้นๆ สะท้อนการเคลื่อนไหว

สำหรับ “กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร” ซึ่งมีสัญลักษณ์ดัชนีคือ .AGRO ใน SET เนี่ย เขาก็จะแบ่งออกเป็น 2 หมวดธุรกิจย่อยๆ ครับ คือ
1. **AGRI (ธุรกิจการเกษตร):** อันนี้ก็จะรวมบริษัทที่ทำเรื่องการเพาะปลูก ปศุสัตว์ อาหารสัตว์ อะไรทำนองนี้
2. **FOOD (อาหารและเครื่องดื่ม):** หมวดนี้จะเป็นพวกที่แปรรูปอาหาร ผลิตเครื่องดื่ม ร้านอาหาร เครื่องปรุงรสต่างๆ
พอเห็นภาพรวมแล้ว เรามาดูกันหน่อยว่าในกลุ่ม FOOD นี่มีบริษัทไหนที่น่าสนใจบ้าง โดยเฉพาะพวกที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกหรือมีธุรกิจในต่างประเทศ หรือเป็นที่รู้จักในวงการอาหาร อย่างที่หลายแหล่งข้อมูลทั้งจาก Settrade, FinSpace และลงทุนศาสตร์ ได้รวบรวมไว้ มีตัวอย่างหลายบริษัทเลยครับ:
* ถ้าพูดถึงบริษัทที่มีรายได้ส่งออกสูงๆ ก็จะมีชื่อคุ้นหูอย่าง **CPF** (บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)) ที่ทำธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ มีสาขาอยู่ 17 ประเทศ และส่งออกไปกว่า 40 ประเทศ หรือ **TU** (บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)) ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก ไม่ได้ทำแค่ปลาทูน่ากระป๋อง แต่ขยายไปธุรกิจอาหารสัตว์และบรรจุภัณฑ์ด้วย
* ลูกหม้อของ TU ที่มาแรงมากๆ ก็คือ **ITC** (บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) อันนี้รับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง (OEM) ส่งออกเกือบทั้งหมด 99% ตลาดหลักอยู่ที่ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเทรนด์สัตว์เลี้ยงมาแรงแค่ไหน
* ยังมี **ASIAN** (บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) ผู้นำส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอีกราย และยังทำธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง อาหารสัตว์น้ำ ทูน่าด้วย หรือ **SUN** (บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน)) อันนี้เป็นเบอร์หนึ่งผู้ผลิตและส่งออกข้าวโพดหวานแปรรูป รายได้ส่งออกปาไป 86% เติบโตตามเทรนด์สุขภาพที่คนใส่ใจมากขึ้น
* นอกจากนี้ ก็ยังมีบริษัทอื่นๆ อีกหลากหลายรูปแบบภายใต้หมวด AGRI และ FOOD เช่น
* กลุ่มผลิตเครื่องดื่ม: อย่าง คาราบาว (CBG), โอสถสภา (OSP) (ส่วนบริษัทต่างประเทศที่เราคุ้นชื่ออย่าง The Coca-Cola Company (KO – สหรัฐฯ) หรือ PepsiCo, Inc. (PEP – สหรัฐฯ) ก็เป็นตัวอย่างของยักษ์ใหญ่ในวงการนี้ในระดับโลก)
* กลุ่มผลิตน้ำตาล: น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR), น้ำตาลขอนแก่น (KSL)
* กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร: ไมเนอร์กรุ๊ป (MINOR), M, AU (After You)
* กลุ่มอาหารพร้อมทาน/ขนม: ICHI, TKN, TFMAMA
จะเห็นว่าแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ธุรกิจก็แตกต่างกันไปตามรูปแบบสินค้าและบริการ การทำความเข้าใจโมเดลธุรกิจของแต่ละบริษัทจึงสำคัญมากๆ ครับ
แล้วถ้าเราสนใจจะลงทุนใน “หุ้นกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร” จริงๆ เราต้องดูอะไรบ้าง? ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแนะนำให้พิจารณาปัจจัยเหล่านี้ครับ:
1. **วัฏจักรราคาสินค้าโภคภัณฑ์:** สินค้าเกษตรหลายอย่างเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่ราคาขึ้นลงตามกลไกตลาดโลกและปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพอากาศ โรคระบาด การผลิต ผลประกอบการของบริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุดิบเหล่านี้ก็จะผันผวนตามไปด้วย เราต้องพอเข้าใจวัฏจักรนี้เพื่อคาดการณ์แนวโน้มกำไร
2. **อัตราแลกเปลี่ยน:** ปัจจัยนี้มีผลโดยตรงต่อบริษัทที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกอย่างที่เห็นในตัวเลขปี 2564 ถ้าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่รับมา (เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ) เมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท รายได้ก็จะดูดีขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าบาทแข็งค่าก็อาจเป็นความท้าทาย

3. **รูปแบบธุรกิจ (Business Model):** อย่างที่บอกไปว่าในกลุ่ม AGRO มีธุรกิจย่อยๆ เพียบ ตั้งแต่คนเลี้ยงหมู ทำฟาร์มไก่ ผลิตอาหารสัตว์ คนแปรรูปเนื้อสัตว์ ทำปลากระป๋อง ทำเครื่องปรุงรส หรือเปิดร้านอาหาร รายได้หลักมาจากไหน ต้นทุนคืออะไร โมเดลธุรกิจต่างกันมาก การวิเคราะห์ก็ต้องต่างกัน
4. **ปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิด:** อุตสาหกรรมนี้อ่อนไหวต่อเรื่องที่ควบคุมไม่ได้พอสมควรครับ ทั้งโรคระบาดในสัตว์หรือพืช สงครามที่ส่งผลต่อต้นทุนขนส่งและพลังงาน สภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติ และราคาวัตถุดิบต่างๆ ที่พุ่งขึ้น
5. **เทรนด์และนวัตกรรม:** โลกเปลี่ยน ผู้บริโภคเปลี่ยน หันมาสนใจสุขภาพ อาหารจากพืช (plant-based) หรืออาหารโปรตีนทางเลือกมากขึ้น บริษัทไหนตามเทรนด์ทัน พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ได้ ทั้งในแง่สินค้า การลดต้นทุน หรือการสร้างรายได้ใหม่ๆ ก็มีโอกาสเติบโตสูง
และที่มาแรงแซงโค้งในช่วงหลังๆ คือเรื่องของ **ปัจจัย ESG** ครับ ย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (ธรรมาภิบาล) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นกลุ่มที่จะได้รับแรงกดดันด้านนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตอย่างแน่นอนครับ ทั้งจากนักลงทุนที่มองหาความยั่งยืน ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และภาครัฐที่ออกกฎระเบียบเข้มงวดขึ้น ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน รวมถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น ได้กล่าวถึงประเด็นนี้
ทำไมต้องเป็นกลุ่มนี้? ก็เพราะห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับสิ่งแวดล้อม แถมจำนวนประชากรโลกก็เพิ่มขึ้น ความต้องการอาหารก็สูงขึ้น ทำให้ต้องผลิตเพิ่ม ปัจจัย ESG ที่สำคัญๆ ที่ผู้ประกอบการต้องบริหารจัดการก็มีหลายเรื่อง เช่น:
* **การใช้พื้นที่:** การเกษตรและปศุสัตว์ต้องใช้พื้นที่มหาศาล โดยเฉพาะการปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งอาจส่งผลลบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้น้ำมาก ดินเสื่อม ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง และมีส่วนกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
* **การใช้น้ำและมลพิษทางน้ำ:** อุตสาหกรรมนี้ใช้น้ำเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็อยู่ในกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งมักมีการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในปริมาณมาก ก่อให้เกิดน้ำเสียได้
* **การปล่อยก๊าซคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก:** อุตสาหกรรมนี้มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่แพ้อุตสาหกรรมขนส่งเลยนะครับ มาจากการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง การผลิตอาหารสัตว์ การจัดการมูลสัตว์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาวะโลกร้อน
* **การใช้ยาปฏิชีวนะและการดื้อยา:** การใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์ปริมาณมากมีความเสี่ยงที่จะเกิดการดื้อยาในสัตว์และคนได้ และยังอาจนำไปสู่โรคระบาดใหญ่ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต
* **การปรับเปลี่ยนภาชนะบรรจุ:** การผลิตบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะพลาสติก ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ผู้ประกอบการจึงต้องมองหาทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ประเด็น ESG เหล่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเท่านั้นนะครับ แต่มันกำลังจะกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อ “ต้นทุน” “รายได้” และ “ชื่อเสียง” ของบริษัทในระยะยาว นักลงทุนที่มองภาพไกลจึงต้องให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน ESG ได้ดีด้วย
สรุปแล้ว “หุ้นกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร” เป็นกลุ่มที่น่าสนใจเพราะเป็นสินค้าจำเป็น มีศักยภาพในการส่งออกสูง และได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่การลงทุนในกลุ่มนี้ก็มีความซับซ้อนเฉพาะตัว ทั้งเรื่องวัฏจักรสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยภายนอก และที่สำคัญคือประเด็น ESG ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนจะตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัทที่เราสนใจให้ดี ดูว่าเขามีโมเดลธุรกิจแบบไหน มีการบริหารความเสี่ยงอย่างไร โดยเฉพาะความเสี่ยงที่กำลังมาแรงอย่าง ESG และประเมินปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ
⚠️ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ และไม่ควรลงทุนทั้งหมดในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อกระจายความเสี่ยงด้วยนะครับ