
ช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกดูจะออกอาการเป๋ๆ ไม่นิ่งเหมือนแต่ก่อนนะครับ บางวันดี๊ดี บางวันก็เหมือนนั่งรถไฟเหาะ ใครที่ติดตามข่าวสารหรือลงทุนอยู่ คงจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ปั่นป่วนนิดๆ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตัวใหญ่ๆ ที่เคยวิ่งฉิวยิ่งกว่ารถ F1 บางตัวก็เริ่มมีพักเหนื่อย หรือปรับฐานลงมาบ้างแล้ว
หลายคนอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเงินในพอร์ตลงทุนของเราจะเป็นยังไงต่อไป วันนี้เราจะมาลองแกะรอยเรื่องราวการเงินโลกที่ซับซ้อนนี้ ให้เข้าใจง่ายๆ สไตล์เพื่อนคุยกัน พร้อมดูด้วยว่าเรื่องไกลตัวอย่างนโยบายธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หรือความตึงเครียดในตะวันออกกลาง มันเกี่ยวอะไรกับการลงทุนของเราในบ้านเรา โดยเฉพาะคนที่สนใจลงทุนในหุ้นบริษัทระดับโลกอย่าง Microsoft Corporation (MSFT) ผ่านเครื่องมืออย่าง DR หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงที่ซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้เลย
**ตลาดโลกผันผวน: เรื่องไกลตัวที่ส่งผลใกล้ตัวกว่าที่คิด**
ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ทั้งดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) ดัชนี S&P 500 หรือดัชนีแนสแด็ก (NASDAQ) ที่เป็นแหล่งรวมหุ้นเทคฯ ตัวเจ๋งๆ ดูจะเผชิญแรงกดดันอยู่บ้างครับ ล่าสุดก็เห็นมีการปรับตัวลงมาเล็กน้อย นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีหลายปัจจัยเข้ามาผสมโรงกัน
ปัจจัยแรกที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือเรื่องของ “ภูมิรัฐศาสตร์” หรือประเด็นความตึงเครียดระหว่างประเทศครับ โดยเฉพาะสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ที่ดูเหมือนจะร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง มีข่าวการตอบโต้กันระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวการเมือง แต่ส่งผลตรงๆ ต่อเศรษฐกิจโลกเลยครับ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? ก็เพราะตะวันออกกลางเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญของโลกไงครับ พอมีเรื่องมีราวกัน ความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันก็เกิดขึ้นทันที ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอันนี้แหละที่เชื่อมโยงมาถึงบ้านเรา เพราะต้นทุนพลังงานก็เป็นส่วนสำคัญของต้นทุนสินค้าและบริการทุกอย่างในประเทศเรา พอราคาน้ำมันขึ้น ก็มีโอกาสที่เงินเฟ้อในไทยจะสูงขึ้นตามไปด้วย
นอกจากราคาน้ำมัน การที่ตลาดกังวลเรื่องความไม่แน่นอนจากภูมิรัฐศาสตร์ ก็ทำให้ดัชนีความผันผวน (VIX Index) ซึ่งสะท้อนความกลัวของนักลงทุน เพิ่มสูงขึ้นด้วย พูดง่ายๆ คือ นักลงทุนไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ก็เลยขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาก่อน หรือชะลอการลงทุนออกไปหน่อย อารมณ์เหมือนกำลังเดินอยู่บนทางแยกแล้วไม่รู้จะไปทางไหนดี ก็เลยหยุดยืนคิดดูก่อนนั่นแหละครับ
แต่ในความผันผวนนี้ ก็มีเรื่องดีๆ ที่นักลงทุนจับตาอยู่ นั่นก็คือ สัญญาณจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองนี่แหละครับ
**เงินเฟ้อเริ่มแผ่ว? แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของ “เฟด”**
หัวข้อที่นักลงทุนทั่วโลก รวมถึงบ้านเราให้ความสนใจมากที่สุดช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง “นโยบายการเงิน” ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เฟด” ครับ ทุกคนรอลุ้นว่าเมื่อไหร่เฟดจะเริ่ม “ลดอัตราดอกเบี้ย” หลังจากที่ขึ้นมาสูงเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ
ข่าวดีที่เข้ามาช่วยคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อก็คือ ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ออกมาดูดีกว่าที่ตลาดคาดไว้นิดหน่อยครับ ยกตัวอย่างเช่น ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งสะท้อนราคาในระดับค้าส่ง หรือดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นราคาที่คนทั่วไปต้องจ่าย ทั้งคู่ในเดือนพฤษภาคม (จากข้อมูลล่าสุด) ออกมาเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ นี่เป็นสัญญาณที่ดีมากๆ ครับ เพราะมันบอกว่าแรงกดดันด้านราคาในระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลายลงแล้ว

นอกจากตัวเลขเงินเฟ้อแล้ว ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมิถุนายนก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยนะครับ สะท้อนว่าคนอเมริกันเองก็เริ่มมองโลกในแง่ดีขึ้น และที่สำคัญคือ พวกเขาก็คาดหวังว่าเงินเฟ้อในอนาคตจะลดลง นี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เฟดอาจมีพื้นที่ในการพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น
พอตัวเลขดีๆ แบบนี้ออกมา ตลาดก็ยิ่งคาดการณ์กันหนักขึ้นว่า เฟดน่าจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยได้ภายในปีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองไปที่เดือนกันยายน (ตามการคาดการณ์ล่าสุด) ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรก แม้จะมีปัจจัยการเมืองเข้ามากดดันบ้าง อย่างการที่อดีตประธานาธิบดีบางท่านก็ออกมาเรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ยแบบ “จัดหนักจัดเต็ม” แต่สุดท้ายแล้วการตัดสินใจของเฟดก็จะอิงกับข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลักครับ
**แล้วเรื่องทั้งหมดนี้ เกี่ยวอะไรกับพอร์ตลงทุนของเราในไทย?**
คุณอาจจะสงสัยว่าเรื่องไกลตัวอย่างเฟดลดดอกเบี้ย หรือราคาน้ำมันที่ตะวันออกกลาง จะมาเกี่ยวอะไรกับเงินเก็บของเรา คำตอบคือเกี่ยวเต็มๆ ครับ! เพราะเศรษฐกิจและการเงินโลกยุคนี้เชื่อมโยงกันหมดเหมือนใยแมงมุมครับ
การที่เฟดมีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ย (แม้จะยังไม่แน่นอน 100%) เป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลกครับ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ ลดลง ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น และการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นก็ดูน่าสนใจกว่าการฝากเงินในธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยต่ำ
ในทางกลับกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ก็เป็นปัจจัยลบที่อาจฉุดรั้งตลาดได้เช่นกัน ดังนั้น ตลาดตอนนี้ก็เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างสองปัจจัยนี้อยู่ครับ
สำหรับนักลงทุนไทย แม้เราจะไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยตรงทุกคน แต่บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกก็ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยด้วยครับ เวลาตลาดโลกผันผวน ตลาดไทยก็มักจะได้รับแรงกระเพื่อมไปด้วยไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยก็ให้ความสนใจลงทุนในหุ้นบริษัทต่างประเทศโดยตรง หรือผ่านเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกในประเทศอย่าง “DR”
**เจาะลึก DR และ ราคาหุ้น Microsoft ที่นักลงทุนไทยสนใจ**
พูดถึงเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายๆ ก็ต้องยกให้ “DR” หรือ ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง ครับ DR เปรียบเสมือนตัวแทนที่ออกโดยสถาบันการเงินในไทย เพื่อให้เราซื้อขายหน่วยลงทุนที่มีหุ้นต่างประเทศชั้นนำเป็นสินทรัพย์อ้างอิงได้บนกระดานหุ้นไทยนี่แหละครับ ทำให้เราไม่ต้องยุ่งยากเรื่องการโอนเงินไปต่างประเทศ หรือเรื่องภาษีซับซ้อนมากนัก
หนึ่งใน DR ที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจมาก ก็คือ DR ที่อิงกับหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Microsoft Corporation (MSFT) ครับ หุ้นไมโครซอฟท์นี่ไม่ต้องพูดถึงความยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มเทคฯ ที่เรียกว่า “Magical Seven” หรือ “Magnificent Seven” ที่เติบโตโดดเด่นมากๆ ในช่วงที่ผ่านมา ด้วยธุรกิจที่แข็งแกร่งทั้งซอฟต์แวร์ คลาวด์คอมพิวติ้ง (อย่าง Azure) และล่าสุดก็กำลังเป็นหัวหอกด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุด ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2568 แสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของการซื้อขาย DR ที่อิงกับ ราคาหุ้น microsoft ซึ่งออกโดยธนาคารกรุงไทย (KTB) ครับ ราคาปิดของ DR ตัวนี้อยู่ที่ 7.65 บาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.65% จากวันก่อนหน้า แม้จะมีการปรับลงบ้าง แต่ก็มีปริมาณและมูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับหนึ่ง แสดงให้เห็นว่านักลงทุนไทยก็ยังคงให้ความสนใจและมีการซื้อขาย DR ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเกาะติดความเคลื่อนไหวของหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ตัวนี้
การที่ DR ตัวนี้มีการซื้อขายอยู่ ก็สะท้อนว่าความสนใจในการลงทุนหุ้นต่างประเทศของนักลงทุนไทยนั้นเป็นเรื่องจริงจัง และเครื่องมืออย่าง DR ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ อย่างที่ Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกอื่นๆ ก็มีสินทรัพย์หลากหลายให้เลือกลงทุน แต่ DR ก็เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกสำหรับคนที่เทรดในตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว
**สรุปและคำแนะนำสำหรับนักลงทุน**
โดยสรุปแล้ว สถานการณ์ตลาดการเงินโลกตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวครับ มีทั้งปัจจัยเสี่ยงจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทำให้ตลาดผันผวน และมีทั้งปัจจัยบวกจากสัญญาณเงินเฟ้อที่แผ่วลงในสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคตอันใกล้ ทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก และเชื่อมโยงมาถึงการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอง หรือการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศผ่านกลไกในประเทศอย่าง DR ที่อิงกับหุ้นบริษัทระดับโลกอย่าง ราคาหุ้น microsoft ก็ตาม
สำหรับนักลงทุน สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูงแบบนี้ ไม่ใช่การตื่นตระหนกไปกับทุกข่าว หรือวิ่งไล่ตามกระแสอย่างเดียวครับ แต่คือการ:
1. **ติดตามข้อมูลข่าวสารรอบด้าน:** ทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาด ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงิน และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์
2. **ทำความเข้าใจสินทรัพย์ที่จะลงทุนอย่างแท้จริง:** ไม่ว่าจะสนใจลงทุนในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือ DR ต้องศึกษาพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆ ให้ดี รู้ว่าบริษัททำอะไร มีแนวโน้มเติบโตอย่างไร ไม่ใช่แค่ดูที่ราคาขึ้นหรือลง
3. **ประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้:** การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนแบบนี้ ควรลงทุนในจำนวนเงินที่หากเกิดความเสียหายแล้วไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน
4. **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว หรือตัวใดตัวหนึ่ง
⚠️ **คำเตือนเพื่อความไม่ประมาท:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นๆ ให้เข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน และควรประเมินความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้เสมอ หากสภาพคล่องทางการเงินของคุณไม่สูง หรือยังต้องใช้เงินจำนวนมากในอนาคตอันใกล้ ควรพิจารณาให้รอบคอบอย่างยิ่งก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่อาจมีการซื้อขายไม่คึกคักมากนัก หรือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงครับ ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีและลงทุนอย่างมีสติครับ!