WACC: ลงทุนให้คุ้มค่า ต้องรู้ต้นทุนเงินทุนที่แท้จริง!

สวัสดีครับ/ค่ะ นักลงทุนทุกท่านและผู้สนใจในโลกการเงิน! ยินดีต้อนรับกลับสู่คอลัมน์ที่จะช่วยคลายความซับซ้อนของเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวเข้าใจง่าย วันนี้ผมมีเรื่องราวเบื้องหลังที่สำคัญมากสำหรับการตัดสินใจลงทุน หรือแม้แต่การบริหารธุรกิจที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือเรื่องของ “ต้นทุนเงินทุน” ครับ/ค่ะ

ลองนึกภาพตามนะครับ/คะ ว่าถ้าคุณจะเปิดร้านอาหารสักร้าน เงินลงทุนมาจากไหนบ้าง? อาจจะใช้เงินเก็บส่วนตัว (ส่วนของผู้ถือหุ้น) กู้เงินจากธนาคาร (หนี้สิน) หรืออาจจะมีเพื่อนมาร่วมหุ้นด้วย (ก็เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นอีกแบบ) เงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณนำมาใช้ มันมี “ต้นทุน” แฝงอยู่เสมอครับ/ค่ะ เงินเก็บตัวเองก็มีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่จะเอาไปลงทุนอย่างอื่นที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า ส่วนเงินกู้ก็มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงไหมครับ/คะ?

สำหรับบริษัทใหญ่ๆ เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าเยอะครับ/ค่ะ แหล่งเงินทุนมาจากหลายทาง มีทั้งหุ้นกู้ หุ้นสามัญ เงินกู้ระยะยาวระยะสั้นมากมาย แล้วบริษัทจะรู้ได้ยังไงว่า “โดยรวมแล้ว” ต้นทุนเงินทุนของตัวเองอยู่ที่เท่าไหร่? เงินทุกบาทที่ระดมมามัน “แพง” หรือ “ถูก” แค่ไหน? นี่แหละครับ/ค่ะ คือที่มาของแนวคิดที่เรียกว่า ต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุน หรือที่เรียกสั้นๆ ติดปากว่า WACC (อ่านว่า ดับเบิลยู-เอ-ซี-ซี)

**WACC คืออะไร? ทำไมต้องรู้?**

ถ้าจะเปรียบ WACC ให้เห็นภาพง่ายๆ มันก็เหมือนกับ “อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยรวม” ที่บริษัทต้องจ่ายให้กับแหล่งเงินทุนทั้งหมดที่ใช้ทำธุรกิจนั่นแหละครับ/ค่ะ แต่ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยเงินกู้นะครับ/คะ มันรวมถึง “ผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นคาดหวัง” ด้วย (ซึ่งมักจะสูงกว่าดอกเบี้ยกู้ เพราะผู้ถือหุ้นแบกความเสี่ยงมากกว่าเจ้าหนี้) โดยนำมาเฉลี่ยกันตาม “สัดส่วน” ว่าเงินทุนส่วนใหญ่มาจากแหล่งไหนมากกว่า

คุณสมชายเพื่อนผมที่กำลังจะเปิดร้านกาแฟ เขาก็ต้องคิดคล้ายๆ กันนี่แหละครับ/ค่ะ ถ้าเงินลงทุนหลักมาจากเงินกู้ดอกเบี้ย 7% กับเงินตัวเองที่ปกติเอาไปฝากแบงก์ได้ 1% แต่ถ้าเอามาลงร้านต้องได้มากกว่า 1% แน่ๆ ไม่งั้นเอาไปฝากแบงก์ดีกว่า? เขาต้องหาค่าเฉลี่ยต้นทุนเงินของตัวเองเพื่อตัดสินใจว่าร้านกาแฟต้องทำกำไรได้เท่าไหร่ถึงจะ “คุ้ม”

สำหรับบริษัทแล้ว WACC ถือเป็น **อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ (Hurdle Rate)** ที่บริษัทต้องสร้างให้ได้จากการนำเงินทุนนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์หรือโครงการต่างๆ ครับ/ค่ะ ถ้าโครงการไหนคาดว่าจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่า WACC แสดงว่าโครงการนั้นอาจจะไม่คุ้มค่าที่จะทำ เพราะผลตอบแทนที่ได้ยังไม่พอจ่ายคืนเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นเลย! WACC จึงเป็นเหมือนเข็มทิศสำคัญในการตัดสินใจลงทุนของบริษัทครับ/ค่ะ

น่าสนใจใช่ไหมครับ/คะ WACC ไม่ใช่ตัวเลขที่ฝ่ายบริหารตั้งขึ้นมาเองลอยๆ นะครับ/คะ แต่เป็นตัวเลขที่ “ตลาด” กำหนดขึ้น โดยสะท้อนจากความเสี่ยงของบริษัทในสายตาของเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นต่างหาก

**ส่วนผสมสำคัญของ WACC: หนี้สิน vs ส่วนของผู้ถือหุ้น**

WACC มีส่วนประกอบหลักๆ มาจากสองแหล่งใหญ่ๆ ตามชื่อเลยครับ/ค่ะ คือ:

1. **ต้นทุนส่วนของผู้ถือหุ้น (Cost of Equity – Re):** นี่คืออัตราผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้น “คาดหวัง” หรือ “ต้องการ” เพื่อแลกกับการที่พวกเขาเอาเงินมาลงในบริษัทและแบกรับความเสี่ยงต่างๆ ต้นทุนส่วนนี้มักจะสูงกว่าต้นทุนหนี้สินอย่างที่บอกไป เพราะถ้าบริษัทมีปัญหา เจ้าหนี้ได้เงินคืนก่อน ส่วนผู้ถือหุ้นได้ทีหลัง (ถ้าเหลือ) ความเสี่ยงสูงกว่า ผลตอบแทนที่คาดหวังเลยต้องสูงกว่าเป็นธรรมดาครับ/ค่ะ

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ถือหุ้นคาดหวังเท่าไหร่? นักวิเคราะห์การเงินเขาก็มี “แบบจำลอง” มาช่วยครับ/ค่ะ ที่นิยมใช้กันแพร่หลายคือ **แบบจำลองการตั้งราคาหลักทรัพย์ (Capital Asset Pricing Model – CAPM)** ครับ/ค่ะ

CAPM บอกว่า ผลตอบแทนที่คาดหวังจากหุ้นตัวหนึ่งขึ้นอยู่กับสามอย่างหลักๆ คือ:
* **อัตราที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk-Free Rate – Rf):** ลองนึกถึงผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่แทบไม่มีความเสี่ยงเลยครับ/ค่ะ ตัวเลขนี้เป็นพื้นฐานผลตอบแทนที่ทุกคนควรจะได้อยู่แล้ว แม้ไม่ต้องแบกความเสี่ยงอะไรเลย
* **ค่าเบต้า (Beta – β):** นี่คือตัววัดความผันผวนของราคาหุ้นตัวนั้นๆ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโดยรวมครับ/ค่ะ ถ้าหุ้นตัวไหนมีค่าเบต้าเท่ากับ 1 แปลว่า ราคาหุ้นตัวนั้นจะขึ้นลงตามตลาดเลย ถ้าตลาดขึ้น 10% หุ้นก็ขึ้น 10% ถ้าตลาดลง 10% หุ้นก็ลง 10% แต่ถ้าหุ้นมีค่าเบต้า 1.5 แปลว่ามัน “เหวี่ยงแรงกว่า” ตลาดครับ/ค่ะ ถ้าตลาดขึ้น 10% หุ้นอาจจะขึ้น 15% แต่ถ้าตลาดลง 10% ก็อาจจะลง 15% เหมือนกัน ส่วนหุ้นที่มีเบต้า 0.8 ก็จะ “เหวี่ยงน้อยกว่า” ตลาดครับ/ค่ะ เปรียบเทียบง่ายๆ เบต้าสูงก็เหมือนรถสปอร์ตที่ตอบสนองไวต่อพื้นผิวถนน (ตลาด) เบต้าต่ำก็เหมือนรถบรรทุกที่วิ่งนิ่งๆ หน่อย
* **พรีเมียมความเสี่ยงตลาด (Market Risk Premium – Rm − Rf):** ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนที่คาดหวังจากตลาดหุ้นโดยรวม (Rm) กับอัตราที่ปราศจากความเสี่ยง (Rf) ส่วนต่างนี้คือ “ค่าตอบแทน” ที่นักลงทุนต้องการเพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับการไปลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงครับ/ค่ะ

สูตร CAPM ก็หน้าตาประมาณนี้ครับ/ค่ะ:
Re = Rf + β × (Rm − Rf)
เห็นไหมครับ/คะ ว่าผลตอบแทนที่คาดหวัง (Re) มันมาจากผลตอบแทนพื้นฐานที่ไม่มีความเสี่ยง บวกด้วย “ส่วนเพิ่ม” ที่ชดเชยความเสี่ยงของหุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งวัดด้วยเบต้าและความเสี่ยงของตลาดโดยรวม

2. **ต้นทุนหนี้สิน (Cost of Debt – Rd):** นี่คืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่บริษัทจ่ายให้เจ้าหนี้สำหรับเงินกู้หรือหุ้นกู้ทั้งหมดที่บริษัทมีครับ/ค่ะ แต่อย่าลืมนะครับ/คะ ว่าดอกเบี้ยที่บริษัทจ่ายไป มันนำไป **หักลดหย่อนภาษีนิติบุคคล** ได้ครับ/ค่ะ นั่นหมายความว่า “ต้นทุนที่แท้จริง” ของหนี้สินหลังหักภาษีจะต่ำลงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายจริง

สมมติบริษัทจ่ายดอกเบี้ย 100 บาท อัตราภาษี 20% บริษัทจะประหยัดภาษีได้ 20 บาท (20% ของ 100 บาท) เท่ากับว่าต้นทุนหนี้สินจริงๆ เหลือแค่ 80 บาทเท่านั้น ต้นทุนหนี้สินที่ใช้ใน WACC จึงเป็นต้นทุนหลังหักภาษีครับ/ค่ะ หรือก็คือ Rd × (1 − T) โดย T คือ อัตราภาษีนิติบุคคล

**WACC นำไปใช้ทำอะไรได้บ้างในโลกจริง?**

นอกเหนือจากใช้เป็นอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำในการตัดสินใจลงทุนในโครงการต่างๆ แล้ว WACC ยังมีประโยชน์อีกมากมายครับ/ค่ะ:

* **ใช้ประเมินมูลค่าธุรกิจ:** WACC เป็นเครื่องมือสำคัญในการคำนวณมูลค่าของบริษัท หรือมูลค่าของโครงการลงทุน โดยเฉพาะในการประเมินมูลค่าด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow – DCF) ซึ่งเป็นการคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตของธุรกิจหรือโครงการ แล้วนำมาคิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน โดยใช้ WACC นี่แหละเป็น **อัตราคิดลด (Discount Rate)** ครับ/ค่ะ ยิ่ง WACC สูง มูลค่าปัจจุบันก็จะยิ่งต่ำลง เพราะเงินในอนาคตต้องถูกคิดลดด้วยอัตราที่สูงขึ้น
* **ช่วยในการตัดสินใจโครงสร้างเงินทุน:** บริษัทสามารถใช้ WACC เพื่อหา “ความสมดุล” ที่เหมาะสมระหว่างการใช้หนี้สินและการใช้ส่วนของผู้ถือหุ้น การเพิ่มสัดส่วนหนี้สินมักจะทำให้ WACC ลดลง (เพราะหนี้ถูกกว่าและมีประโยชน์ทางภาษี) แต่ถ้ามีหนี้มากเกินไป ความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทก็จะสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนหนี้สินและต้นทุนส่วนของผู้ถือหุ้นในอนาคตสูงขึ้นตามไปด้วย จน WACC อาจจะเด้งกลับมาสูงขึ้นได้ บริษัทต้องหาสัดส่วนที่ทำให้ WACC ต่ำที่สุดภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ/ค่ะ
* **เป็นตัวชี้วัดสุขภาพทางการเงินเบื้องต้น:** บริษัทที่มี WACC ต่ำ มักจะบ่งชี้ว่าเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงต่ำในสายตาของเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น ทำให้สามารถระดมเงินทุนมาใช้ได้ในต้นทุนที่ถูกกว่า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ/ค่ะ ปัจจัยภายนอกอย่างอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ลดลง ก็มีส่วนช่วยให้ WACC ของบริษัทส่วนใหญ่ลดลงตามไปด้วย

**มาลองคำนวณ WACC แบบง่ายๆ กันดู**

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น มาดูตัวอย่างการคำนวณ WACC โดยใช้สูตรที่เราคุยกันไปครับ/ค่ะ

สมมติว่ามีบริษัท A มีข้อมูลทางการเงินดังนี้:
* มูลค่าตลาดของส่วนของผู้ถือหุ้น (E): 1,000 ล้านบาท
* ต้นทุนส่วนของผู้ถือหุ้น (Re): 15% (สมมติว่าคำนวณจาก CAPM แล้ว)
* มูลค่าตลาดของหนี้สิน (D): 2,000 ล้านบาท
* ต้นทุนหนี้สิน (Rd): 7% (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่จ่าย)
* อัตราภาษีนิติบุคคล (T): 25%

ขั้นตอนการคำนวณ WACC:

1. คำนวณมูลค่ารวมของเงินทุน (V): V = E + D = 1,000 + 2,000 = 3,000 ล้านบาท
2. คำนวณสัดส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้น: E/V = 1,000 / 3,000 ≈ 0.333 หรือ 33.3%
3. คำนวณสัดส่วนของหนี้สิน: D/V = 2,000 / 3,000 ≈ 0.667 หรือ 66.7%
4. คำนวณต้นทุนหนี้สินหลังหักภาษี: Rd × (1 − T) = 7% × (1 − 0.25) = 7% × 0.75 = 5.25%
5. นำค่าทั้งหมดมาใส่ในสูตร WACC:
WACC = (E/V × Re) + (D/V × Rd × (1 − T))
WACC = (0.333 × 15%) + (0.667 × 5.25%)
WACC ≈ 0.05 + 0.035
WACC ≈ 0.085 หรือ 8.5%

จากตัวอย่างนี้ WACC ของบริษัท A อยู่ที่ประมาณ 8.5% ครับ/ค่ะ แปลว่า โดยเฉลี่ยแล้ว บริษัท A มีต้นทุนเงินทุน 8.5% ถ้าบริษัท A จะลงทุนในโครงการใหม่ โครงการนั้นควรจะสร้างผลตอบแทนให้ได้อย่างน้อย 8.5% ถึงจะถือว่าคุ้มค่าและเป็นที่ยอมรับของแหล่งเงินทุน (เจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น)

**สรุปส่งท้ายและข้อคิดสำหรับนักลงทุน**

WACC หรือ ต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุน เป็นแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญมากในการประเมินมูลค่าและการตัดสินใจทางการเงินของบริษัทครับ/ค่ะ มันช่วยให้เรารู้ว่าเงินทุนที่บริษัทใช้อยู่มีต้นทุนเท่าไหร่ และนั่นก็เป็นตัวเลขเปรียบเทียบ (Benchmark) ที่สำคัญในการประเมินศักยภาพของโครงการลงทุนต่างๆ

ในฐานะนักลงทุน การทำความเข้าใจ WACC ของบริษัทที่เราสนใจลงทุน จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมด้านการเงินได้ชัดขึ้นครับ/ค่ะ WACC ที่ต่ำอาจบ่งชี้ถึงบริษัทที่มีสุขภาพดี ระดมทุนได้เก่ง หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ ในทางกลับกัน WACC ที่สูง อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทมีความเสี่ยงสูง ต้องจ่ายต้นทุนเงินทุนแพง หรือมีปัญหาในการบริหารจัดการเงินทุน

อย่างไรก็ตาม **⚠️ WACC ก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น** และการคำนวณ WACC ก็มีข้อสมมติฐานและปัจจัยหลายอย่างที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น อัตราดอกเบี้ยในตลาด ค่าเบต้าของหุ้นที่อาจเปลี่ยนไปตามภาวะตลาด หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ตัวเลข WACC จึงควรถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ ไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุนนะครับ/คะ

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจ WACC มากขึ้นนะครับ/คะ ครั้งหน้าถ้าได้ยินคำนี้ จะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นศัพท์ยากๆ อีกต่อไป ลองนำแนวคิดนี้ไปลองคิดวิเคราะห์บริษัทต่างๆ ที่สนใจดูนะครับ/คะ แล้วคุณอาจจะเห็นมุมมองใหม่ๆ ในการลงทุนก็ได้! พบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ/ค่ะ!