ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดข่าวการเงิน ดูโซเชียล หรือคุยกับเพื่อนนักลงทุน คำว่า “ตลาดหุ้นจีน” มักจะโผล่มาให้ได้ยินบ่อยๆ นะครับ ยิ่งเวลาเห็น กราฟหุ้นจีน ที่พุ่งบ้าง ดิ่งบ้าง ก็ยิ่งอดสงสัยไม่ได้ว่า เอ๊ะ ตลาดมังกรนี่มันน่าสนใจขนาดไหนกันแน่ แล้วถ้าเราอยากเข้าไปร่วมวงด้วย จะต้องทำยังไงบ้าง?

เอาจริงๆ นะครับ การลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีน ที่มีอะไรซับซ้อนกว่าตลาดบ้านเราเยอะ ก็เหมือนการเดินทางไปในที่ที่เราไม่คุ้นเคย สิ่งแรกและสำคัญที่สุดที่เราต้องติดกระเป๋าไปด้วยเลยก็คือ “ความเข้าใจในความเสี่ยง” ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ก็ย้ำชัดเจนนะครับว่า การลงทุนในตราสารทางการเงิน หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัลเนี่ย มีความเสี่ยงสูงม้าก มากถึงขนาดที่ว่ามีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมดได้เลยนะครับ เพราะฉะนั้น ต้องบอกเลยว่ามันอาจจะไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกคน ถ้าเรายังไม่ได้ศึกษาให้ดี ไม่เข้าใจความเสี่ยง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง หรือยังไม่ชัดเจนกับเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง ก็ควรชะลอไว้ก่อน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องลองหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้คำแนะนำดูนะครับ
ทีนี้ พอพูดถึง กราฟหุ้นจีน คนส่วนใหญ่มักจะมองภาพรวมๆ ของตลาดใช่ไหมครับ ตลาดหุ้นจีนมีหลายแห่ง แต่ตลาดที่คึกคักและมีบริษัทเทคโนโลยี หรือบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตสูงๆ อยู่เยอะก็คือตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น และดัชนีที่สะท้อนภาพบริษัทใหญ่ๆ 500 แห่งในตลาดนี้ ก็คือ “ดัชนีองค์ประกอบตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น” (Shenzhen Component Index) ครับ ดัชนีตัวนี้แหละที่เป็นเหมือนเกณฑ์มาตรฐานให้เราตามดูว่าภาพรวมของบริษัทเหล่านี้เป็นยังไง
ลองมาดู กราฟหุ้นจีน ของดัชนีนี้กันสักหน่อยนะครับ ตัวเลขล่าสุดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 เนี่ย ดัชนีอยู่ที่ประมาณ 9,759 จุดกว่าๆ ซึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาครับ ถ้าดูย้อนหลัง 24 ชั่วโมงก่อนหน้าตัวเลขนี้ ก็จะเห็นว่ามันลดลงไป 0.85% แต่ถ้าขยับมาดูภาพรายสัปดาห์ จะเห็นว่ามันบวกขึ้นมาตั้ง 5.43% เลยนะครับ แต่พอมองเป็นรายเดือน อ้าว กลับติดลบไปตั้ง 11.22% ส่วนภาพรายปี ณ ช่วงเวลานั้น ดัชนีก็ยังบวกอยู่ประมาณ 6.30% ครับ นี่สะท้อนให้เห็นเลยว่า กราฟหุ้นจีน เนี่ยมีความผันผวนสูงพอสมควรในกรอบระยะสั้นๆ นะครับ แต่ถ้ามองยาวขึ้น ภาพก็ดูดีขึ้น

ในดัชนีนี้ก็มีบริษัทใหญ่ๆ ที่มีมูลค่าตลาดสูงๆ เป็นส่วนประกอบอยู่ ซึ่งก็มีตัวที่ราคาพุ่งแรงและอ่อนแรงสลับกันไป อย่างข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี บริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีสุดในกลุ่มนี้ก็บวกไปถึง 201.65% เลย ในขณะที่ตัวที่ผลงานอ่อนแอสุดก็ติดลบไปกว่า 54% ครับ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถไปซื้อตัวดัชนีนี้ตรงๆ ได้นะครับ ถ้าอยากลงทุนตามดัชนี ก็ต้องไปผ่านเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือที่นิยมกันในหมู่นักลงทุนรายย่อยบ้านเราก็คือกองทุนรวมครับ
ถ้าอย่างนั้น แล้วนักลงทุนไทยอย่างเรา จะเข้าถึง กราฟหุ้นจีน ที่ว่านี้ผ่านกองทุนรวมได้อย่างไรบ้าง? ข้อมูลที่เราได้มาก็ยกตัวอย่างกองทุนรวมไทยที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนอยู่เหมือนกันครับ
กองแรกคือ “กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน” (K China Index Fund) กองทุนนี้มีนโยบายไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลักที่อ้างอิงดัชนีหุ้น A50 ของจีน ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมบริษัทใหญ่ 50 แห่งในตลาด A-share ของจีนครับ ณ ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value) ของกองทุนนี้อยู่ที่ประมาณ 11.61 บาทต่อหน่วย และขนาดกองทุนก็ค่อนข้างใหญ่ อยู่ที่ประมาณ 1,941 ล้านบาทเลยทีเดียวครับ ค่าธรรมเนียมซื้ออยู่ที่ 1.50% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง ณ ช่วงเวลานั้น ก็ยังติดลบเล็กน้อยทั้งแบบตั้งแต่ต้นปี และค่าเฉลี่ยราย 3 ปี และ 5 ปีครับ กองทุนนี้เขาก็ใช้เกณฑ์มาตรฐานอย่างดัชนี FTSE China A50 และ MSCI China เป็นตัววัดผลครับ
อีกกองทุนที่กล่าวถึงคือ “กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์” (WISE KTB CSI 300 China Tracker) กองทุนนี้ก็ติดตามดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นอีกดัชนีสำคัญที่รวมหุ้น 300 ตัวใหญ่ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นครับ ราคาล่าสุดที่อัปเดตในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ประมาณ 5.75 บาทต่อหน่วย มีปริมาณการซื้อขายและมูลค่า ณ วันที่ปิดตลาดตามข้อมูลเลยครับ ราคาล่าสุดก็มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า

จะเห็นได้ว่า กองทุนเหล่านี้เป็นช่องทางให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนตาม กราฟหุ้นจีน ผ่านมือผู้จัดการกองทุน และเป็นวิธีที่เข้าถึงง่ายกว่าการไปเปิดบัญชีลงทุนในจีนโดยตรงครับ แต่ก็ต้องดูรายละเอียดของแต่ละกองให้ดีนะครับว่าไปลงทุนในดัชนีไหน มีค่าธรรมเนียมเท่าไร ผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน
นอกจากดู กราฟหุ้นจีน แล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็เป็นอีกวิธีที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจนะครับ ข้อมูลที่เรามีก็บอกว่าตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ อย่าง Oscillators หรือ Moving Averages เนี่ย ณ ช่วงเวลาที่มีการอัปเดตข้อมูล ก็ส่งสัญญาณที่หลากหลายมากๆ ครับ มีทั้งที่บอกว่าเป็นกลาง มีแรงขาย มีแรงซื้อ หรือแม้กระทั่งแรงขาย/แรงซื้อรุนแรง ปะปนกันไปหมด แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของตลาดในช่วงนั้นครับ
ส่วนมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญล่ะ? ข้อมูลเก่าหน่อยตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ก็มีคุณพงศ์พัฒน์ ค้ำชู จากบริษัท หยวนต้า (ประเทศไทย) เคยให้ความเห็นว่าตลาดหุ้นจีนกำลังเตรียมกลับตัว ซึ่งแน่นอนว่ามุมมองของผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่เราใช้ประกอบการพิจารณาได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มุมมองเมื่อปลายปีที่แล้ว อาจจะต้องอัปเดตด้วยสถานการณ์ปัจจุบันด้วยนะครับ
ไหนๆ ก็พูดถึงตลาดการเงินจีนแล้ว ข้อมูลเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนก็น่าสนใจครับ ณ ช่วงเวลาที่มีข้อมูล พันธบัตรระยะสั้น 1 ปีให้ผลตอบแทนประมาณ 1.37% ส่วนพันธบัตรระยะยาวอย่าง 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 1.61% ขณะที่พันธบัตร 30 ปี ให้ผลตอบแทนถึง 1.88% ครับ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนภาพของตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเป็นอีกด้านของภูมิทัศน์ทางการเงินจีน นอกเหนือจาก กราฟหุ้นจีน ครับ และถ้าเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวมากๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 7% ในช่วงนั้น ก็จะเห็นความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนี้ครับ
สรุปแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นจีน ผ่านการดู กราฟหุ้นจีน และเครื่องมือต่างๆ อย่างกองทุนรวม เป็นเรื่องที่น่าศึกษาสำหรับนักลงทุนไทยที่มองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศครับ ตลาดนี้มีศักยภาพ แต่ก็มีความผันผวนสูง ข้อมูลล่าสุดของดัชนีสำคัญๆ ก็แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวทั้งขึ้นและลงในระยะสั้นๆ และมุมมองผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็เคยเชื่อว่ากำลังจะกลับตัว
ถ้าคุณกำลังพิจารณาว่าจะลงทุนใน กราฟหุ้นจีน ดีไหม? สิ่งสำคัญที่สุดคือกลับไปที่จุดเริ่มต้นครับ:
1. **ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน:** ทำความเข้าใจตลาด ดัชนี และกองทุนที่จะลงทุนให้ละเอียด
2. **ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง:** คุณรับความสูญเสียได้มากน้อยแค่ไหน? เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร?
3. **พิจารณาสภาพคล่อง:** เงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินเย็นจริงๆ หรือเปล่า?
⚠️ **คำเตือนสุดท้ายและสำคัญที่สุด:** การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนไม่ว่าใน กราฟหุ้นจีน กองทุน หรือสินทรัพย์อื่นๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้จริงๆ ครับ หากคุณยังไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจในข้อมูล หรือสภาพคล่องของคุณไม่สูงพอที่จะรับความเสี่ยงได้จริงๆ อาจจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หรือปรึกษาผู้แนะนำทางการเงินที่มีใบอนุญาตก่อนตัดสินใจลงสนามนะครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีความรู้และรอบคอบครับ!